Skip to content

พลิกปฐพี 195-3

ตอนที่ 195-3

ตบะหมื่นปีแลกกับความปลอดภัยของเจ้า!

บนท้องฟ้าของอาณาจักรเซิ่งหยวน ท้องฟ้าเจ็ดสีที่ถูกพวกชาวบ้านเห็นเป็นลางมงคล อยู่ๆ ก็เริ่มพังทลายลง เผยให้เห็นหลุมดำมืดอันน่าหวาดหวั่น

ทั่วทั้งเทียนตูก็พากันสั่นไหวตามไปด้วย ราวกับว่าจะถูกดูดเข้าไปในหลุมดำแห่งนั้น

พวกชาวเมืองเริ่มพากันหวาดกลัว และตื่นตระหนกเหมือนกับวันสิ้นโลกกำลังกล้ำกรายเข้ามาก็มิปาน ทำเอาเทียนตูตกเข้าสู่ความโกลาหล พวกทหารที่มีหน้าที่ ควบคุมดูแลในเมือง ภายใต้การสั่งการของหวงฝู่ฮ่วน ช่วยกันปลอบโยนประชาชน แต่ว่าก็ได้ผลไม่มากนัก สีฟ้าของเทียนตูค่อยๆ ดำมืดลง ราวกับว่ากำลังจะตกเข้าสู่ความมืดมิด

หวงฝู่ฮ่วนหลังจากเร่งรีบสั่งการแล้ว ก็เงยหน้าแหงนมองไปทางท้องฟ้า ไม่อาจบรรยายได้ชัดเจนว่าอารมณ์ความรู้สึกของเขาตอนนี้เป็นเช่นไร ในหอสรรพสิ่ง ท้องฟ้าสีฟ้าที่กลายเป็นอึมครึมก็ทำให้หานฉายไฉ่ที่กำลังพลิกเปิดม้วนคัมภีร์อยู่พลันตกเข้าสู่ความมืด เขาทั่วร่างนิ่งชะงักไป ฝืนยกลำคอที่แข็งค้างขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่าง พอเห็นเข้ากับหลุมดำอันมืดมิดด้านบนวังหลวง ม้วนคัมภีร์ที่อยู่บนมือก็พลันร่วงตกลงบนพื้นดัง ‘ตุบ’

ตระกูลหลาน ประมุขตระกูลหลานหลังจากที่หวงฝู่เฮ่าเทียนจากไปแล้ว สีหน้าก็พลันกลายเป็นร้อนรนกระวนกระวาย

ท้องฟ้าหลังจากมืดครึ้มลง เขาก็เงยหน้าขึ้นสีหน้าอึมครึม มองไปทางท้องฟ้า ดูไม่ออกว่ามีความรู้สึกเช่นไร

อดีตประมุขตระกูลหลานก็ตะโกนเรียกบ่าวรับใช้มาสอบถาม “พวกเขากลับมารึยัง?”

บ่าวรับใช้ตอบกลับตามความจริง “ยังขอรับ”

คำตอบนี้ก็ทำให้อดีตประมุขตระกูลหลานค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง “ไปเถอะ”

ในวังหลวงหวง ฝู่เฮ่าเทียนกับประมุขตระกูลทั้งสามคน สีหน้าล้วนแต่กลายเป็นซีดขาว พวกเขาก็ใช้พลังทั้งหมดที่ มีแต่สุดท้ายก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ช่องว่างแห่งการทดสอบก็ยังคงพังทลายลงอยู่ดี

คนด้านในพวกนั้น…

‘จะต้องตายแล้วหรือ?’ หลังจากใช้พลังสายฟ้าพังทลายช่องว่างแห่งการทดสอบ มู่ชิงเกอก็สัมผัสได้ว่าตัวเองกำลังตกเข้าสู่ความมืดมิดแห่งหนึ่ง

นางสามารถสัมผัสได้รางๆ ถึงคนพวกนั้นที่ตายไปเพื่อนาง ใช้แรงที่เหลืออยู่ส่วนสุดท้ายลากดึงเอาศพของพวกเขามาไว้ข้างกายตนเองทีละศพ ถึงแม้ว่าเพราะเหตุนี้มือกับขาของนางจะถูกพายุที่ซ่อนอยู่ในเงามืดกัดกร่อนไปก็ตาม

ในตอนที่ลากศพสุดท้ายมาถึงตัวของตนแล้ว มู่ชิงเกอก็เหมือนกับว่าทำภารกิจสำคัญเสร็จอย่างหนึ่ง ความรู้สึกนึกคิดพลันพร่าเลือนไป…

“เสี่ยวเก๋อเอ๋อร์—–!” เสียงสายหนึ่งทะลุฟ้าสะท้อนเข้ามา ดังสะท้อนขึ้นหลังจากที่สติของนางพร่าเลือนไป

ซือมั่วในชุดสีขาวบริสุทธิ์ เงาร่างสูงใหญ่พลันปรากฏขึ้นในความมืดมิด

มองปราดเดียว เขาก็สามารถมองเห็นมู่ชิงเกอที่นั่งอยู่ท่ามกลางกองศพได้

นาง ทั่วร่างเต็มไปด้วยเลือด ต่างหูที่หูข้างซ้ายก็แตกสลายหายไป กลับคืนไปสู่ร่างของหญิงสาว นางเอนกายนิ่งเงียบอยู่ตรงนั้น ใบหน้างามลํ้านิ่งสงบ มุมปากยกขึ้น ด้วยรอยยิ้มที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

“ไม่—–!” ฉากภาพนี้ก็ทำให้ซือมั่วร้องคำรามอย่างเจ็บปวดออกมา

เขา พริบตาก็มาถึงข้างกายของมู่ชิงเกอ กอดนางเอาไว้ในอกของตน ตรวจดูนางอย่างเบามือ แต่ก็ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความความรู้สึกใดๆ จากคนตัวเล็กอีก ที่ เหลืออยู่ก็มีเพียงกลิ่นไอแห่งความตายเพียงเท่านั้น กู่หยากับกู่เย่ที่เร่งรีบตามติดมา พอเห็นเข้ากับฉากภาพนี้ก็กลายเป็นตกตะลึง

พวกเขาก็แค่จากไปเพียงช่วงหนึ่ง ทำไมถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้

ท่านประมุขในตอนนี้—– กู่หยากับกู่เย่ก็อดไม่ได้ที่จะหยุดชะงักลมหายใจลง พวกเขาสัมผัสได้ถึงความสิ้นหวังและความโกรธเกรี้ยวที่ไหลทะลักออกมาจากตัวของซือมั่ว

“เสี่ยวเก๋อเอ๋อร์ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าตาย!” ซือมั่วอยู่ๆ ก็กล่าวขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบ

คำพูดของเขาก็ทำให้กู่หยากับกู่เย่ฟังจนหัวใจตื่นตระหนก

ราวกับจะคาดการณ์ได้ว่าเขากำลังจะทำอะไร ทั้งสองพุ่งขึ้นไปด้านหน้าพร้อมกันชันเข่าข้างหนึ่งไปที่ด้านหน้าของซือมั่ว

กู่หยากล่าวขึ้นอย่างไม่กลัวตาย “ท่านประมุข ร่างกายของคุณชายก็มีความพิเศษ ตอนนี้ถึงจะดูเหมือนตาย แต่ไม่แน่ว่าอาจจะมีจุดพลิกผัน ขอท่านประมุขโปรดอย่าได้ใจร้อนไป”

กู่เย่ก็เร่งร้อนกล่าวว่า “บนบ่าของท่านประมุขยังแบกเอาไว้ด้วยการใหญ่ของเผ่าพันธุ์เรา ขอท่านโปรดไตร่ตรองด้วย!”

“กู่หยา” ซือมั่วกล่าวเสียงเย็น

กู่หยาพลันก้มหน้าลง

นํ้าเสียงของซือมั่วเย็นยะเยือกดุจใบมีดแหลมคม “เจ้า คิดจะให้ข้าอาศัยโชครอให้เสี่ยวเกอเอ๋อร์กลับมาหรือ? ไม่ ที่ข้าต้องการก็คือความมั่นใจร้อยส่วน การเดิมพันนี้ ข้าไม่กล้ารับ”

ต่อจากนั้นเขาก็กล่าวไปทางกู่เย่ “นางสำหรับข้าก็ถือว่าสำคัญกว่าทุกสิ่ง”

เขาที่เดินทางไปในโลกใหญ่น้อยนับพันอย่างไม่เกรงกลัว นี่เป็นครั้งแรกที่สัมผัสได้ถึงความหวาดกลัว กลัวว่ามู่ชิงเกอก็จะจากไปเช่นนี้จริงๆ ทำให้เขาต้องกลับ ไปอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพัง

“หวน-คืน!” คำสองคำที่เต็มไปด้วยพลังของกฎเกณฑ์อันสูงสุด ราวกับเสียงคำสาปก็มิปานดังสะท้อนออกมาจากปากของซือมั่ว

พร้อมกันกับที่เสียงของเขาสะท้อนดังในความมืด พลังชนิดหนึ่งที่ไม่ได้เป็นของมิตินี้ก็พลันไหลทะลักครอบคลุมไปทั่วทั้งหลินชวน ไปจนถึงโลกแห่งยุคกลาง แผ่ไปถึงแม้กระมั่งช่องมิติที่อยู่เหนือกว่า…

นัยน์ตาสีอำพันของซือมั่วก็พลันกลายเป็นดำมืด ไร้ซึ่งขอบตาขาวและนัยน์ตาดำ

ไอพลังที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวเขาก็ค่อยๆ ย้อมชุดสีขาวของเขาจนกลายเป็นสีดำมืด แผ่ขยายต่อเนื่องออกไป เปลี่ยนทุกสิ่งให้กลายเป็นสีดำ สีดำนั้นก็พรั่งพรูออกไปจากช่องว่างสีดำบนท้องฟ้า แผ่ขยายปกคลุมไปทั่วทั้งวังหลวง ทั่วทั้งเทียนตู ก่อนจะปกคลุมไปทั่วทั้งหลินชวน

“วิชาต้องห้ามหวนคืน…เขากลับมาแล้ว แถมยังยินยอมทำเพื่อเจ้าเช่นนี้?” หานฉายไฉ่ยืนอยู่ในหอสรรพสิ่ง ตอนที่ถูกความมืดปกคลุมเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังแห่งการย้อนกลับที่กำลังสั่นกระเพื่อมอยู่บนตัวเขา

“สวรรค์! ฟ้าจะถล่มแล้วรึ?”

“ทวยเทพกำลังพิโรธ! เหล่าทวยเทพก็กำลังพิโรธ! พวกเราไปสร้างความผิดอันใดต่อเหล่าเทพกัน ถึงได้ทำให้พวกเราต้องพบกับความวิบิตเช่นนี้!”

“วันนี้เป็นวันสิ้นโลกงั้นรึ?”

ตามตรอกซอกซอยของเทียนตู เหล่าชาวบ้านชาวเมืองที่แอบช่อนตัวอยู่ในบ้านก็ถูกความมืดเข้าปกคลุมไปอีกครั้ง ทำให้ต่างพากันราไห้เศร้าโศกอย่างสิ้นหวัง

ในวังหลวง ไอพลังที่น่าหวนเกรงที่แฝงมากับความมืดสายนั้นก็ทำเอาพวกหวงฝู่เฮ่าเทียนขาอ่อนยวบลงไปกับพื้น

“เป็นองค์มหาปราชญ์จะต้องเป็นองค์มหาปราชญ์ที่กลับมาแล้ว! พระองค์พิโรธแล้ว คิดจะสังหารผู้คนทั้งหมด!” หวงฝู่เฮ่าเทียนกล่าวด้วยสีหน้าซีดขาว

ภายใต้พลังสายนี้ปีศาจเฒ่าขั้นกักเก็บทั้งหมดที่อยู่ในเทียนตูต่างก็พากันออกจากการเก็บตัวฝึกตนพากันคุกเข่าลงไปบนพื้นอย่างสิ้นหวัง สีหน้าหมองคลํ้าทุกข์ตรม

นอกจากคนส่วนน้อยที่รู้เรื่องแล้ว ใครก็ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วกำลังเกิดเรื่องอะไรขึ้น

เป็นเพราะเหตุใดที่ทำให้เทียนตู เมืองที่ใหญ่ที่สุดของหลินชวนแห่งนี้ ถึงต้องพานพบกับการดับสูญเช่นนี้

สีดำอันมืดมิดนี้ก็แฝงมาด้วยพลังการดูดกลืนอันไม่มีที่สิ้นสุด แฝงไว้ด้วยพลังแห่งความมืด แฝงไว้ความเจ็บปวด แทรกซึมไปตามจุดต่างๆ ของหลินชวนไม่ว่าจะเป็นแผ่นดิน ผืนนํ้า หุบเขา ท้องนภาไปจนถึงคนทุกคน

แคว้นฉิน ลั่วตู

สีท้องฟ้าอยู่ๆ ก็กลายเป็นดำมืด ก่อนจะทำการดูดกลืนทุกสิ่งเข้าสู่ความมืดมิด

ฉินจิ่นเฉินกับเหล่าขุนนางก็อยู่ด้วยกันที่นอกตำหนักใหญ่ สีหน้าของทุกคนก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและเคร่งเครียด เหล่าชาวบ้านชาวเมืองที่อยู่นอกวังหลวงก็ ล้วนแต่พากันกราบกรานลงไปที่พื้น ขอร้องให้สวรรค์คลายความพิโรธ

ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรที่ไปล่วงเกินฟ้าเข้า

มองไปยังความมืดที่กำลังกลํ้ากรายเข้ามา ฉินจิ่นเฉิน อยู่ๆ ก็กุมชายแขนเสื้อตรงฝ่ามือเอาไว้แน่น ทำเอาปรมาจารย์กูที่อยู่ด้านข้างต้องร้องเรียกขึ้นเสียงเบา “ฝ่า บาท!”

ฉินจิ่นเฉินเม้มริมฝีปากเข้าหากัน สั่นไหวเล็กน้อยก่อน จะค่อยๆ กล่าวว่า “ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เจิ้นอยู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บปวดใจนัก”

“ฝ่าบาทพระองค์จะต้องระวังพระวรกายนะพะย่ะค่ะ!” ปรมาจารย์กู่เอ่ยกำชับขึ้น

ลั่วตู ตระกูลมู่

ความมืดมิดทำการครอบคลุมจวนตระกูลมู่อยู่ด้านใน

พอเปรียบกับความวุ่นวายด้านนอกแล้ว ตระกูลมู่ชัดเจนว่ามีระเบียบกว่ามาก เหล่าบ่าวรับใช้ก็เพียงแค่ทำตามการสั่งการของพ่อบ้านจุดไฟภายในจวน ขับไล่ความมืดมิดบางส่วนออกไป หลังจากนั้นก็พากันกลับเข้าไปรอในห้องอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย รอคอยสิ่งใดนั้นพวกเขาก็ไม่อาจทราบได้ แต่ไม่ว่ายังไงเปรียบกับการกระวนกระวายแล้วก็ดีกว่ามากนัก

มู่ซงอยู่นั่งบนเก้าอี้โยกเพียงลำพัง แหงนหน้าจ้องมองไปยังท้องฟ้าอันมืดมิดดุจนํ้าหมึก ความรู้สึกโศกเศร้าแปลกๆ เกี่ยวรัดหัวใจเขา ไม่ว่ายังไงก็สะบัดไล่ไม่ไป ทำให้เขากลายเป็นไม่มีอารมณ์จะไปทำอะไรอีก

แคว้นอวี๋ โรงโอสถสาขาย่อย

โรงโอสถสาขาย่อยที่ตกอยู่ในความมืดมิด นักปรุงยาจำนวนหนึ่งก็กำลังเก็บตัวเงียบอยู่ในห้องปรุงยา ไม่ได้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอก

ซางจื่อซูกับเหมยจื่อจ้งสองคนก็ยืนเคียงไหล่กันอยู่ใต้หลังคา จ้องมองไปทางความมืดบนท้องฟ้า หว่างคิ้วเต็มไปความรู้สึกกังวลอยู่รางๆ

“ศิษย์พี่ ทำไมข้าถึงเอาแต่รู้สึกว่ามีเรื่องไม่ดีอะไรกำลังจะเกิดขึ้น?” ซางจื่อซูกล่าวเสียงเบากับเหมยจื่อจ้ง

เหมยจื่อจ้งริมฝีปากเม้มแน่นสนิทในสายตาค่อนข้างกังวลอยู่บ้าง “ไม่รู้ว่าชิงเกอพวกเขาที่ไปเทียนตูจะเป็นอย่างไรบ้าง ทั้งหมดยังราบรื่นอยู่หรือไม่”

ซางจื่อซูขบริมฝีปาก ฝ่ามือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกำแน่นไปที่ชายแขนเสื้อ

แคว้นระดับสอง ชายแดนแคว้นอวี่

หนึ่งชายหนึ่งหญิงสองคนก็ถูกโลกที่กลายเป็นมืดมิดอย่างกะทันหันนี้ขวางเส้นทางการไป พวกเขาหยุดลงบนทางเดินบนเขา แหงนหน้าจ้องมองไปยังท้องฟ้าอย่างประหลาดใจ

อยู่ๆ ชายหนุ่มที่มองไปยังใบหน้าของหญิงสาวก็ร้องขึ้นอย่างตกใจ “เหลียนหรง เจ้าร้องไห้ทำไม?”

มู่เหลียนหรงนิ่งชะงักไป ก่อนจะยกมือขึ้นสัมผัสแก้มของตนโดยไม่รู้ตัว เอ่ยถามขึ้น “ข้าร้องไห้งั้นรึ?”

ปลายนิ้วของนางก็สัมผัสไปโดยหยาดนํ้าตาบนใบหน้าของนาง สัมผัสอันเปียกชื้นนั้นก็ทำให้ตนเชื่อในคำพูดของสามี

“เซวียเฉียวข้าไม่รู้ว่าเพราะอะไร ในใจอยู่ๆ ถึงได้รู้สึกเศร้าเสียใจขึ้นมา” มู่เหลียนหรงเช็ดคราบนํ้าตาบนใบหน้าของตน เงยหน้ามองไปทางเขา

ท่าทางของมู่เหลียนหรงก็ทำให้เซวียเฉียวเจ็บปวดใจนัก

เขามือข้างหนึ่งโอบไปที่ไหล่ของมู่เหลียนหรง โอบนางเข้ามาในอ้อมอก ใช้คางเกยไปที่เส้นผมของนาง กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่ต้องกลัว ทั้งหมดถ้วนมีข้า คิดว่าท้องฟ้าที่อยู่ๆ เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันนี้จะทำให้เจ้าเกิดอารมณ์เศร้าขึ้นมา ข้าได้ยินมาว่าหญิงสาวที่กำลังตั้งครรภ์ก็มักจะมีอารมณ์แปรปรวนไปมา เจ้าก็คงจะเป็นเพราะสาเหตุนี้”

พอกล่าวถึงเรื่องเรื่องนี้ สีหน้าที่ค่อนข้างโศกเศร้าของมู่เหลียนหรงก็พลันกลายเป็นผ่อนเบาลง เผยให้เห็นอาการขวยเขินขึ้นสายหนึ่ง

นางก็เชื่อคำอธิบายของสามี เผยรอยยิ้มอ่อนหวานที่แฝงไว้ด้วยความรอคอย ก่อนจะมองไปยังหน้าท้องที่ยังแบนราบของตนในตอนนี้

เซวียเฉียวดึงมือของนางประสานไปกับมือของตัวเอง ก่อนจะวางไปเบาๆ บนท้องของนาง ที่นั้นก็กำลังโอบอุ้มชีวิตเล็กๆ อยู่ ชีวิตที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลมู่ และก็ถือเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลเซวีย เป็นตัวแทนแสดงความรักของคนทั้งสอง

ในเขตหุบเขาตรงชายแดนของแคว้นตี๋กับแคว้นอวี่ บนทางเขาที่ทุรกันดาร ก็มีกองกำลังหลายร้อยคนกำลัง ลอบเร้นกายไปกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ พวกเขาก็เหมือนกับหมาป่าที่ออกล่าเป็นกลุ่มก็ไม่ปาน รอคอยเหยื่ออย่างเงียบเชียบ ปรับลมหายใจของตัวเองจนต่ำเบาลง

ถึงต่อให้มีคนเดินผ่านข้างกายของพวกเขาไปก็จะไม่มีทางค้นพบการคงอยู่ของพวกเขา

“หัวหน้ามั่ว มาแล้ว” ในตอนที่ในความมืดตรงหน้าอยู่ๆ ก็มีแสงสีเขียวส่องสะท้อนออกมา องครักษ์เขี้ยวมังกรนายหนึ่งข้างกายของมั่วหยางก็พลันร้องเตือนขึ้นเสียงเบา

มั่วหยางนิ่งชะงัก ทำการสงบจิตสงบใจ

เมื่อครู่เขาถึงกับเหม่อลอยไปได้? นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

เพียงแต่เมื่อครู่เขาเหมือนจะรู้สึกได้ว่าหัวใจกำลังบีบรัด ความรู้สึกแปลกประหลาดนั่น จึงทำให้เขาเหม่อลอยไปชั่วขณะ

เขาปิดตาลงทำการปรับเปลี่ยนอารมณ์ของตัวเองใหม่ ในตอนที่ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาทั้งสองข้างก็พลันกลายเป็นนิ่งขรึมดังเดิม หลังจากที่เหยื่อเข้ามาสู่เขตการล่าแล้ว เขาก็พลันออกคำสั่งไปเสียงหนึ่ง “ฆ่า!”

องครักษ์เขี้ยวมังกรสองร้อยนายพริบตาก็พุ่งออกไปจากที่ซ่อน พุ่งเข้าต่อกรกับฝูงหมาป่าเขาเดียว

ราวกับจะใช้เวลาไปเพียงแค่ครู่เดียว ฝูงหมาป่าที่มีชื่อเสียงเรื่องความดุร้ายและความว่องไวในละแวกนี้อย่างฝูงหมาป่าเขาเดียวก็กลายเป็นสูญสิ้นไป นอนกระจัดกระจายกันไปตามพงหญ้าอันมืดมิด

เหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรก็ทำการเก็บกวาดสนามรบอย่างชำนิชำนาญ ควักแก่นอสูร เก็บกวาดศพ

หลังจากทั้งหมดจบสิ้นลง ถึงค่อยทยอยกลับไปรวมตัวที่ข้างกายของมั่วหยาง

“หัวหน้ามั่ว พวกเราต่อไปจะไปที่ไหน?” หัวหน้าหน่วยย่อยขององครักษ์เขี้ยวมังกรนายหนึ่งเอ่ยถามขึ้น

มั่วหยางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วพลางเอ่ยขึ้น “ไปเทียนตู!”

เทียนตู!

เหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรสีหน้าพลันเต็มไปด้วยความยินดี พวกเขาก็ล้วนแต่รู้ว่ามีใครอยู่ที่เทียนตู สามารถอยู่เคียงข้างคุณชายสู้รบสยบสี่ทิศ นี่ก็ถือเป็นเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขา การตัดสินใจนี้ทำให้องครักษ์เขี้ยวมังกรทั้งสองร้อยนาย ดีใจขึ้นมา

การเปลี่ยนแปลงของฟ้าก็ไม่ได้มีผลกระทบใดๆ ต่อจิตใจของเหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกร พวกเขาสนใจเพียงแต่คุณชายของพวกเขา สำหรับสิ่งอื่นนั้นล้วนแต่ไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับพวกเขา

อาณาจักรเซิ่งหยวน โรงโอสถกลาง

ในระหว่างการหลอม กลิ่นหอมเข้มข้นของโอสถที่แต่เดิมโชยออกมาจากหม้อหลอม อยู่ๆ ก็มีเสียง ‘ปุ’ ดังขึ้นเสียงหนึ่ง ควันดำสายหนึ่งพุ่งโชยออกจากปากหม้อ กลิ่นหอมของโอสถพลันถูกกลิ่นเหม็นไหม้เข้าแทนที่ ล้มเหลวแล้ว!

จูหลิงขมวดคิ้วขึ้น ก่อนจะทอดถอนใจขึ้นในใจ

เด็กฝึกหัดที่อยู่ข้างกายนางก็กลายขึ้นอย่างหงุดหงิดเช่นกัน “ทำไมถึงล้มเหลวได้? ครั้งนี้ก็ชัดเจนว่ากำลังจะสำเร็จอยู่แล้ว”

คำพูดของนางก็ทำเอาจูหลิงต้องขบริมฝีปากเข้าด้วยกัน เด็กฝึกหัดหลังจากทำความสะอาดหม้อหลอมเสร็จ ก็เตรียมวัตถุดิบขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เตรียมจะเริ่มการหลอมอีกรอบหนึ่ง

“เด็กน้อย วันนี้พอเท่านี้เถอะ” จูหลิงร้องห้ามการกระทำของนาง

เด็กฝึกหัดจ้องมองไปทางจูหลิงอย่างงุนงง กล่าวอย่างไม่เข้าใจ “ศิษย์พี่จูหลิงเป็นอันใดรึ? ท่านไม่ใช่บอกว่าวันนี้จะต้องหลอมโอสถฟ้าครามให้ได้หรอกรึ?”

จูหลิงส่ายหน้าขึ้นช้าๆ “ช้าไม่รู้เป็นอะไร อยู่ๆ ก็รู้สึกจิตใจไม่สงบ สภาพเช่นนี้ก็คงไม่สามารถหลอมยาได้ รอให้จิตใจสงบลงก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ” กล่าวจบนางก็เดินไปทางปากประตู ลากเปิดประตูหินที่ปิดสนิทออก

แต่ว่าความมืดมิดที่เข้าสู่สายตาก็ทำเอาคนนิ่งชะงักไป ทั้งร่างยืนนิ่งงันอยู่บนพื้น

เด็กฝึกหัดที่ตามอยู่ต้านหลังนางก็กล่าวอย่างตกอกตกใจขึ้น “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงได้กลายเป็นมืดมิดไปหมดเช่นนี้!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version