ตอนที่ 193-4
เริ่มตะลุมบอน ความสามารถที่ไม่คาดคิด ขององครักษ์เขี้ยวมังกร!
พลังระดับสุดท้ายของเจียงหลีถึงกับหยุดอยู่ที่ขอบเขตของชั้นกักเก็บขั้นต้น
มู่ชิงเกอมองไปทางนางอย่างตกตะลึง เจียงหลีในตอนนี้ก็งดงามมากขึ้นกว่าเดิม สีหน้าเย็นชาดุจนํ้าแข็ง หางงู ร่างคน เงาร่างเทพอสรพิษด้านหลังก็ดูดุดันขึ้น มือทั้งสองข้างถือกริชรูปอสรพิษที่แฝงไว้ด้วยความดุดัน
‘นี่ก็เป็นพลังทางสายเลือดที่แท้จริงของแคว้นกู่วู่รึ!’ มู่ชิงเกอในที่สุดก็เข้าใจว่าทำไมแคว้นกู่วู่ที่มีประชากรน้อยที่สุดถึงมีสถานะที่พิเศษขนาดนั้นต่อแผ่นดินหลินชวน เกรงว่าการระเบิดพลังของของเจียงหลีเช่นนี้ จะทำให้ระดับพลังของตัวเองเพิ่มสูงขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง
นี่ถ้าหากนางเป็นผู้ยอดยุทธ์ระดับสีม่วงขั้นสูงสุด แล้วทำการระเบิดพลังขึ้นมา บางทีก็อาจจะเข้าสู่ขั้นกักเก็บขั้นสูงสุดหรือไม่ก็ไปได้สูงยิ่งกว่านั้น
“สัตว์เทวะจำแลง พลังทางสายเลือดของฮ่องเต้หญิงแคว้นกู่วู่! แถมยังมีพญาเพลิง! ของดีในตัวเจ้ามีอยู่ไม่น้อยเลย!”
พลังที่มู่ชิงเกอฝั่งนี้แสดงออกมา ต่อให้เป็นปีศาจเฒ่าขั้นกักเก็บพวกนั้นก็ยังอดนํ้าลายไหลไม่ได้
ส่วนไท่สื่อเกากับหลานเฟยเยว่ทั้งสองคนที่แต่ไหนแต่ไร ทะนงตนหยิ่งยโสว่าตนเองนั้นสูงศักดิ์ในตอนนี้ความชิงชังที่มีต่อมู่ชิงเกอก็ยิ่งเพิ่มเป็นเท่าทวี พร้อมกับนั้นก็ยังมีความริษยาที่กระเพื่อมสูงขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด!
ถือสิทธิ์อะไร? ถือสิทธิ์อะไรที่ของทั้งหมดที่ทำให้เหล่าผู้อาวุโสพวกนี้นํ้าลายไหลล้วนแต่รายล้อมอยู่รอบตัวมู่ชิงเกอ?
พวกเขาต่างหากที่เป็นผู้โดดเด่น เป็นที่ผู้ได้รับความรักจากสวรรค์!
มู่ชิงเกอยิ้มหยันพลางกล่าวว่า “นี่ก็ยังไม่เท่าไร?”
มู่ชิงเกอวาดมือออกไป เด็กน้อยอายุสามสี่ขวบที่สวมใส่เอี๊ยมสีแดงกับกางเกงชั้นในสีเขียวคนหนึ่งก็พลันปรากฏกายออกมา
การแต่งตัวสีฉูดฉาดของเขาก็ทำเอากลุ่มคนนิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง
มู่ชิงเกอเองก็อดไม่ได้ที่จะเบ้ปากขึ้น
ไม่ต้องพูดก็รู้ว่าจะต้องเป็นเหมิงเหมิงที่จับหยวนหยวนแต่งตัวจนดูประหลาดตาเช่นนี้
“พวกเจ้ากล้ามารังแกลูกพี่ของข้า! ดูซิว่าข้าจะเผาพวกเจ้าแต่ละคนจนกลายเป็นผุยผงเช่นไร!” หยวนหยวนเอ่ยขึ้นเสียงไม่พอใจ พอกล่าวจบก็พ่นไฟออกไป ที่พ่นออกไปจากปากของเขาเป็นพญาเพลิงปีศาจไป๋กู่ เปลวเพลิงสีขาวดุจนํ้าแข็งอันหนาวเหน็บแผดเผาออกไปเป็นวงกว้าง
หลานเฟยเยว่กับไท่สื่อเกาภายใต้การคุ้มครองของผู้เยี่ยมยุทธ์ของขุมกำลังตนก็สามารถหลบรอดไปได้อีกครั้ง
มู่ชิงเกอก็สังเกตได้ว่า มือป้อมๆ ทั้งสองข้างของหยวนหยวนกำลังลอบทำสัญลักษณ์อยู่ที่แผ่นหลัง พญาเพลิงปาฮวงซูคงสายแล้วสายเล่า ร่วงตกดุจสายฝน ร่วงตกลงไปยังศัตรูที่กำลังสู้รบอยู่อย่างไม่ขาดตกแม้แต่คนเดียว
“อ๊า—–!”
“อ๊า อ๊า—–!”
ทันใดนั้นเองศิษย์รุ่นเยาว์กับยอดยุทธ์ขั้นสีม่วงของตระกูลหลาน สำนักหมื่นอสูรและหอหลอมศาสตราที่กำลังต่อสู้อยู่ก็พากันถูกสะเก็ดเพลิงจนต้องร้องกระโดด ออกมา เสียงร้องเจ็บปวดดังขึ้นสะท้อนไปทั่ว
มีบางคนที่ชักช้าถูกเผาไหม้จนเหลือแต่ความว่างเปล่า ยอดยุทธ์ขั้นกักเก็บที่เผชิญหน้ากับมู่ชิงเกอเร่งกล่าวว่า “นี่เป็นพญาเพลิงปาฮวงซูคงรีบใช้พลังจิตดับทำลายเร็วเข้า หากไม่ทันการก็ตัดส่วนที่โดนเผาไหม้ออกทิ้งไป”
คำเตือนประโยคนี้ขอเพียงเป็นคนที่ถูถโจมตี สีหน้าก็ล้วนแต่พากันซีดขาว
หยวนหยวนมองไปทางมู่ชิงเกออย่างภาคภูมิพลางเอ่ยขึ้น “ลูกพี่ ผลงานของหยวนหยวนเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ทำได้ไม่เลวนัก!” มู่ชิงเกอกล่าวชมเชยอย่างไม่หวงคำชม
ตอนนี้หยินเฉินกับเจียงหลีก็ได้แยกกันไปต่อกรกับผู้เยี่ยมยุทธ์ขั้นกักเก็บแล้ว มีเพียงนางตรงนี้เท่านั้นที่ยังไม่ได้ลงมือจริงๆ
ปีศาจเฒ่าขั้นกักเก็บของหอหลอมศาสตราที่เอาแต่จ้องนางไม่ปล่อยผู้นั้น ก็กำลังจ้องมองไปทางหยวนหยวน กล่าวด้วยแววตาแหลมคม “สามารถมีพญาเพลิงสอง ชนิดในเวลาเดียวกันได้ เจ้าก็เป็นพญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวน!”
“อะไรนะ? ทารกนั้นก็เป็นพญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวน?” โหลวเสวียนเถี่ยกลายเป็นตกตะลึง
“เจ้าเฒ่าจะมองอะไรกันเล่า? ข้าเป็นพญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวน!” แขนป้อมๆ ของหยวนหยวนเท้าสะเอว หน้าตาหยิ่งทะนง บนใบหน้าเรียวเล็กที่เรียบเนียนดุจ หยกนั่นก็เหมือนจะเขียนเอาไว้ว่า ‘หากไม่ยินยอมก็เข้ามาเลย’
น่าโมโหนัก น่าโมโหนัก!
ใบหน้าของโหลวเสวียนเถี่ยกลายเป็นบิดเบี้ยวจนน่ากลัว จ้องเขม็งไปที่หยวนหยวนราวกับว่าอยากจะกลืนกินมันลงไปตอนนี้
‘พญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวนนี้แต่เดิมก็ควรจะเป็นของข้า! เป็นของข้า! เป็นของข้า! ล้วนเป็นเพราะมู่ชิงเกอที่แย่งชิงไป ไม่เช่นนั้นไหนเลยจะมีที่ให้เขาอวดดีได้เช่นนี้?’ โหลวเสวียนเถี่ยด่าว่าในใจ
“หึ ก็เป็นแค่พญาเพลิงที่กำลังเจริญเติบโต นึกว่าตัวเองเก่งกาจไม่มีคู่ต่อกรแล้วรึ?” ปีศาจเฒ่าขั้นกักเก็บของหอหลอมศาสตราผู้นั้นสบถเสียงเย็นขึ้นเสียงหนึ่ง ในแววตากลับไม่ปิดบังความละโมบแม้แต่น้อย
“ข้าจะเป็นคู่มือให้เจ้าเอง!” พอกล่าวจบเขาก็พุ่งไปทางหยวนหยวน
ใบหน้าเล็กป้อมของหยวนหยวนกลายเป็นขึงขัง แปลงกายเป็นเปลวเพลิงพุ่งทะยานออกไป
โหลวเสวียนเถี่ยพอเห็นฉากภาพนี้ก็โมโหจนต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เขาไหนเลยจะเดาไม่ออกถึงแผนการของตาเฒ่าผู้นี้? ชัดเจนว่าเกิดความละโมบ ต้องการจะเอาพญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวนไปเป็นของตัวเอง!
เขาก็ไม่กล้าไปเอาความหรือระบายแค้นกับปีศาจเฒ่าในสำนักของตนพวกนี้ เพราะตนยังเอาความแค้นกับความไม่ชอบธรรมเหล่านี้ย้ายไปลงที่ตัวของมู่ชิงเกอได้ ยอดยุทธ์ขั้นกักเก็บแปดคนตอนนี้ได้ถูกแบ่งออกไปครึ่งหนึ่ง แล้ว
ที่เหลืออีกสี่คนยังรั้งอยู่กับเฮยมู่และโหลวเสวียนเถี่ย คอยรุมล้อมมู่ชิงเกอเอาไว้ไท่สื่อเกากับหลานเฟยเยว่ก็สามารถมองข้ามได้ไม่ต้องนับ
เฮยมู่กล่าวสีหน้าเคร่งขรึมว่า “มู่ชิงเกอเจ้ายังมีไพ่ตายอะไรที่ยังไม่ได้ใช้ออกมาอีกไหม? ข้าขอกล่าวเตือนเจ้าสักประโยค หากยังไม่หยิบมันออกมาเจ้าก็อาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว”
“ไพ่ตาย?” มู่ชิงเกอยกมุมปากขึ้นยิ้มเยาะ หัวเราะขึ้นเสียงเย้ยหยัน นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยความฮึกเหิม กล่าวกับเฮยมู่ว่า“ไพ่ตายที่ร้ายกาจที่สุดของข้าก็คือตัว-ข้า- เอง!—–”
พอกล่าวจบนางก็กลายเป็นเส้นแสงสายหนึ่ง พุ่งออกไปสู้รบด้วยตัวเอง
นัยน์ตาของเฮยมู่กับโหลวเสวียนเถี่ยพลันปรากฏความเหี้ยมเกรียมขึ้นสายหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ลงมือแต่อย่างใด คนที่ทะยานออกไปหามู่ชิงเกอก็เป็นปีศาจเฒ่าขั้นกัก เก็บสองคน ส่วนที่เหลืออยู่อีกสองคนก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม คอยเฝ้าดูสถานการณ์เอาไว้ไม่คิดจะมอบโอกาสหายใจใดๆ ให้มู่ชิงเกอแม้แต่น้อย
ปีศาจเฒ่าขั้นกักเก็บสองคนจัดการกับมู่ชิงเกอคนเดียว นี่ก็ว่าให้เกียรติมู่ชิงเกออย่างเพียงพอแล้ว
ความดูแคลนที่มีต่อมู่ชิงเกอในตอนแรกที่เผชิญหน้ากันก็ได้ลดหายไปตามเหตุการณ์ที่พัฒนาจนมาถึงตอนนี้ ทำให้พวกเขามีท่าทีจริงจังกับมู่ชิงเกอเพิ่มมากขึ้น
ถ้าหากมู่ชิงเกอเป็นชนรุ่นหลังของพวกเขา พวกเขาก็จะมองมู่ชิงเกอเป็นความหวังในการผงาดขึ้นมากล้าแกร่งในอนาคต
แต่ว่าพอเป็นศัตรู พวกเขาก็ต้องรับประกันร้อยเต็มร้อย ส่วนว่าในตอนที่นางยังไม่ได้เติบโตขึ้นมาอย่างแท้จริง ก็จะต้องจัดการสังหารนางในตอนที่นางยังอยู่ในเปลนอน
ศึกใหญ่ที่เกินกว่าช่องว่างจะรับไหวก็ได้อุบัติขึ้นอย่างเป็นทางการ ไม่มีใครสามารถหลีกหนีอยู่รอบนอกได้
ในเขตหวงห้ามของวังหลวงกุญแจทั้งห้าก็สั่นไหวขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่สามารถเชื่อมโยงพลังเข้าด้วยกันได้สักที
พวกของหวงฝู่เฮ่าเทียนตอนนี้ก็เต็มไปด้วยเหงื่อโชกเต็มตัว การส่งพลังถึงจะมากมายเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถเปิดเส้นทางกับช่องว่างแห่งการทดสอบได้
ตอนนี้บนท้องฟ้าของอาณาจักรเซิ่งหยวน สีฟ้าก็เกิดการสั่นกระเพื่อมอยู่ตลอดเวลา สีรุ้งทั้งเจ็ดก็แปรเปลี่ยนสั่นไหวไปมา เกิดเป็นปรากฏการณ์อันแปลกประหลาด
ปรากฏการณ์อันแปลกประหลาดนี้ก็ทำให้ผู้คนในเทียนตูสัมผัสเห็นได้
พอต้องเผชิญกับปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดเหล่าชาวเมืองจำนวนนับไม่ถ้วนก็ค่อยๆ ทยอยกันหยุดชะงักกิจกรรมของตนเองลง ก่อนจะพากันชี้ไม้ชี้มือไปทาง ปรากฏการณ์อันแปลกประหลาดนั้น
เทียนตู หอสรรพสิ่ง เสียงพิณอยู่ๆ ก็นิ่งชะงักลง ก็ไม่ใช่ผู้ที่กำลังดีดพิณที่อยู่ๆ ก็หยุดมือลง แต่เป็นสายพิณที่ขาดสะบั้น
หานฉายไฉ่มือทั้งสองข้างกดลงไปบนสายพิณที่ขาด ดวงตาเรียวยาวทั้งสองข้างปิดสนิทลง วันนี้เขามักจะรู้สึกจิตใจไม่สงบ ไม่สามารถสงบใจได้ แต่เดิมคิดอยากจะใช้เพลงพิณผ่อนคลายอารมณ์ชำระล้างจิตใจ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าสายพิณจะยังขาดอีก
“นายน้อย!” ตอนนั้นเองก็มีคนวิ่งเข้าในห้องของท่าทางเร่งรีบ
หานฉายไฉ่ดวงตาทั้งสองข้างเปิดกางออก ดวงตาเรียวปรากฏท่าทีดุดัน
คนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นก็ไม่รู้ว่าเจ้านายของตนกำลังไม่พอใจ กลับยังรายงานออกไปอย่างรวดเร็ว “ทิศทางของวังหลวงอยู่ๆ ก็มีปรากฏการณ์แสงรุ้งปรากฏขึ้น ตอนนี้ชาวเมืองทั่วทั้งเทียนตูกำลังลํ่าลือกันว่า กำลังจะมีเรื่องมลคลเกิดขึ้น”
ทิศทางของวังหลวง!
ในแววตาของหานฉายไฉ่ปรากฎประกายแสงวาบออกมา
‘ตุบ’ เขาลุกยืนขึ้นมา ชุดที่เต็มไปด้วยลวดลายดอกไม้ลู่ตกลง ใบหน้าหยาดเยิ้มดุจบุปผางามทาบทับด้วยนํ้าแข็งชั้นหนึ่ง ‘ถ้าหากจำไม่ผิด ช่วงนี้ก็จะเป็นการแข่งขัน รอบสุดท้ายของงานชุมนุมใหญ่หลินชวน และเส้นทางการไปช่องว่างแห่งการทดสอบก็ยังอยู่ในวังหลวงพอดี’
“รีบไปพาผู้หยั่งรู้มาพบข้า!” หานฉายไฉ่เอ่ยกับบ่าวรับใช้
พอบ่าวรับใช้พอถอยออกไป เขาก็เดินออกไปด้านนอกห้อง มองไปทางแสงสีรุ้งเจ็ดสีที่เปลี่ยนแปลงแปรผันไปมาด้านบนท้องฟ้าของวังหลวง
อย่างรวดเร็ว ผู้หยั่งรู้ของหอสรรพสิ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของหานฉายไฉ่ ผู้หยั่งรู้ที่ว่าอยู่ในหอสรรพสิ่ง ก็หมายถึงผู้ที่กุมเรื่องราวของภูมิภาคหรือขุมกำลังหนึ่งๆ เอาไว้
นายน้อย” ผู้หยั่งรู้ของหอสรรพสิ่งกล่าวอย่างนอบน้อมกับหานฉายไฉ่
หานฉายไฉ่ชี้ไปทางท้องฟ้าของวังหลวง เอ่ยถามขึ้น “ข้าอยากรู้ว่าที่นั่นเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ผู้หยั่งรู้เงยหน้ามองไปทางนั้นสายตาหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าก้มตาลง กล่าวตอบอย่างรวดเร็ว “ตระกูลหลาน สำนักหมื่นอสูรกับหอหลอมศาสตราสมคบคิดกันให้ปีศาจเฒ่าขั้นกักเก็บจำนวนไม่น้อยพายอดยุทธ์ขั้นสีม่วงเร้นกายเข้าไปในช่องว่างแห่งการทดสอบ คิดจะเอาชีวิตของคุณชายมู่ ตอนนี้สีท้องฟ้าบนวังหลวงที่เปลี่ยนแปลงไปมาก็อาจจะเป็นไปได้ว่าราชวงศ์ห่วงฝู่กำลังฝืนเปิดช่องว่างถึงปรากฏขึ้น หรือไม่บางทีก็อาจเป็นเพราะด้านในกำลังมีคึกใหญ่ที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินอุบัติขึ้น พลังจิตที่ใช้ในการสู้รบพุ่งขึ้นเลยจุดที่ช่องว่างจะสามารถรองรับได้ไหว ขอเพียงมันรับเอาไวัไม่ไหว ช่องว่างแห่งการทดสอบก็จะพังทลายลง”
“ตระกูลหลาน สำนักหมื่นอสูร หอหลอมศาสตรา…ดี ดีมาก!” ดวงตาเรียวยาวของหานฉายไฉ่ค่อยๆ หรี่เล็กลง
ร่างกายของเขาไหววูบหายไปจากจุดเดิมที่ยืนอยู่
ผู้หยั่งรู้ชะงักไปครู่หนึ่ง ท่าทางเดาไม่ถูกถึงความคิดของนายน้อยของตัวเอง
‘ดีกับดีมาก’ คำพวกนั้นก็หมายความว่าอย่างไร?
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้ว่านายน้อยของตนในตอนนี้ก็กำลังเกรี้ยวกราดนัก
ใช่แล้ว หานฉายไฉ่กำลังโมโหจริงๆ!
เขาโมโหที่ตนไปเล่นแง่กับมู่ชิงเกอ ทั้งช่วงนี้ก็จงใจไม่ไปสนใจเรื่องราวที่เกี่ยวพันกับนาง แล้วก็โมโหมู่ชิงเกอด้วยที่ไม่ยอมเป็นฝ่ายมาหาตนเองบ้าง!
เขากล้ารับรองว่ามู่ชิงเกอก่อนหน้าที่จะเข้าไปในช่องว่างแห่งการทดสอบจะต้องสัมผัสได้ถึงความประสงค์ร้ายของทั้งสามขุมอำนาจอย่างแน่นอน
ถ้าหากนางยอมมาหาเขาที่หอสรรพสิ่ง ขอให้เขาช่วยเหลือ เช่นนั้นก็จะต้องสามารถสืบหาร่องรอยอะไรได้บ้าง แต่นางกลับไม่คิดทำมัน
นี่หมายความว่ายังไง?
ไม่เต็มใจที่ไปมาหาสู่กับเขามากไป? หรือว่าไม่เห็นเขาเป็นเพื่อนแล้ว
เพื่อน!
คำศัพท์อันแปลกประหลาดคำนี้อยู่ๆ ก็ลอยเข้ามาในหัวของหานฉายไฉ่ ทำให้ร่างของเขาที่กำลังพุ่งไปยังวังหลวงหยุดชะงักไปเล็กน้อย
เขากับมู่ชิงเกอก็นับกันเป็นเพื่อนได้หรือไม่?
เหมือนจะใช่ แต่ก็เหมือนจะไม่ใช่
ในใจของเขารู้สึกเหมือนกับว่ามู่ชิงเกอจะเป็นตัวแทนของความรู้สึกอะไรอีกอย่างหนึ่ง…
เขาไม่มีเวลาให้คิดมากต่อไป เขาเคยคิดเอาไว้ว่าถ้าหากมู่ชิงเกอเป็นผู้หญิงจริงๆ เช่นนั้นเขาก็จะต้องได้ตัวนางมา แต่ว่ามู่ชิงเกอแม้แต่นิดก็ไม่ยอมเปิดปาก ทำให้เขาล้วนแต่รู้สึกว่าภาพที่ตนเองเห็นครั้งนั้นจะเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา
แต่ในตอนนี้เขาก็มีเพียงความคิดเดียว นั้นก็คือมู่ชิงเกอไม่อาจเกิดเรื่องได้!
หายฉายไฉ่ก็บุกเข้าไปในวังหลวงของอาณาจักรเซิ่งหยวนตรงๆ ร่อนลงไปยังเขตหวงห้าม
การปรากฏตัวของเขาก็ทำเอาหวงฝู่เฮ่าเทียนสีหน้าเปลี่ยนสี
แต่เพราะว่าถูกกุญแจเชื่อมโยงพลังเอาไว้ เลยทำให้ไม่สามารถเปิดปากได้
หวงฝู่ฮ่วนที่กลับมาจากตำหนักหลีกงอย่างผิดหวังพอดีก็เดินไปที่ตรงหน้าของหานฉายไฉ่ เอ่ยขึ้นกับเขา “นายน้อยหาน ท่านทำไมถึงมาที่นี่?”
“มู่ชิงเกอเล่า?” หานฉายไฉ่สีหน้าเยียบเย็น กล่าวโพล่งออกไปตรงๆ หวงฝู่ฮ่วนนิ่งชะงักไป เขาสัมผัสไม่ได้ถึงความเป็นศัตรูต่อมู่ชิงเกอกับหานฉายไฉ่ ดังนั้นก็เลยกล่าวออกไปตามจริง “คุณชายมู่ตอนนี้ถูกขังเอาไว้ในช่องว่างแห่งการ ทดสอบ”
“ทำไมยังไม่เปิดช่องว่างอีก! ตำหนักหลีกง ตำหนักหลีกงไปมารึยัง?” หายฉายไฉ่กล่าวอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ประโยคครึ่งแรกก็เป็นเพียงการระบายอารมณ์โกรธของเขา
ตอนที่เห็นพวกหวงฝู่เฮ่าเทียนกับกุญแจบนฟ้าที่ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่ประสานกัน เขาก็สามารถเดาถึงสาเหตุได้แล้ว ประโยคครึ่งหลังถึงจะเป็นแผนที่เขาเสนอออกไป
หวงฝู่ฮ่วนยิ้มขมขื่นขึ้นมา “ไปแล้วแต่ว่าองค์มหาปราชญไม่ได้อยู่ที่ตำหนักหลีกง” สองครั้งที่ขึ้นไปยังตำหนักหลีกง เขาก็ล้วนแต่พกความคาดหวังขึ้นไป แต่สุดท้ายก็เป็นต้องผิดหวังกลับมา เวลายิ่งนานความหวังก็ยิ่งเลือนราง เขาไม่รู้จริงๆ ว่าต่อจากนี้ควรจะทำอย่างไรดี
‘ไม่อยู่! ไม่อยู่เนี่ยนะ!’ นัยน์ตาของหานฉายไฉ่ทอประกายดุดันเจิดจ้าออกมา จากที่เขาดู มู่ชิงเกอไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง แต่ในเมื่อคนผู้นั้นมาข้องแวะกับเขา แล้วก็จะต้องดูแลปกป้องเขาให้ดี ในเวลาที่สำคัญเช่นนี้ ‘เทพเซียน’ หนึ่งเดียวผู้นั้นที่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้กลับไม่อยู่?
ในใจของหานฉายไฉ่ก็เกิดความคิดอาจหาญอยากฆ่าคนขึ้น ฝ่ามือที่อยู่ในแขนเสื้อก็กำแน่นเข้าหากัน…