ตอนที่ 193-3
เริ่มตะลุมบอน ความสามารถที่ไม่คาดคิด ขององครักษ์เขี้ยวมังกร!
ช่องว่างแห่งการทดสอบ สุสานเทวะ
“ลงมือเถอะ” ปีศาจเฒ่าขั้นกักเก็บของสำนักหมื่นอสูรผู้หนึ่งเอ่ยปากขึ้น
ด้วยประสบการณ์ของเขา การกระทำเรื่องราวหากไม่รีบจัดการให้เด็ดขาด มัวแต่ยื้อยุดเวลาต่อไป ก็มีแต่จะทำให้เกิดเหตุไม่คาดฝันต่างๆ นานา
‘นี่จะเริ่มกันแล้วรึ!’
คนของแคว้นระดับสองที่พากันมุงดูอยู่ก็พากันตื่นตระหนกขึ้น
“ช้าก่อน” ทันใดนั้นเองผู้นำขบวนของแคว้นตี๋ก็เดินออกมา
การส่งเสียงของเขาก็ทำให้ปีศาจเฒ่าของสำนักหมื่นอสูรที่เปิดปากเมื่อครู่รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง สายตาสายหนึ่งกวาดมองไป ผู้นำขบวนของแคว้นตี๋พลันเอามือกุม “อั๊ก!” กระอักเลือดสีแดงสดออกมาคำหนึ่ง
“ใต้เท้า!”
คนของแคว้นตี๋พวกนั้นก็พากันรุมล้อมไปข้างกายเขาอย่างตื่นตระหนก ในแววตาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดแต่ไม่กล้ากล่าววาจา
นี่เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขั้นกักเก็บ! ระดับขั้นที่พวกเขาไม่เคยได้ยินถึงมาก่อน แล้วนี่จะให้พวกเขาจะไปล่วงเกินได้อย่างไร?
ผู้นำขบวนของแคว้นตี๋ยกมือขึ้นสั่งให้คนข้างกายพวกนั้นเงียบเสียงลง
เขาหันไปกล่าวกับมู่ชิงเกอ “คุณชายมู่ท่านก็เป็นคนที่น่าเลื่อมใสผู้หนึ่ง องครักษ์ของท่านก็เป็นวีรบุรุษตัวจริง วันนี้ก็ขอโปรดให้อภัยที่แคว้นตี๋ของพวกเราไม่อาจเข้าร่วมในเหตุการณ์ครั้งนี้ได้ แผ่นป้ายที่อยู่กับท่านพวกเราแคว้นตี๋ก็จะไม่แตะแม้แต่ชิ้นเดียว ท่านวางใจ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร คำมั่นสัญญาที่เคยให้กับท่านไว้ พวกเราก็จะยึดมั่นปฏิบัติตาม! โปรดรักษาตัวด้วย!”
คำมั่นที่แคว้นตี๋ให้กับมู่ชิงเกอชัดเจนว่าหมายถึงรางวัลที่แคว้นตี๋เคยมอบให้ในวันนั้นวันที่มู่ชิงเกอมาถึงเทียนตูครั้งแรก แล้วสามารถแข่งขันชนะในงานเลี้ยงยามคํ่าที่วังหลวง
ผู้นำของแคว้นตี๋บางทีอาจเป็นเพราะความตกตะลึงที่องครักษ์เขี้ยวมังกรแสดงออกมาทำให้เลื่อมใส หรือบางทีอาจเป็นเพราะชื่นชมเลื่อมใสมู่ชิงเกอที่เวลาเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าก็ไม่ยังแสดงทำทางหวาดกลัวหรือหวั่นเกรงออกมา
เขาก็ไม่คิดจะรั้งอยู่ที่นี่ต่ออีก รอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์
หลังจากกล่าวประโยคเหล่านั้นต่อมู่ชิงเกอเสร็จแล้ว เขาก็ออกคำสั่งให้คนทั้งหมดของแคว้นตี๋ฉีกยันต์เคลื่อนย้ายในมือ ก่อนจะหายลับไป
คนของแคว้นตี๋พอจากไป ตอนนี้ก็เหลือแต่คนของแคว้นหรงกับแคว้นอวี่
ผู้นำขบวนของแคว้นอวี่คิดแล้วคิด ก่อนที่สุดท้ายจะฉีกยันต์เคลื่อนย้ายจากไป
ส่วนผู้นำของแคว้นหรงก็มีความรู้สึกไม่ยินยอมอยู่บ้าง เอ่ยขึ้นท่าทางลังเล “คุณชายมู่สถานการณ์ในตอนนี้ คิดว่าแผ่นป้ายอยู่บนมือของเจ้าก็คงไม่มีประโยชน์อะไร ไม่สู้แสดงนํ้าใจเล็กน้อยมอบมันให้ข้าเป็นอย่างไร?’’
สายตาดูแคลนของมู่ชิงเกอกวาดมองไปทางเขาชั่วพริบตา ก็ทำให้เขารู้สึกกระดากอายจนต้องฉีกยันต์เคลื่อนจากไป
“คนที่ควรไปก็ล้วนแต่จากไปหมดแล้ว จะสู้กันได้รึยัง” มุมปากของมู่ชิงเกอยกโค้งขึ้นด้วยรอยยิ้มเย็นยะเยือก ในแววตาลุกโชนไปด้วยประกายแห่งการฆ่าฟัน
“ฆ่า—–!” เสียงคำรามกดต่ำก็ดังออกจากปากของมู่ชิงเกอ
นางก็เหมือนศรออกจากคันธนู ลงมืออย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด
ทวนหลิงหลงกลายเป็นทวนชั้นเทพ ถูกนางกำเอาไว้ในมือ เป้าหมายของนางก็มีสองคน ไท่สื่อเกากับหลานเฟยเยว่!
ความรวดเร็วของมู่ชิงเกอก็ทำให้คนไม่น้อยตั้งตัวไม่ทัน
แต่ว่าในเหล่าคนพวกนั้น ก็ไม่ได้หมายถึงยอดยุทธ์ขั้นกักเก็บ
ในตอนที่หลานเฟยเยว่กับไท่สื่อเกาตกตะลึงสีหน้าเปลี่ยนสีอยู่ใต้เงาทวนของมู่ชิงเกอ ก็มีฝ่ามือสองสายจากทิศทางที่แตกต่างกันเข้าคว้าตัวพวกเขาเอาไว้ ดึงพวกเขาออกจากรัศมีการโจมตีของมู่ชิงเกอ เงาทวนอันแหลมคมเฉียดผ่านตัวของหลายเฟยเย่ว่กับไท่สื่อเกาไป ทิ้งรอยฉีกขาดเอาไว้บนเสื้อผ้าของพวกเขา
อยู่หลายรอย
ถ้าหากหลานกังกับปีศาจเฒ่าขั้นกักเก็บของสำนักหมื่นอสูรช้าไปกว่านี้อีกนิด เกรงว่าที่ถูกฟันลงมาก็จะไม่ใช่เศษผ้าไม่กี่ชิ้นพวกนี้ แต่คงจะเป็นหัวของหลานเฟยเยว่กับไท่สื่อเกา
‘ช่างน่าเสียดายนัก!’ การลอบโจมตีล้มเหลว มู่ชิงเกอก็รู้สึกเสียดายอยู่เล็กน้อย
คิดอยากจะลงมือโดยไม่ทันตั้งตัวแบบเมื่อครู่อีกก็คงจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว
“ขวัญกล้าบังอาจนัก!” หลานกังร้องคำรามขึ้นเสียงหนึ่ง ฝ่ามือฟาดตีไปทางมู่ชิงเกอ
พร้อมกันนั้นก็ยังมีปีศาจเฒ่าของสำนักหมื่นอสูรผู้นั้นที่ลงมือ
ร่างของมู่ชิงเกอลอยชะงักอยู่กลางอากาศ พยามยามเอี้ยวตัวสุดแรง ต้องการจะหลบการโจมตี
ในตอนที่การโจมตีของหลานกังใกล้จะมาถึงตรงหน้าของมู่ชิงเกอแล้ว เงาร่างสายหนึ่งก็พลันมาขวางอยู่ที่ด้านหน้าของนาง รับการโจมตีฝ่ามือนั้นของหลานกัง แทนนาง
ส่วนเอวของมู่ชิงเกออยู่ๆ ก็มีบางอย่างมาพันรัดเอาไว้ ก่อนจะถูกลากออกไปในทันใด
สายตาของนางกวาดมองไปอย่างรวดเร็ว พอค้นพบว่าเป็นเจียงหลีที่กระตุ้นการทำงานของสายเลือดอสรพิษแล้ว หางที่ปรากฏยาวออกมากำลังดึงตัวนางกลับไป
ส่วนเฉินปี้เฉิงก็แข็งขืนเข้าปะทะรับฝ่ามือของหลานกัง ถึงแม้เขาจะออกแรงสุดกำลังแต่ก็ยังต้องถอยหลังออกไปหลายก้าวอยู่ดี
พอควันจางหายไป หลานกังก็มองไปทางเขาอย่างดูแคลน “หึ ไม่รู้จักเจียมตน การสั่งสอนเมื่อห้าปีก่อนยังไม่พอรึ?”
เฉินปี้เฉิงสีหน้ายังคงเคร่งขรึมยืนอยู่ด้านหน้าของหลานกัง “ห้าปีก่อน ข้าภายใต้เงื้อมือของเจ้าก็ยื้อต่อไปได้ไม่ถึงร้อยกระบวน แต่หลังจากนั้นห้าปี ข้าก็อยากจะลองดูซิว่าจะสามารถสังหารเจ้าได้หรือไม่!”
หลานกังดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างขึ้น ตวาดว่า “เจ้าคนอวดดี!”
พอตวาดจบเขาก็กลายเป็นเส้นแสงสายหนึ่ง พุ่งเข้าไปปะทะกับเฉินปี้เฉิง
ศึกใหญ่ก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว กระบี่แหลมคมสีเลือดด้านบนศีรษะขององครักษ์เขี้ยวมังกรก็พลันปะทะเข้ากับผู้แข็งแกร่งขั้นสีม่วง พลังนั่นก็ถึงกับสามารถต่อกับผู้แข็งแกร่งขั้นสีม่วงได้อย่างไม่อ่อนด้อย
ไม่ว่าผู้แข็งแกร่งขั้นสีม่วงจะปล่อยการโจมตีเข้าใส่เขาคนไหน การโจมตีพวกนั้นก็เหมือนกับจะถูกกระบี่สีเสีอดที่พวกเขารวมพลังเข้าด้วยกันฟันสลายหายไป
สามารถกล่าวได้ว่า ไม่ว่าองครักษ์เขี้ยวมังกรคนไหนถูกผู้แข็งแกร่งระดับสีม่วงขั้นสูงสุดฟาดตีมาฝ่ามือหนึ่ง พลังสายนั้นพอตกลงที่ตัวเขาก็จะถูกสลายหายไป พอถูกองครักษ์เขี้ยวมังกรทั้งสามร้อยคนแบกรับการโจมตีเอาไว้ด้วยกัน พลังของผู้แข็งแกร่งระดับสีม่วงขั้นสูงสุดก็จะถูกทอนลงให้กลายเป็นการโจมตีของผู้ฝึกยุทธ์ระดับสีเขียวหรือระดับสีเหลือง
การโจมตีเช่นนี้สำหรับองครักษ์เขี้ยวมังกรแล้ว แม้แต่การป้องกันของเกราะที่หลอมตีจากหนังมังกรวารีบนตัวของพวกเขาก็ยังไม่อาจทะลวงได้ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการทำให้พวกเขาได้รับบาดเจ็บเลย
ความมหัศจรรย์อย่างการหลอมรวมพลังและชีพจรเป็นหนึ่งนี้ องครักษ์เขี้ยวมังกรก็ไม่สามารถเข้าใจได้ และตัวมู่ชิงเกอเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
การสอดประสานขององครักษ์เขียวมังกรสามร้อยคนก็สามารถต้านรับเอาการโจมตีของผู้แข็งแกร่งระดับสีม่วงได้
ส่วนคนที่จ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟยนำมาก็โจมตีไปทางรุ่นเยาว์ที่มีระดับการฝึกฝนอ่อนด้อยที่สุดของฝั่งตระกูลหลาน
และแน่นอนว่าถึงจะถูกเห็นเป็นพวกที่อ่อนแอที่สุด แต่นั่นก็ยังมีพลังระดับเดียวกันกับพวกเขา รุ่นเยาว์ที่แท้จริงของตระกูลหลานพวกนี้พออยู่ต่อหน้าของคนของแคว้นลี่กับแคว้นอวี๋ก็ยังถือว่าแข็งแกร่งอยู่ดี
ผู้เยี่ยมยุทธ์ขั้นกักเก็บพอถูกเฉินปี้เฉิงพัวพันไปคนหนึ่ง เจ็ดคนที่เหลือก็ทำการล้อมกรอบมู่ชิงเกอกับเจียงหลีเอาไว้
พวกเขาก็มีความคิดหลักแหลม รู้ว่าการสังหารมู่ชิงเกอถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
เฮยมู่ โหลวเสวียนเถี่ย ไท่สื่อเกาทั้งยังมีหลานเฟยเยว่ คนพวกนี้ก็มีความแค้นลํ้าลึกกับมู่ชิงเกอมากที่สุด ก็อยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้ด้วย รอดูจุดจบที่กำลังจะมาถึงของมู่ชิงเกอ
“เป็นยุทธ์ภัณฑ์ชั้นเทวะจริงๆ? เด็กน้อยเช่นเจ้าจะไปเหมาะกับยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะได้อย่างไร!” ปีศาจเฒ่าชั้นกักเก็บของหอหลอมศาสตราผู้หนึ่งจ้องมองไปทางทวนหลิงหลงในมือของมู่ชิงเกอ ประกายละโมบไหลแล่นขึ้นมาจากส่วนลึกของดวงตา
กลิ่นไอที่พุ่งออกมาจากตัวทวนหลิงหลง ไอสังหารที่ดุดัน แหลมคมนั่นก็ทำให้เขาอดนํ้าลายไหลไม่ได้
“เอามันมาให้ข้า!” เขาหักห้ามความละโมบเอาไวไม่ไหว วาดมือคว้าไปทางมู่ชิงเกอ
แรงดูดอันแรงกล้าพลันพุ่งมาที่ตรงหน้าของมู่ชิงเกอ ลากดึงเอาทวนหลิงหลงในมือนาง
นางแววตาเย็นยะเยือก นิ้วทั้งห้ากำเอาไว้แน่น แน่นจนข้อกระดูกกลายเป็นซีดขาว
“หยวนหยวน!” นางร้องคำรามขึ้นเสียงหนึ่ง เปลวเพลิงไร้ลักษณ์สายหนึ่งก็พลันแล่นออกจากมือนางก่อนจะไหลเข้าไปในทวนหลิงหลง
พญาเพลิงปาฮวงซูคงนั้นมองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ เหมาะกับการลอบโจมตีมากที่สุด
แต่ถึงอย่างนั้นผู้กล้าแกร่งขั้นกักเก็บของหอหลอมศาสตราผู้นั้นก็เหมือนจะสัมผัสกับอะไรได้ สะบัดมือออกไปทันเวลา ไม่ได้โดนพญาเพลิงพญาสัมผัสโดนส่วนแขน
แต่ว่าปลายนิ้วของเขาก็ยังไหลแล่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่เหมือนกับถูกเผาไหม้กัดกร่อน
ปลายนิ้วหลายนิ้วพริบตาก็พลันกลายเป็นว่างเปล่า
“พญาเพลิงปาฮวงซูคง!” ปีศาจเฒ่าขั้นกักเก็บของหอหลอมศาสตรา ตาเดียวก็สามารถแยกแยะความเป็นมาของเพลิงประหลาดที่เผาไหม้ปลายนิ้วของตน เขาก็ไม่กล้าประมาทอีก เร่งรีบส่งพลังในร่างของตนไปดับทำลายพญาเพลิงปาฮวงซูคงที่ยังคงลุกไหม้อยู่ที่ปลายนิ้ว
มู่ชิงเกอก็สามารถสังเกตเห็นได้ว่าสีในพลังจิตของเขาก็เหมือนกับว่าจะมีสีเทารางๆ แอบซ่อนอยู่ในพลังสีม่วงเข้มของเขา
ทันใดนั้นเองนางก็คิดได้ถึงเรื่องๆ หนึ่ง
ทำไมผู้แข็งแกร่งที่เกิดในหลินชวนถึงได้ดูแข็งแกร่งกว่ายอดยุทธ์จากตระกูลเล่อที่ ‘แอบลอบ’ เข้ามาพวกนั้น
‘เพราะยอดยุทธ์ที่มาจากด้านนอกจะได้รับการสะกดพลังจากแผ่นดินหลินชวน แต่ยอดยุทธ์ของหลินชวนนั้นไม่ได้รับผลกระทบจากการสะกดพลัง!’
เสียงของหยินเฉินอยู่ๆ ก็ดังขึ้นมา มันกล่าวอย่างร้อนใจ ‘นายท่าน รีบปล่อยข้าออกไปเถอะ!’
‘หยินเฉิน!’ มู่ชิงเกอแววตาพร่ามัว กล่าวกับมันขึ้นในใจ ‘การต่อสู้เช่นนี้ สำหรับเจ้าแล้ว…’
“นายท่าน การเจริญเติบโตของสัตว์อสูรก็ต้องการการต่อสู้อย่างต่อเนื่อง หน้าที่ของข้าก็คือการปกป้องท่าน แต่ไม่ใช่ให้ท่านมาปกป้องข้า ให้ข้าออกไป!” หยินเฉินขัดคำพูดของมู่ชิงเกอขึ้น
มู่ชิงเกอดวงตาทั้งสองข้างหรี่เล็กลง สลายการควบคุมที่มีต่อหยินเฉิน แสงสีขาวสายหนึ่งอยู่ๆ ก็ปรากฏวูบขึ้น หยินเฉินพลันกลายร่างเป็นจิ้งจอกเก้าหาง ร่อนลงที่ข้างกายของมู่ชิงเกอ
เจียงหลีจ้องมองไปทางหยินเฉินอย่างตกตะลึง กล่าวกับมู่ชิงเกอว่า “ดูท่าทุกคนก็จะต้องแสดงไพ่ตายหน่อยแล้ว”
พอกล่าวจบนางก็กัดไปที่ปลายนิ้วของตน บีบเลือดออกมาหยดหนึ่งก่อนจะดีดมันไปในอากาศ ชั่วขณะนั้น พลังกดดันอันกล้าแกร่งที่ราวกับมาจากยุคบรรพกาลสายหนึ่งก็พลันพุ่งทะยานลงจากฟ้า
เส้นผมของเจียงหลีลอยสูงขึ้น ก่อนจะกลายร่างเป็นเทพอสรพิษของยุคโบราณ หยดเลือดที่บูชาต่อฟ้าสายนั้น หลังจากระเหยไปจนหมด พลังกดดันของนางก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ…
ระดับสีม่วงขั้นต้น ระดับสีม่วงขั้นกลาง ระดับสีม่วงขั้นสูง ระดับสีม่วงขั้นสูงสุด…ขั้นกักเก็บขั้นต้น!