Skip to content

พลิกปฐพี 193-1

ตอนที่ 193-1

เริ่มตะลุมบอน ความสามารถที่ไม่คาดคิด ขององครักษ์เขี้ยวมังกร!

สุสานเทวะ การเผชิญหน้าของคนหลายร้อยคนท่ามกลางเศษซากปรักหักพังก็ทำเอากลุ่มคนกลายเป็นเล็กจ้อยราวกับเม็ดข้าวที่ลอยอยู่ในมหาลุมทร

ยันต์เคลื่อนย้ายใช้การไม่ได้ถึงมันจะอยู่นอกเหนือจากการคาดการณ์ของมู่ชิงเกอ แต่ก็เหมือนกับว่ามันจะมีลางสังหรณ์มาก่อน…

ตอนที่ได้รับยันต์เคลื่อนย้าย นางก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ผิดปกติ ทั้งยังขอคำยืนยันจากหวงฝู่ฮ่วน แต่ด้วยคำตอบของหวงฝู่ฮ่วน มันเลยกำจัดความสงสัยในใจนางออกไป

พอบวกกับความพิเศษของยันต์เคลื่อนย้ายนั่นก็ยังทำให้นางไม่สามารถทำการตรวจสอบได้นี่ก็เลยส่งผลให้ตอนที่เห็นคนอื่นใช้ยันต์เคลื่อนย้าย นางก็ยิ่งไม่ได้ไปคิดว่ายันต์ที่ตัวเองได้รับเป็นของจริงหรือของปลอม

และการที่มีคนเล่นลูกไม้กับยันต์เคลื่อนย้ายของคนที่เกี่ยวข้องกับนางเช่นนั้นนางก็ยังสามารถคาดเดาได้หากจะกำจัดก็ต้องถอนรากถอนโคน ก็เหมือนกับมาตรฐานในการจัดการเรื่องราวของนาง

แต่ไหนแต่ไรมาหากต้องต่อกรกับพวกที่มีพลังระดับเดียวกันหรือน้อยกว่า นางก็ไม่เคยมอบโอกาสให้คนอื่นมาก่อน

แต่เวลาเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีพลังแข็งแกร่งเหนือกว่า นางไม่ใช่ว่านางจะไม่อยากถอนรากถอนโคน แต่นั่นก็เป็นเพราะนางนั้นอ่อนแอเกินไป!

อย่างเช่นสำนักหมื่นอสูร หอหลอมศาสตรา หรือว่าตระกูลหลาน…

ถ้าหากพลังของนางแข็งแกร่งเพียงพอ แข็งแกร่งจนถึงขั้นที่กองกำลังพวกนี้ไม่กล้ามาล่วงเกิน เช่นนั้นเรื่องราวในวันนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น ถ้าหากนางแข็งแกร่งเพียงพอ แข็งแกร่งจนถึงขนาดตอนที่เริ่มก่อความแค้นก็สามารถกำจัดกวาดล้างขุมอำนาจพวกนี้ได้ เช่นนั้นก็จะไม่มีเหตุการณ์เช่นวันนี้

ดังนั้นไม่ว่าจะพูดยังไงก็ยังเป็นนางที่อ่อนแอเกินไป!

โดยเฉพาะพวกปีศาจเฒ่าขั้นกักเก็บพวกนั้น พอปรากฏออกมาก็ใช้พลังสะกดข่มมาทางนางเพียงผู้เดียว ความหนักอึ้งที่บ่าทั้งสองข้างของนางก็ยิ่งทำให้นางสัมผัสได้ถึงความรู้สึกตํ่าด้อยสายหนึ่ง

ความรู้สึกตํ่าด้อยเช่นนี้ก็ไม่ได้ปรากฏมาในใจของนางมานานมากแล้ว

วันนี้พอได้รำลึกถึงมันอีกครั้งก็ราวกับจะเป็นกำชับเตือนนาง เตือนถึงเรื่องที่นางยังแข็งแกร่งไม่เพียงพอ!

“มู่ชิงเกอ เจ้าวันนี้ก็ยากที่จะหลบหนี เจ้าก็จำเอาไว้ให้ดีว่าคนพวกนี้ที่รวมตัวกันอยู่รอบกายเจ้าพวกนี้ ล้วนแต่ตกตายไปเพราะเจ้า!” หลานเฟยเยว่หัวเราะขึ้นอย่างบ้าคลั่ง

ไท่สื่อเกาก็ไม่ยอมน้อยหน้า “มู่ชิงเกอเจ้าที่ลงมือสังหารข้าติดต่อกันสองครั้งก็คงจะรู้สึกสะใจมากใช่หรือไม่? วันนี้ข้าก็จะตอบแทนเจ้าอย่างดี!”

“ทำเช่นไรดี?” เจียงหลีแววตาเคร่งเครียด ก่อนจะจ้องมองไปทางมู่ชิงเกอพลางเอ่ยขึ้น

มู่ชิงเกอค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมา เปลือกตาที่ปิดลง พริบตาพลันเปิดออก ในแววตากระจ่างใสก็เปล่งประกายดุดัน “หนีไม่พ้น ก็คงทำได้เพียงรับมือแล้ว!”

สู้ก็สู้! บุญคุณความแค้นจัดการกันให้เสร็จในวันนี้ ก็ยังถือว่าถูกใจนางนัก!

เพียงแต่ว่า…

แววตานิ่งสงบของมู่ชิงเกอกวาดมองไปทางพวกของจ้าวหนานซิงกับฟ่งอวี๋เฟย ทั้งยังมีเจียงหลีกับเฉินปี้เฉิง กล่าวขอโทษขึ้น “ลำบากพวกเจ้าแล้ว”

ในเมื่อยันต์เคลื่อนย้ายของทุกคนล้วนแต่ใช้ไม่ได้ผล เช่นนั้นก็สามารถกล่าวได้เพียงว่าหลานเฟยเยว่กับไท่สื่อเกา ตั้งแต่เริ่มต้นก็ไม่ได้คิดจะปล่อยพวกเขาเหล่านี้ไป

และแน่นอนว่าเฉินปี้เฉิงสามารถเสือกที่จะจากไปได้

แต่ว่าด้วยนิสัยของเขา จะยอมไปรึ?

เกรงว่าการปะทะเป็นตายกันครั้งนี้ สำหรับเขาแล้วก็เห็นเป็นโอกาสอันดีในการฝึกฝนตัวเองโอกาสหนึ่ง

จ้าวหนานซิงยืดอกพลางกล่าวแย้มยิ้มขึ้น “ชิงเกอข้าก็เป็นศิษย์พี่ของเจ้า มีคนรังแกมาถึงประตูบ้าน คนที่เป็นศิษย์พี่ไม่ปกบ้องเจ้าแล้วจะปกบ้องใคร?” รอยยิ้มอ่อนโยนดุจหยกของเขาก็ให้ผู้คนรู้สึกอุ่นใจนัก

เขาหันเอ่ยวาจาไปทางคนของแคว้นอวี๋พวกนั้น “วันนี้ในเมื่อพวกเราออกไปไม่ได้ ก็ให้เอาจิตวิญญาณของลูกผู้ชายแคว้นอวี๋ออกมา อย่าได้ให้พวกหนูสกปรกมาดูถูกได้!”

“พะย่ะค่ะ!” ทหารกล้าแคว้นอวี๋พวกนั้นภายใต้การปลุกเร้าขององค์ชายของพวกเขาก็พากันสงบจิตใจลง ยืดหลังที่ถูกความกดดันของผู้แข็งแกร่งกดลงเหยียดตรงขึ้นมาอีกครั้ง

“ทหารกล้าแคว้นลี่อยู่ที่ใด?” ฟ่งอวี๋เฟยร้องตะโกนขึ้นเสียงหนึ่ง

คนของแคว้นลี่พากันก้าวยืนออกมายืนหลังตรงอยู่ด้านหลังของนาง

ความอ่อนหวานบนใบหน้าของฟ่งอวี๋เฟยถูกสลายไปจนสิ้น เหลือไว้เพียงความองอาจของรัชทายาทหญิง “วันนี้ ร่วมรบกับข้าสักครั้ง พวกเจ้ากล้าหรือไม่?”

“แม้ตายก็จะขอติดตามองค์รัชทายาท!” เหล่าทหารกล้าแคว้นลี่กล่าวอย่างองอาจฮึกเหิม

พอจิตใจตั้งมั่นฮึกเหิมก็ทำให้พวกเขาที่มาจากแคว้นระดับสาม หลังเหยียดตรงองอาจตั้งกระบี่ ไม่ยอมก้มหัวให้ศัตรูแม้จะกล้าแกร่งเพียงใด ถึงแม้ว่าวันนี้ที่ต้องเผชิญหน้าด้วยจะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับชั้นกักเก็บที่สามารถตบพวกเขาให้แหลกเพียงแค่ฝ่ามือเดียวได้ แต่นั้นก็ยังไม่เพียงพอ!

ความฮึกเหิมที่โหมกระหนํ่าอยู่ด้านหลังเหล่านั้นก็ทำให้ มุมปากของมู่ชิงเกอยกสูงขึ้น นางกล่าวเสียงกดตํ่า “องครักษ์เขี้ยวมังกร!”

“อยู่ขอรับ!”

“อยู่ขอรับ!”

“อยู่ขอรับ!”

“อยู่ขอรับ!” เสียงตอบรับดังกระหึ่มขึ้นมา นํ้าเสียงดุดันทรงพลัง ไม่มีท่าทีลังเล ไม่มีนํ้าเสียงกังวลแม้แต่สายเดียว

ทั้งสามร้อยคนไม่มีข้อยกเว้นยืนอยู่ด้านหลังของมู่ชิงเกอ สายตาจ้องมองไปยังทิศทางของตระกูลหลาน สายตาที่ไม่เกรงกลัวนั้นก็ปะทะกับขุมกำลังอันกล้าแกร่งกลางอากาศ และมันก็ไม่เป็นรองแม้แต่น้อย

พวกเขาก็ได้ตัดสินใจที่จะตายเพื่อปกป้องมู่ชิงเกอแล้ว ความรู้สึกนั้นก็พลันหลอมรวมกันกลายเป็นรูปธรรม ที่บนหัวของพวกเขาก็พลันปรากฏโล่แสงขึ้นสายหนึ่งหันชี้ไปทางศัตรู!

บนท้องฟ้า โล่สีนํ้าเงินครามพลันปรากฏขึ้น ทำเอาผู้คนจำนวนไม่น้อยกลายเป็นตกตะลึง

ก็แม้แต่ปีศาจเฒ่าพวกนั้น ก็ยังปรากฏความรู้สึกจริงจังขึ้นมา

จิตอันบริสุทธิ์นั้นไร้ซึ่งการแปดเปื้อน ทำให้จิตใจของผู้คนกลายเป็นสั่นไหว

ไม่เพียงแค่คนนอก ก็แม้แต่มู่ชิงเกอเองก็ยังรู้สึกแปลกใจ นางก็ไม่เคยรู้ว่าจิตวิญญาณขององครักษ์เขี้ยวมังกรจะถึงขั้นปรากฎเป็นรูปธรรมได้ถึงขั้นที่ก่อนหน้านั้นนางยังคิดว่าจิตวิญญาณเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้เสียอีก

“ก็ถึงกับเปลี่ยนความนึกคิดเป็นโล่ป้องกันได้ องครักษ์พวกนี้จริงๆ แล้วก็มีความภักดีกับมู่ชิงเกอถึงขั้นไหนกันแน่? ถึงสามารถทำให้พวกเขาเป็นเช่นนี้ได้!” ในแคว้นระดับสอง นายกองของแคว้นอวี่เอ่ยขึ้นอย่างตกตะลึง

ฉากภาพที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนนี้ ก็กำลังปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขา ความอัศจรรย์เช่นนี้ก็มากเกินกว่าตอนที่พวกปีศาจเฒ่าพวกนั้นปรากฏกายออกมาเสียอีก

“ไม่อาจประมาท ห้ามประมาทเป็นอันขาด!” นายกองของแคว้นอวี่ส่ายหน้าติดต่อกันอย่างตกตะลึง

โล่ยักษ์ที่ลอยอยู่บนฟ้าด้านบนหัวของตนก็ทำให้เหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรแปลกใจมากเช่นกัน แต่พวกเขาก็เหมือนจะได้รับการสืบทอดมากจากมู่ชิงเกออย่างลึกซึ้งนัก ไม่เผยสีหน้าใดๆ

ดึงความตกตะลึงในใจกลับ มู่ชิงเกอจ้องมองไปที่โล่ใบนั้นในส่วนของแววตาก็เหมือนกับกำลังคิดอ่านอันใดอยู่

เฉินปี้เฉิงก็มองไปยังโล่สีนํ้าเงินบริสุทธิ์นั้นเช่นกัน ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยขึ้น “ช่างมีลูกน้องที่ดีนัก”

“ความคิดอยากปกป้องข้าของพวกเจ้า ข้านั้นสัมผัสได้แล้ว ทว่าเวลาที่ต้องเผชิญกับศัตรูการป้องกันที่ดีที่สุดก็คือการโจมตีอย่างเด็ดขาด!” มู่ชิงเกอแววตากระจ่างวูบ

เปิดปากขึ้นเสียงเย็น คำพูดของนางพอจบลง ในแววตาขององครักษ์เขี้ยวมังกรทั้งสามร้อยนายก็ราวกับว่าจะปรากฏแสงเจิดจ้าออกมา ตะโกนรับทราบขึ้นพร้อมเพรียงกัน “ขอรับ!”

ต่อจากนั้น ฉากภาพที่ทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงก็พลันเกิดขึ้น—-

โล่สีนํ้าเงินบริสุทธิ์ที่อยู่ด้านบนศีรษะขององครักษ์ที่กำลังปกป้องมู่ชิงเกอเอาไว้ในขณะนั้นก็พลันเกิดการเปลี่ยนแปลง สีนํ้าเงินโปร่งแสงค่อยๆ กลายเป็นเข้มขึ้น จากสีน้ำเงินกลายเป็นสีแดงเลือด ตัวโล่ก็ได้กลายเป็นกระบี่แหลมคมเล่มหนึ่ง ชี้ตรงไปยังหัวของศัตรู

กลิ่นไอบนตัวขององครักษ์เขี้ยวมังกรก็ได้เปลี่ยนไปเช่นกัน จากก่อนหน้าที่เป็นการปกป้องอย่างขึงขัง พริบตากลายเป็นแสงกระบี่ที่พ้นออกจากฝัก แหลมคมดุดันหาใดเปรียบ

จุดที่ถูกพวกเขากวาดตามองไปก็เหมือนกับจะกลายเป็นสถานที่แห่งความตายอย่างไรอย่างนั้น

ส่วนทิศทางที่กระบี่ยักษ์สีแดงที่ลอยเด่นอยู่บนฟ้าเล่มนั้นชี้ออกไป คนที่ระดับค่อนข้างต่ำก็ยังสัมผัสได้ถึงความเหน็บชาด้านบนศีรษะ

การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ก็ทำให้คนอื่นๆ พากันตกตะลึง แต่นั้นกลับทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกยินดี

การฝึกฝนแบบใหม่ราวกับว่าจะปรากฏรูปลักษณ์รางๆ ขึ้นในหัวของนาง ทำให้นางหาวิธีการที่จะเพิ่มความสามารถในการรบขององครักษ์เขี้ยวมังกรขึ้นมาใหม่ได้!

ปีศาจเฒ่าหลานกังของตระกูลหลานก็หันไปกล่าวเสียงเบากับหลานเฟยเยว่ “คนผู้นี้ไม่อาจปล่อยเขาเอาไว้ได้อีก หากปล่อยให้พัฒนาต่อไป ในอนาคตก็จะกลายเป็นภัยพิบัติครั้งใหญ่ของตระกูลหลาน”

“ท่านอาไม่ต้องกังวล วันนี้จะต้องเอาชีวิตของเขาให้ได้” หลานเฟยเยว่กล่าวด้วยแววตาที่เต็มไปความเคียดแค้นชิงชัง

พรสวรรค์ของมู่ชิงเกอ ความสามารถขององครักษ์เขี้ยวมังกรก็ยิ่งเป็นกำหนดกะเกณฑ์ให้คนเหล่านี้คิดอยากสังหารนาง

ถ้าหากวันนี้มู่ชิงเกอไม่ตาย พวกเขาก็สามารถคาดเดาได้ว่าในภายหลังคนที่จะถูกทำลายย่อยยับก็จะเป็นพวกเขาเหล่านี้ทั้งยังมีขุมอำนาจที่อยู่ด้านหลังของพวกเขา อีก

นี่ก็เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่อนุญาตให้มันเกิดขึ้น

ดังนั้น ถึงแม้ตอนก่อนหน้าพวกเขาจะมีความคิดไม่อยากเสียเกียรติที่ยกขบวนมารุมจัดการคนรุ่นเยาว์แต่ตอนนี้ก็ไม่อาจไม่จริงจังขึ้นมาได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version