ตอนที่ 179-3
เจ้าไม่มีโอกาสแล้ว เขาเป็นของข้า!
หลานเฟยเยว่เดินอยู่บนบันได คอยเงยหน้ามองพระตำหนักที่โดดเดี่ยวเยือกเย็นอยู่เป็นระยะๆ นัยน์ตาฉายแววตื่นเต้นและความมุ่งมาดคาดหวัง คนที่มีสายตาเช่นเดียวกับนางก็ยังมีคนของตระกูลหลาน
ในสายตาของพวกเขาเผยความตื่นเต้นออกมา ดูเหมือนว่าวันนี้จะเป็นวันสำคัญที่เปลี่ยนชะตาของพวกเขาตระกูลหลาน
ด้านหลังของตระกูลหลานก็คือตระกูลจิ่ง จิ่งเทียนก็อยู่ด้านหลังของบิดาของเขา
วันนี้เขาก็เปลี่ยนเป็นเงียบขรึมมาก จากตอนอยู่หน้าประตูวังที่ลอบมองมู่ชิงเกอแวบหนึ่งแล้ว ก็ไม่ได้สนใจนางอีกเลย ดุจดังไม่รู้จักนางเลยสักนิด
ความเงียบของจิ่งเทียนทำให้มู่ชิงเกอมองไปที่ประมุขตระกูลจิ่งอยู่หลายครั้ง ส่วนประมุขตระกูลจิ่งก็มองดูนางอย่างเกรงใจ
ท่าทีของพ่อลูกคู่นี้ทำให้ในใจของมู่ชิงเกอเกิดความสงสัย
ตามจริงแล้วระหว่างนางกับจิ่งเทียนไม่น่าจะสงบศึกกันได้
ส่วนจิ่งเทียนก็ไม่ใช่คนใจกว้าง
ด้านหลังของตระกูลจิ่งก็คือตระกูลเฉิน
เฉินปี้เฉิงก็อยู่ในขบวน เจ้าบ้าเฉินสามารถปรากฏตัวที่นี่ได้น่าจะเป็นเพราะยังไม่ยอมตายใจเรื่องของฝากตัวเป็นศิษย์
ส่วนสายตาที่เขาใช้มองมู่ชิงเกอนั้นก็เต็มไปด้วยความต้องการต่อสู้
ในวันนั้น เขาได้ขอนัดนางให้ต่อสู้อีกครั้ง ไม่ใช่การพูดเปล่า
เดินอยู่สุดท้ายของสี่ตระใหญ่ก็คือตระกูลฮวา
คุณหนูตระกูลฮวาคนนี้จากวังหลวงจนมาถึงใต้ตีนเขา ตลอดทั้งเส้นทางก็หันมามองมู่ชิงเกอกับเจียงหลีอยู่ตลอด เพียงแต่หลังขึ้นภูเขาแล้ว ก็ค่อยๆ หยุดไป ไม่หันกลับมาอีกเลย
บนถนนสายที่น่าเบื่อหน่ายนี้ ดูเหมือนว่ามู่ชิงเกอจะกลายเป็นจุดสนใจของกลุ่ม
แม้ว่าจะไม่ได้พูดคุยอะไรกับนางสายตาก็ไม่ได้ออกจากนางเลย
สำหรับความในใจของคนแต่ละคนนั้น มู่ชิงเกอทำได้เพียงแต่ยิ้มบางๆ ไม่ได้สนใจ
“ชิงเกอ เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่ายิ่งเดินยิ่งเหนื่อย?” การหายใจของเจียงหลีกลายเป็นสั้นถี่ขึ้นเล็กน้อยและใบหน้าก็ดูซีด มองไปยังมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอนิ่งชะงัก นางไม่ได้รู้สึกถึงอะไรเลย นางมองเจียงหลี ก็พบว่าบนหน้าผากของนางมีเหงื่อซึมออกมาแล้ว เผยความเหนื่อยล้าออกมา
ไม่ได้คิดมาก นางยื่นมือออกไปพยุงเจียงหลี
เจียงหลีได้นางพยุง นัยน์ตาก็ฉายแววสงสัย ส่งเสียงเอ่ยถามว่า “เหตุใดเจ้าถึงไม่เป็นอะไรเลย?”
มู่ชิงเกอก็สงสัยเล็กน้อย นางมองไปที่ด้านหลังจ้าว
หนานซิงและฟ่งอวี๋เฟย ทั้งสองคนก็หายใจหอบถี่ สีหน้าซีดขาว ไร้สีเสีอด
นางเก็บสายตากลับ มองไปที่คนข้างหน้า
ดูเหมือนว่าทุกคนที่อยู่ด้านหน้าของนางก็เกิดอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย เท้าก็ดูเหมือนจะหนักๆ ทุกๆ ก้าวเดินได้ช้ามาก
ยกเว้นนางเท่านั้น
“เจ้าเป็นสัตว์ประหลาดอะไร! กลับไม่เป็นอะไรเลย?” นัยน์ตาสีทองของเจียงหลีฉายแววขมขื่นมองไปยังมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอไหนเลยจะรู้ว่าเหตุใดตนเองถึงไม่เป็นอะไร?
นางมองผ่านผ้าคลุมหน้าของเจียงหลี ก็พบว่าริมฝีปากของนางแห้งผากแล้ว เสื้อผ้าภายใต้แขนของนางก็ชื้น นัยน์ตาของนางฉายแววเยียบเย็นขึ้น ‘นี่คือการขาดน้ำ!’
มองไปที่จ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟย สองคนริมฝีปากของพวกเขาก็เกิดอาการแห้งผากเช่นเดียวกัน เสื้อผ้าก็เปียกชื้น “พวกเจ้ามีอาการขาดนํ้าแล้ว ดื่มนํ้าก่อนเถอะ” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเอ่ยกับคนทั้งสาม
คำๆ นั้นนางไม่ได้ส่งผ่านกระแสจิต แต่ว่าใช้เสียงเบาๆ เอ่ยกับพวกเขา เพราะว่าการส่งกระแสเสียงทำได้แค่เพียงหนึ่งต่อหนึ่ง ไม่สามารถส่งผ่านให้หลายคนได้
ขาดนํ้า?
ทั้งสามคนรู้สึกงงเล็กน้อยกับคำศัพท์ที่มู่ชิงเกอพูดออกมา
แต่ว่าคำว่า ‘ดื่มนํ้า’ นั้นพวกเขากลับฟังออก มู่ชิงเกอไม่พูดก็ยังดี เมื่อพูดถึงดื่มนํ้า พวกเขาก็รู้สึกว่าปากของตนเองแห้งราวกับว่าน้ำและเลือดในร่างกายแห้งไปหมด
บนยอดเขา กู่เย่มองไปทางกู่หยา แล้วเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ข้าเคยพูดแล้วว่าพูดจาวุ่นวายฆ่า”
กู่หยาเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แล้วก็เก็บสายตากลับ “ข้าไม่ได้ยินอะไรเลย”
กู่เย่ปรายตาอย่างแค้นๆ ไป เงียบเสียงลง “เอาเถอะ ข้าก็ไม่ได้ยินอะไรเช่นกัน”
ทั้งสองมองไปยังกลุ่มคนที่กำลังปีนเขาขึ้นมา ในใจของพวกเขารู้สึกรำคาญใจ “คิดจะพบท่านประมุขของพวกข้าไหนเลยจะง่ายดายได้? เพียงผู้ที่สามารถอยู่รอดเท่านั้นถึงมีสิทธิ์ได้เข้ามาในตำหนักหลีกง
บนภูเขา เมื่อคนทั้งสามได้ยินที่มู่ชิงเกอเอ่ยเตือน ทั้งสามก็ค่อยๆ คิดจะเอาถุงนํ้าดื่มออกมาดื่มนํ้า
แต่พวกเขากลับพบว่า ตนเองไม่สามารถหยิบของออกมาจากกระเป๋าจัดเก็บได้
พวกเขามองไปทางมู่ชิงเกอด้วยความแปลกใจ มู่ชิงเกอขมวดคิ้วแล้วนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “อาจจะเป็นไปได้ว่าภายในพื้นที่นี้ก็ถูกลงอาคมห้ามเอาไว้ไร้หนทางที่จะเปิดใช้ยุทธภัณฑ์จัดเก็บของได้”
“เช่นนั้นพวกเราจะทำอย่างไรดี?” เจียงหลีรู้สึกทรมานมาก
นางไม่เหมือนกับคนอื่น ภายในร่างกายมีสายเลือดแห่งเทพอสูรอยู่ครึ่งหนึ่ง สายเลือดเช่นนี้ในการต่อสู้จะมีพรสวรรค์และการระเบิดพลังที่น่าอัศจรรย์ แต่ในกรณีนี้ สายเลือดอีกครึ่งหนึ่งในร่างกายของนางก็ดูเหมือนกับกำลังโดนทอดในนํ้ามัน ซึ่งทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดมาก
หากไม่ใช่เพราะพลังแห่งความตั้งใจที่มีมากของนาง เกรงว่านางคงจะล้มลงไปกองกับพื้นนานแล้ว
“รีบดื่ม” ทันใดนั้นถุงนํ้าดื่มอันหนึ่งก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าของเจียงหลี
นัยน์ตาของนางเปล่งประกาย ดุจดังได้รับฟางเส้นสุดท้ายที่จะช่วยชีวิตรีบแย่งถุงน้ำมาในทันที ไม่ทันได้มองว่าใครเป็นคนยื่นมา จากนั้นก็ดื่มไปอึกใหญ่ น้ำในถุงนํ้าดูเหมือนว่าจะดับเปลวไฟในร่างกายของนางให้บรรเทาลงได้ ทำให้นางสบายไปชั่วขณะ
จ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟยมองเห็นท่าทางของนางดื่มน้ำแล้ว ก็มองไปด้านหน้า แต่ก็ไม่ได้ยื่นมือเข้าไปแย่ง มู่ชิงเกอมองไปที่หวงฝู่ฮ่วนที่อยู่ดีๆ ก็ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของพวกเขา ในดวงตาฉายแววแปลกใจ คนที่มาทีหลังกลับยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
“สบายยิ่งนัก!” ในที่สุดเจียงหลีก็นึกขึ้นได้ว่าจ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟยก็ต้องดื่มน้ำเช่นกัน ดื่มเพียงหนึ่งในสามส่วนก็เอาถุงนํ้ามอบให้พวกเขา
จัดผ้าคลุมหน้าสีทองเล็กน้อย จากนั้นเจียงหลีถึงได้มองไปทางหวงฝู่ฮ่วนที่ส่งนํ้ามาให้
หวงฝู่ฮ่วนส่งผ่านเสียงไปให้มู่ชิงเกออย่างขออภัย “แต่ก่อนตอนที่เข้ามาในตำหนักหลีกง ก็มีการทดสอบเช่นนี้ แต่ว่าถึงแม้จะรู้สึกยากลำบาก แต่การผ่านไปก็ไม่ใช่ปัญหา ดังนั้นข้าจึงไม่ได้พูด คิดไม่ถึงว่าการทดสอบในวันนี้จะรุนแรงมากยิ่งขึ้น ดีที่ข้ามีนิสัยพกถุงนํ้าห้อยไว้ที่เอวทุกครั้งที่เข้ามาในตำหนักหลีกง มิเช่นนั้น…” เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วก็ลอบพิจารณามู่ชิงเกอ ดวงตาฉายแวววาววาบ เอ่ยว่า “แต่ทว่า เจ้าดูเหมือนจะไม่เป็นอะไรเลย ดูแล้วมหาปราชญ์น่าจะโปรดปรานเจ้าเป็นอย่างมาก”
มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี
ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้รู้สึกถึงการทดสอบ แต่ก็สามารถดูได้จากปฏิกิริยาของคนข้างๆ ทำให้รับรู้ได้ว่าการทดสอบนี้คือการทดสอบอะไร
การทดสอบในครั้งนี้คือการทดสอบความตั้งใจ เมื่อคิดจะพบซือมั่ว เช่นนั้นก็ต้องมีความจริงใจ หากว่าแม้แต่การทดสอบเช่นนี้ก็ผ่านไปไม่ได้ก็จะพูดถึงข้อแลกเปลี่ยนอะไรได้อีก?
ส่วนนางในด้านความตั้งใจนั้นซือมั่วก็ได้รู้อยู่ก่อนแล้ว แน่นอนว่าไม่ต้องไปเปลืองแรงอีก
มู่ชิงเกออธิบายให้ตัวเองฟังในใจ
อย่างไรก็ตามนางไม่ทราบเลยว่าที่นางไม่ได้รู้สึกถึงการทดสอบไม่ใช่เพราะว่าซือมั่วเข้าใจในความตั้งใจของนาง ดังนั้นจึงไม่ต้องผ่านการทดสอบ แต่เป็นเพราะว่า กู่หยากับกู่เย่ไม่กล้าลงมือกับนาง กลัวว่าจะทำให้นางบาดเจ็บอย่างไม่ได้ตั้งใจ ความโกรธเกรี้ยวของซือมั่วไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาทั้งสองจะสามารถรับไหว
“ขอบคุณมาก” เจียงหลีเข้ามาส่งเสียงมาให้หวงฝู่ฮ่วน
หวงฝู่ฮ่วนยิ้มบางๆ หันกายจากไป ไล่ตามหวงฝู่เฮ่าเทียนไป
“เขาปฏิบัติต่อเจ้าไม่เลวทีเดียว!” เจียงหลีมองแผ่นหลังของหวงฝู่ฮ่วน แล้วมองมู่ชิงเกออย่างมีเลศนัย
มู่ชิงเกอกลอกตาขาวมองนาง นับถือในการชอบคาดเดาเรื่องราวของนาง
หวงฝู่ฮ่วนปฏิบัติต่อนางดี เหตุผลเพราะอะไรนั้นนางก็เข้าใจดีจึงไม่คิดมาก
พวกเขาไม่กี่คนได้รับถุงนํ้าของหวงฝู่ฮ่วน ความรู้สึกของการขาดนํ้าจึงบรรเทาลง แต่คนอื่นๆ ไม่ได้โชคดีเช่นนี้ มีบางคนอดทนไม่ไหว นั่งลงกับบันได ขยับไม่ได้
ส่วนหวงฝู่เฮ่าเทียนก็เป็นเพราะว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกในการเข้ามาในตำหนักหลีกง จึงมีการเตรียมพร้อม ดังนั้นจึงสามารถควบคุมได้
รวมทั้งเหล่าตระกูลใหญ่ทั้งสี่ก็เช่นเดียวกัน มู่ชิงเกอพบว่า เหล่าคนที่นั่งลงบนพื้นนั้น ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะอธิบาย ก็หายตัวไปจากสายตาของพวกเขา ถูกโยนออกไปนอกเขตหวงห้าม หมดโอกาสที่จะเข้าไปในตำหนักหลีกง
หลังจากเดินไปเกือบจะถึงครึ่งชั่วยาม ในที่สุดทั้งขบวนก็เดินมาจนถึงยอดของภูเขา
ส่วนท่าทางที่ดูไม่เป็นอะไรของมู่ชิงเกอนั้นก็ทำให้ทุกคนเกิดความสงสัย
สายตาที่พวกเขามองมู่ชิงเกอ ก็ดุจดังกำลังมองสัตว์ประหลาดก็ไม่ปาน
ภายใต้สายตาของผู้คนที่จ้องมอง ทำให้มู่ชิงเกอก็รู้สึกอึดอัดจนต้องลูบๆ จมูก มองออกไปด้านนอก ทำเป็นมองวิวทิวทัศน์อันงดงามของยอดเขาแห่งนี้ แล้วก็ยังมีตำหนักที่งดงามที่อยู่ตรงหน้า
“เหตุใดเขาจึงไม่เป็นอะไรเลย?” ไท่สื่อเกากัดฟันมองไปทางมู่ชิงเกอ
เฮยมู่เก็บสายตากลับ เอ่ยกับไท่สื่อเกาว่า “นายน้อยอย่าได้ร้อนใจไป”
ไท่สื่อเกาขมวดคิ้วแน่นขึ้น แต่เมื่อได้ยินคำกล่าวของเฮยมู่แล้ว ก็คิดไปถึงแผนการที่พวกเขาวางแผนเอาไว้ก่อนหน้านี้ จึงทำได้เพียงขบริมฝีปาก เงียบเสียงลงไป
ทันใดนั้น เงาร่างสองสายก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าของทุกคน
เป็นกู่หยาและกู่เย่ เมื่อทั้งสองคนปรากฏตัว หวงฝู่เฮ่าเทียนก็คำนับคนทั้งสอง “หวงฝู่เฮ่าเทียนขอคำนับใต้เท้าทมิฬทั้งสอง” ทุกคนก็ค่อยๆ รวมกันเก็บซ่อนความเหนื่อยล้าและความอ่อนเพลียของตนเอง คำนับคนทั้งสอง “ขอคำนับใต้เท้า ทมิฬทั้งสอง”
มู่ชิงเกอก็ก้มศีรษะลงตามน้อย แต่ว่านางยืนอยู่ตำแหน่งด้านหลังจึงไม่มีใครสนใจในการกระทำของนาง
กลุ่มๆ นี้อยู่บนแผ่นดินหลินชวน ก็เป็นบุคคลสำคัญ แต่มาตอนนี้เมื่อมายืนอยู่ที่นี่ก็ดูเหมือนเด็กน้อยที่สุภาพ โค้งกายคำนับกู่หยาและกู่เย่ ภาพๆ นี้ช่าง…จุ๊จุ๊
สายตาของกู่หยากวาดมองทุกคน แล้วก็ไปตกอยู่ที่ร่างของมู่ชิงเกอที่อยู่หลังสุด
เขาหลุบตาลง ผงกศีรษะให้นาง ดูเหมือนกำลังคำนับนาง
กู่เย่ที่อยู่ด้านหลังเขาก็มองมาแล้วก็หลุบตาผงกศีรษะเช่นเดียวกัน
คนอื่นทำความเคารพแก่พวกเขา ส่วนพวกเขากลับทำความเคารพแก่มู่ชิงเกอ ภาพๆ นี้ หากว่าถูกคนนอกพบเห็นเข้า เกรงว่าคงจะทำให้ตื่นตกใจเป็นอย่างมาก
หลังจากคำนับมู่ชิงเกอแล้ว กู่หยาก็เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ตามข้ามา”
พูดแล้วทั้งสองคนก็หันกายจากไป
ทุกคนไม่กล้าที่จะเสียเวลา ปฏิบัติตามในทันที
มู่ชิงเกอเดินอยู่ต้านหลัง ตามทุกคนเดินเข้าไปสู่ตำหนักแก้วผลึกหลังนั้น
แต่ว่า ทุกๆ ก้าวที่เดิน ในใจของนางก็ตื่นเต้นขึ้นมา
ยิ่งใกล้เข้าไป นางก็ยิ่งคิดว่าเสียงฝีเท้าของตัวเองยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ เท้าก็หนักขึ้น…หนักขึ้น
ตำหนักที่ตั้งอยู่บนยอดเขาแห่งนี้ คงอยู่อย่างโดดเดี่ยว ราวกับว่าจะเป็นหนึ่งเดียวในใต้หล้า แก้วผลึกงดงามบริสุทธิ์ไม่มีร่องรอยของความแปดเปื้อนและด่างพร้อยเผยให้เห็นแม้แต่น้อย แฝงไว้ด้วยกลิ่นไอของความอ้างว้างและเยือกเย็น
แม้ว่าด้านในจะใช้สมบัติที่มีค่ามากที่สุดในแผ่นดินหลินชวนมาตกแต่ง ก็ไม่อาจลบล้างกลิ่นอายนี้ได้