ตอนที่ 196-3
เจ้าเป็นของข้าถึงจะถูกต้อง!
ผ่านไปช่วงหนึ่งหลังจากที่อารมณ์ของซือมั่วนิ่งสงบลงแล้ว นางถึงจะได้ยินเสียงพูดตํ่าเบาที่ข้างหูของตน “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ เจ้าทำข้าตกใจนัก”
มู่ชิงเกอนิ่งชะงักไป รู้สึกงงงวยอยู่บ้าง นางไปทำให้เขาตกใจเมื่อใดกัน
นางเงยหน้าขึ้น มือทั้งสองข้างค่อยๆ ดันออกเพิ่มระยะห่างของทั้งสองคน จ้องมองไปทางซือมั่วอย่างสงสัย
ถึงนางจะไม่เข้าใจ เขาก็ไม่มีทางอธิบาย
ขอเพียงตอนนี้นางยังสุขสบายดี ทั้งหมดที่ผ่านมาก็ล้วนแต่ไม่สำคัญอีก
แต่ว่าซือมั่วที่ไม่ได้กล่าววาจา ก็ไม่ได้หมายความว่ามู่ชิงเกอจะไม่นึกคิดถึงความหมายในคำพูดนี้ของเขา แต่ตอนนั้นเองในตอนที่นางเห็นว่าตัวเองที่สะท้อนอยู่ในนัยน์ตาของซือมั่ว มีเพศที่ไม่คงที่เนื่องจากต่างหูของนางที่แตกหัก นางก็พลันนิ่งตะลึงไป!
ชั่วขณะนั้นนางก็หัวเราะขึ้นมา
ซือมั่วกะพริบตาปริบๆ ไม่เข้าใจว่าเสี่ยวเกอเอ๋อร์กำลังเป็นอันใด
มู่ชิงเกอหัวเราะจนนํ้าตาเล็ดออกมา ก่อนที่มันจะถูกนิ้วมือของซือมั่วเช็ดออกไป
พอเสียงหัวเราะจบลง นางก็กล่าวว่าด้วยท่าทางหยอกเย้า “ข้าในตอนที่มีสภาพเป็นชายไม่ชาย เป็นหญิงไม่หญิง เจ้าก็ยังจูบลงไปได้? คงจะตกใจมากกระมัง”
พอกล่าวจบนางก็ยกมือขึ้นมาภายใต้สายตาที่จับจ้องของซือมั่ว ถอดเอาต่างหูออก
เครื่องมือมายาพอถูกถอดออกมู่ชิงเกอก็กลับคืนสู่สถานะของหญิงสาวโฉมงามดังเดิม
แต่สีหน้าท่าทางของซือมั่วก็ไม่ได้มีอันใดเปลี่ยนไป
เขารู้ว่าเสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขาเข้าใจผิดแล้ว แต่ก็ไม่คิดที่จะอธิบายอันใด ทำเพียงโอนอ่อนตามคำพูดของนาง กล่าวถึงความคิดจริงๆ ของตัวเองออกไป “สำหรับข้า ขอแค่เป็นเสี่ยวเกอเอ๋อร์ก็เพียงพอแล้ว หญิงชายก็ไม่สำคัญ”
พอความรู้สึกในส่วนลึกถูกสารภาพออกมากลับทำเอามู่ชิงเกอฟังจนขนลุกชันขึ้น นางกล่าวอย่างตื่นตระหนก “ต่อให้ข้าเป็นชายเจ้าก็–รัก?!”
อย่าได้รักรุนแรงถึงขั้นนั้นเลย?
“รัก!” แต่ซือมั่วกลับกล่าวว่าอย่างหนักแน่นจริงจัง ไม่มีท่าทีลังเลแม้แต่น้อย
มู่ชิงเกอเบ้มุมปากขึ้น หัวเราะเขินอายขึ้นสองเสียง ไม่รู้ว่าควรจะตอบเช่นไรดี
ท่าทางทำอะไรไม่ถูกของนางก็ทำให้ซือมั่วถูกใจอย่างถึงที่สุด อดไม่ได้ที่กอดนางมาไว้ในอก ก่อนจะก้มหัวลงไปจูบที่หน้าผากของนาง
มู่ชิงเกอครั้งนี้ก็ไม่ผลักตัวเขาออกไปอีก
การเปลี่ยนแปลงท่าทีของนางนี้ก็ทำให้ซือมั่วยินดียิ่งนัก ยินดีจนเกือบจะกระโดดโลดเต้นไปมา “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ เจ้า…”
มู่ชิงเกอเป็นครั้งแรกที่เห็นซือมั่วมีท่าทางเช่นนี้ ยินดีจนเหมือนกับเด็กน้อยผู้หนึ่ง ในเมื่อนางได้รู้สึกชัดเจนถึงความรู้สึกในใจของตนเองแล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องหลบหนีอีก
อีกอย่าง หนึ่งในเหตุผลที่นางมาที่เทียนตูในครั้งนี้ แต่เดิมก็เป็นเพราะต้องการมาหาซือมั่วเพื่อพูดเรื่องนี้ให้ชัดเจน
“ใช่ ข้าตัดสินใจแล้ว ในเมื่อเจ้าก็คิดจริงจังจริงๆ พวกเราก็ทดลองคบหากันดูเถอะ แต่ว่าถ้าหากเจ้ากล้าคิดนอกใจ ไปชอบหญิงสาวคนอื่นเข้า ข้าก็จะทำให้เจ้าลอง ได้ประสบกับชีวิตที่จะหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิงดู” พอกล่าวจบสายตาของนางก็กวาดมองไปยังส่วนล่างของซือมั่ว
ซือมั่วยกโค้งมุมปากขึ้น
เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขาต่อให้สารภาพความใจออกมาก็ยังคงดุดันและทะนงตนเช่นเดิม!
ในโลกใหญ่น้อยนับพันนี้ คนที่กล้ามาข่มขู่เขาก็ถือว่ามีเพียงคนตรงหน้านี้คนเดียวจริงๆ ดูท่าเขาก็คงตกอยู่ในกำมือของนางจริงๆ แล้ว ต่อจากนั้นซือมั่วก็พลันเอ่ยขึ้น “อะไรเรียกว่าทดลอง? หากแน่ใจแล้วเจ้าก็อย่าคิดหนีอีก! เจ้าชั่วชีวิตนี้ก็จะต้องเป็นของข้าเพียงผู้เดียว!”
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วมองไปทางเขา กล่าวว่าอย่างไม่ยินยอม “ผิดแล้ว!” นางยกมือชี้นิ้วไปทางซือมั่ว ก่อนจะชี้มาทางตัวเอง “เป็นเจ้าที่เป็นของข้า!”
การสารภาพอันทะนงตนที่ไม่เหมือนกับหญิงสาวทั่วไปนี้ ทำเอารอยยิ้มตรงมุมปากของซือมั่วยิ่งลึกขึ้น ประโยคนั้นของมู่ชิงเกอที่ว่า ‘เจ้าเป็นของข้า’ ทำให้เขารู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
แต่ไหนแต่ไรมาก็มีแต่คนอื่นที่เป็นสมบัติของเขา เป็นผู้อยู่ใต้อาณัติของเขา วันนี้เขามาถูกมู่ชิงเกอแปะชื่อเป็นเจ้าของเช่นนี้ เขากลับไม่รู้สึกเกรี้ยวกราด กลับกันกลับกลายเป็นรู้สึกยินดีในใจยิ่งนัก?
อาการป่วยของเขาไม่น้อยเลยจริงๆ!
อยู่ๆ ทันใดนั้นเองสายตาของมู่ชิงเกอก็เปล่งประกายไหววูบ สายตาจับจ้องไปยังหยดเลือดเล็กๆ หลายหยดตรงชายเสื้อของเขา สายตาของนางชั่วขณะนั้นกลาย เป็นแหลมคมขึ้นมา นํ้าเสียงก็กลายเป็นเหี้ยมเกรียมขึ้น “เศษสวะตัวไหนที่กล้าทำร้ายเจ้า?”
นิสัยชอบปกป้องของนางก็กำลังไหลบ่าไปบนตัวของซือมั่ว
ราวกับว่าซือมั่วเป็นของลํ้าค่าที่ไม่อาจแปดเปื้อนได้ของนาง
คำกล่าวของมู่ชิงเกอพอตกลงไปยังหัวใจของซือมั่ว ก็ทำเอานํ้าแข็งที่ปิดผนึกความรู้สึกของเขามาเป็นหมื่นปี หลอมละลายลง เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะถูกคนคิดปกป้องเช่นนี้ เพียงเพราะหยดเลือดเล็กๆ ไม่กี่หยด กลายเป็นเคร่งเครียดจริงจัง
ดังนั้นเขาก็เลยตัดสินใจพูดวาจาเท็จเล็กๆ ออกไป “ไม่ใช่ของข้า”
การตอบกลับของเขาทำให้ความดุดันของมู่ชิงเกอเปลี่ยนไป กล่าวอย่างผ่อนคลายลง “อ้อ ไม่ใช่ของเจ้าก็ดีแล้ว ข้าก็คิดอยู่ว่าจะมีใครมีปัญญาทำร้ายเจ้า?”
นํ้าเสียงนั่นทำเอาซือมั่วอดใจไม่อยู่เล็กน้อย
ราวกับว่าคนอื่นสังหารเขาไม่ได้ แต่หากเขาสังหารคนอื่นนั้นก็ไม่ผิดอันใด! หลักการที่แข็งกร้าวเช่นนี้ใช่… เป็นเสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขาจริงๆ และแน่นอนว่ามันก็เหมือนกันกับเขามาก!
ทันใดนั้นเองซือมั่วก็พลันกล่าวอย่างอยากรู้เล็กน้อย “ถ้าหากมีคนทำร้ายข้าได้จริงๆ เจ้าจะทำอย่างไร?”
เรื่องสมมุตินี้ทำให้แววตาของมู่ชิงเกอกลายเป็นดุดันขึ้นมา หรี่ลงพลางเอ่ยเย้ยหยันเสียงเย็น “คนที่กล้าทำร้ายคนของข้า? ข้าก็จะทำให้พวกเขาเสียใจจนไม่อยากอยู่เป็นคน!”
คำกล่าวประโยคนี้ก็ทำเอาซือมั่วนิ่งชะงักไป
ก่อนที่ชั่วขณะนั้นจะหัวเราะเสียงดังลั่นออกมา
เสียงหัวเราะยินดีของเขาก็ก้องกังวานไปทั่วทั้งช่องว่างแห่งการทดสอบ สัตว์ร้ายที่อยู่ในเขตแดนที่นับว่าเป็นเขตต้องห้ามล้วนแต่ร่างกายสั่นเทิ้มขึ้นมาเพราะเสียง หัวเราะเสียงนี้ ร้องครางออกมาเสียงหวาดกลัว
มู่ชิงเกอค่อยๆ เงยหน้ามองไปทางเขา
ส่วนสูงของนางในหมู่หญิงสาวก็นับว่าสูงมากแล้ว อย่างน้อยพอปลอมเป็นชายก็ไม่ให้ความรู้สึกว่าผอมแห้งแรงน้อย แต่พอต้องมายืนอยู่ต่อหน้าของซือมั่ว นางกลับยังต้องแหงนหน้ามองเขา
เสียงหัวเราะยินดีของซือมั่วก็ทำให้มุมปากของนางอดไม่ได้ที่จะโค้งสูงขึ้น นางเป็นครั้งแรกที่สัมผัสได้ถึงสำนวนที่ว่า ‘เขายินดีข้าก็จะยินดี เขาเกรี้ยวกราดข้าก็จะเกรี้ยวกราด’
อยู่ๆ ซือมั่วก็พลันก้มหน้าลง นัยน์ตาสีอำพันเปล่งแสงวาววับจ้องมองมู่ชิงเกอ แขนยาวยื่นออกไป โอบนางมาไว้ในอก ก่อนจะสูดดมกลิ่มหอมตามเส้นผมของ นางอย่างรักใคร่
แขนเสื้อยาวสีขาวลอยพลิ้วไปตามลม สีแดงสะดุดตาที่อยู่ในอกของเขาสายนั้นก็เหมือนกับเปลวเพลิงที่ถูกเขาปกป้องเอาไว้ก็ไม่ปาน ท่าทางทะนุถนอมนั้นถ้าหากถูกคนอื่นที่รู้จักกับซือมั่วมาเห็นเข้า ก็เกรงว่าจะต้องพากันตกตะลึงจนสีหน้าเปลี่ยนสี
หลังจากถูกซือมั่วกอดเข้ามาในอกอีกครั้ง มู่ชิงเกอก็ไม่ได้มีท่าทางอับอายเหมือนกับตอนก่อนหน้าแล้ว
นางเริ่มจะคุ้นชินกับทุกอย่างที่เป็นของชายหนุ่ม
นี่ถือเป็นคนที่นางเลือกแล้วด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะประสบพบเจอกับสิ่งใดนางก็จะกุมมือเผชิญมันไปกับเขา
ก่อนหน้านี้ไม่นานนางยังรู้สึกเสียใจอยู่เลยที่จะไม่มีโอกาสได้พูดคุยความในใจของตนกับชายหนุ่มให้ชัดเจน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะกลับมาถึงทันเวลา
“ช่างดียิ่งนัก” มู่ชิงเกอเอ่ยเสียงกระซิบขึ้น
คำกล่าวประโยคนี้ก็ลอยตามสายลม ลอยไปเข้าหูของซือมั่ว
เขาเอ่ยถามขึ้น “อะไรดีรึ?”
มู่ชิงเกอยกมุมปากขึ้นเบาๆ ในรอยยิ้มแฝงไว้ด้วยความเย็นยะเยือกพลางกล่าวว่า “สุนัขเฒ่าฝูงหนึ่งเกือบจะทำให้เรื่องราวของพวกเราต้องเสียเรื่อง ยังดีที่เจ้ากลับ มาทัน”
ใช่! ด้านนอกยังมีสุนัขเฒ่ากลุ่มหนึ่งที่คิดจะสังหารเสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขา พวกเดรัจฉานที่เขาจะต้องออกไปจัดการ!
กลิ่นไอบนร่างของซือมั่วกลายเป็นเยียบเย็นขึ้น กล่าวกับมู่ชิงเกอว่า “พวกเขาต่อให้ตายไปหมื่นครั้งก็ไม่มีทางลดทอนความผิดที่คิดทำร้ายเจ้า ขุมอำนาจของหลินชวนก็ถึงเวลาจะต้องปรับเปลี่ยนใหม่แล้ว”
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วพลางเอ่ยขึ้น “จะไม่ดูเอาแต่ใจไปหน่อยรึ?”
ถ้าหากเล่าลือออกไปว่ามหาปราชญ์ทำเช่นนี้เพื่อนาง ก็เกรงว่าชื่อเสียงของมหาปราชญ์คงจะต้องถูกทำลายจนย่อยยับ
“ผู้ที่กล้าทำร้ายเจ้าก็จะต้องเตรียมรอรับการฆ่าล้าง” ซือมั่วกลับกล่าวขึ้นอย่างขึงขังจริงจัง
มู่ชิงเกอพลันยิ้มสดใสขึ้น สำหรับท่าทีของชายหนุ่มก็ถือว่าพอใจเป็นอย่างมาก นางตีเบาๆ ไปที่หลังมือของซือมั่ว กล่าวปลอบโยนเขาว่า “เรื่องเล็กๆ เช่นนี้ เจ้าก็ไม่ต้องลงมือเองหรอก เจ้าก็ยืนอยู่ด้านหลังข้า ยืนเป็นพยัคฆ์สะกดข่มผู้คนให้ข้า แล้วมอบกู่หยากับกู่เย่ให้ข้าหยิบยืมก็เพียงพอแล้ว”
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์วางแผนว่าจะทำเช่นไร?” ซือมั่วแววตาไหววูบ มองไปทางนางอย่างอยากรู้
มู่ชิงเกอเชิดคางพลางยิ้มขันขึ้น “ก่อนหน้าก็ไม่ใช่มีข่าวลือว่าข้าใช้เสน่ห์ยั่วยวนคน เป็นปีศาจล่มแคว้นหรอกรึ? ในเมื่อพวกเขาล้วนมอบชื่ออันดีงามเช่นนี้มาไว้บนหัวข้า ถ้าหากข้าไม่ทำอะไรหน่อยก็ไม่ใช่ว่าจะทำให้ข่าวลือที่คนเขาลำบากสร้างมาต้องเสียเปล่าหรอกรึ?”
ระหว่างที่กล่าวดวงตาคู่นั้นก็พลันหรี่เล็กลง ในแววตาส่องแสงเจิดจ้าเปล่งประกายดุดัน “ข้าก็จะเป็นปีศาจร้ายทำลายแคว้นดูสักรอบ!
“พวกเขาบอกว่าเสี่ยวเกอเอ๋อร์ใช้เสน่ห์ยั่วยวนผู้คน?” ซือมั่วเลิกคิ้วขึ้น กลั้นขำมองไปทางนาง
รูปโฉมอันงามลํ้าที่ยากจะหาใครในใต้หล้าเปรียบได้ของมู่ชิงเกอ แน่นอนว่าสามารถเสริมรับกับข้อครหาอย่างการใช้เสน่ห์ยั่วยวนได้เป็นอย่างดี แต่ว่า กล้ามาหลู่เกียรติเสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขาเช่นนี้ คนพวกนั้นไม่ใช่คิดว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว?
“ข้าไม่ใช่ว่าใช้เสน่ห์ยั่วยวนเจ้าหรอกรึ?” มู่ชิงเกอหรี่ลงพลางเหยียดยิ้มเย็นยะเยือกขึ้น
ในรอยยิ้มนั้นก็แอบซ่อนความประสงค์รายเอาไว้ ซือมั่วพริบตาก็พลันได้สติขึ้นมา กล่าวสีหน้าจริงจังว่า “ชัดเจนว่าเป็นคำกล่าวไร้สาระ! จริงๆ แล้วเป็นข้าที่ใช้เสน่ห์ยั่วยวนเสี่ยวเกอเอ๋อร์ของข้า!”
ความน่าเกรงขาม และเกียรติยศอะไรนั้น? พออยู่ต่อหน้าเสี่ยวเกอเอ๋อร์ ล้วนแต่หลีกไปให้พ้นหน้าของเขา!
มู่ชิงเกอยิ้มจนตาหยี
ซือมั่วพอเห็นคนบางคนอารมณ์ดี ถึงค่อยกล่าวว่า “แต่เสี่ยวเกอเอ๋อรในใจสามีตอนนี้ก็ยังรู้สึกโมโหยิ่งนัก เจ้าก็ต้องให้ข้าลงมือเองบ้างสักครั้ง”
“ถุย! พวกเราตอนนี้ก็เพียงแค่ลองคบหาดูใจกัน ยังไม่ได้หารือกันไปถึงขั้นตบแต่งอันใด!”
‘สามี’ สองคำนี้ก็ทำเอามู่ชิงเกอปรากฎท่าทีเขินอายที่น้อยจะมีขึ้นมา นางถลึงตามองไปทางซือมั่วสายตาหนึ่ง กล่าวเถียงขึ้น
รู้ว่าเสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขาในด้านอารมณ์ความรู้สึก ยังอ่อนด้อยไร้เดียงสาอยู่บ้าง ตอนนี้สามารถมีท่าทีเปิดใจเช่นนี้ก็ถือว่าไม่ง่าย ซือมั่วก็ไม่กล้าไปรุกคืบอีก ทำเพียงยอมโอนอ่อนไปตามการโต้แย้งของนาง “ก็ได้ รอจนเจ้ากลายเป็นภรรยาของข้าอย่างเป็นทางการเมื่อไร ตอนนั้นค่อยเปลี่ยนคำเรียกก็ไม่สาย”
มู่ชิงเกอก็ไม่สนใจคำพูดประโยคของเขา คิดแล้วคิดอีก ก่อนจะเอ่ยวาจาขึ้น “ตระกูลหลานพวกนั้นเจ้าก็จัดการไปเถอะ เพราะยังไงเรื่องนี้ก็มีเจ้าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ตระกูลหลานก่อการเช่นนี้”
“เกี่ยวอันใดกับข้า?” ซือมั่วกล่าวอย่างไม่รู้ความ
นัยน์ตากระจ่างใสของมู่ชิงเกอฉายเติมไปด้วยความหยอกเย้าจ้องมองไปทางเขา “องค์มหาปราชญ์ ท่านไม่ใช่ลืมแล้วหรือว่าคุณหนูเฟยเยว่ของตระกูลหลานเคย กล่าวไว้ว่าหากไม่ใช่ท่านจะไม่แต่งงานน่ะ!”
“คุณหนูตระกูลหลานอันใด? ไม่รู้จัก” ซือมั่วกล่าวสีหน้างุนงง การตอบสนองเช่นนี้มู่ชิงเกอยังจะสามารถกล่าวอันใดได้อีก?
นางมุมปากยกสูงขึ้น ก่อนจะกล่าวไปทางซือมั่ว “ไปเถอะ พวกเราก็อยู่ที่นี่มานานเกินไปแล้ว ด้านนอกคาดว่าก็คงจะเละเป็นโจ๊กแล้ว”
แต่ซือมั่วกลับไม่เห็นว่าเป็นเช่นไร “วุ่นวายก็วุ่นวายไป เกี่ยวอะไรกับพวกเรา? แต่ว่าถ้าหากเสี่ยวเกอเอ๋อร์เร่งรีบจะแก้แค้น พวกเราก็ออกไปเถอะ”
“ก็ดี” มู่ชิงเกอพยักหน้าแรงๆ นัยน์ตากระจ่างเปล่งแสงประกายวาววับ
แก้แค้น! นางก็รู้สึกเคียดแค้นจนอดรนทนไม่ไหวแล้ว
เมื่อครู่พวกเขารังแกนางเช่นไร นางก็จะต้องทวงมันคืนมันเป็นสิบเท่าร้อยเท่า!
ตอนนี้มีมหาปราชญ์ค่อยหนุนหลัง นางก็ยังต้องไปเกรงกลัวเศษเดนอย่างปีศาจเฒ่าขั้นกักเก็บพวกนั้นอีกรึ?
ซือมั่วโอบไปที่เอวของมู่ชิงเกอ เงาร่างของทั้งสองหายวับไป หายไปจากสุสานเทวะในช่องว่างแห่งการทดสอบ