Skip to content

พลิกปฐพี 201-1

ตอนที่ 201-1

มานี่ อยากกินลูกกวาดก็เรียกท่านพ่อ!

“บอกข้ามาให้หมด!” มู่ชิงเกอเดินหน้าหนึ่งก้าว ขยับเข้าไปใกล้กู่หยาและกู่เย่

กู่หยาและกู่เย่ยังคงรักษาความสงบนิ่งต่อไป

ท่าทีของทั้งสองคน ทำให้มู่ชิงเกอหรี่ตาลงช้าๆ

ความโกรธขึ้งถักทออยู่ภายในใจของนาง

ความโกรธขึ้งนี้ไม่ได้มีให้ผู้ใด แต่มีให้ตนเอง

รออยู่นานไม่ได้คำตอบ มู่ชิงเกอก็หมุนตัวอย่างรวดเร็ว เดินไปทางตัวตำหนัก “หากพวกเจ้าไม่พูด ข้าจะไปถามเขาด้วยตนเอง!”

นางกดดันกู่หยาและกู่เย่

นางเดาได้ว่าพวกเขาทั้งคู่ไม่ต้องการให้นางไปถามเรื่องนี้กับซือมั่ว

แล้วก็เป็นจริงดังคาด เมื่อนางเดินไปถึงขั้นบันไดทางขึ้นตำหนัก กู่เย่ก็เอ่ยปากขึ้นว่า “ช้าก่อน”

มู่ชิงเกอหยุดเท้า โครงหน้างดงามไม่ได้พึงพอใจที่บรรลุเป้าหมาย กลับทวีความสุขุมเยือกเย็นยิ่งขึ้น

นางกำหมัดเบาๆ หมุนกายหันกลับมาเผชิญหน้ากับกู่เย่และกู่หยา

กู่หยามองหน้ากู่เย่ คล้ายกับส่งสายตาถามว่า ‘เจ้าจะขัดคำสั่งท่านประมุข พูดออกมาจริงหรือ?’

กู่เย่กลับส่งสายตามองกลับมาแวบหนึ่ง ไม่สนใจอีกต่อไป

เขาก้าวยาวๆ เดินเข้าไปหามู่ชิงเกอ ก่อนจะหยุดเท้าเมื่อ อยู่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งจ้าง “คุณชายท่านคือว่าที่นายหญิงของพวกเราในอนาคต จุดนี้ท่านประมุขเลือกแล้ว บ่าวรับใช้เช่นพวกเราจะไม่พูดอะไรมาก ส่วนเรื่องนี้ท่านประมุขบอกว่าไม่สามารถบอกกล่าวท่านได้พวกเราก็ไม่สามารถขัดคำสั่งท่านประมุขได้ไม่ว่าท่านจะได้ข่าวมาจากไหน ข้าบอกกับท่านได้เพียงว่า หากท่านคิดจะช่วยท่านประมุขจริงๆ ไม่สู้เร่งไปฝึกฝนพลังยุทธ์ยกระดับพลังยุทธ์ของตนเองโดยเร็ว ข้ารู้ว่าท่านมีพรสวรรค์เรื่องของการปรุงโอสถ แต่ว่าในตอนนี้ยังไม่เพียงพอ หากว่าวันหนึ่งท่านสามารถปรุงโอสถระดับมหาเทพได้บางทียังพอมีประโยชน์บ้าง”

“เขาได้รับบาดเจ็บหรือ?” ดวงตามู่ชิงเกอหรี่ลง เอ่ยถามด้วยความร้อนรน

กู่เย่กลับเอ่ยขึ้นว่า “ท่านประมุขทำสงครามมานานหลายปี แม้ว่าพลังเขาจะแกร่งกล้า บนโลกนี้ผู้ที่สามารถทำร้ายเขาได้มีไม่มาก แต่ว่าก็ทิ้งบาดแผลภายในและ โรคเรื้อรังไว้ เดิมทีสิ่งเหล่านี้ล้วนไม่เป็นอุปสรรค แต่ว่าตอนนี้ระดับพลังยุทธ์ของเขาถูกตัดทิ้งไปหมื่นปี บวกกับ…”

จู่ๆ เขาก็ชะงักไป ทำให้มู่ชิงเกอสัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์ไม่ดีจนต้องขมวดคิ้วมุ่น

“บวกกับอะไร?” มู่ชิงเกอถามต่อ

แต่ว่ากู่เย่กลับไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ

เขามองมู่ชิงเกอนิ่งๆ จู่ๆ ก็หลุบตาลงด้วยความเคารพ จากนั้นก็หันกายเดินจากไป

มู่ชิงเกอจ้องแผ่นหลังเขาเขม็ง หว่างคิ้วสะสมความหม่นหมอง

หลังจากรอจนกู่เย่จากไปไม่เห็นเงาแล้ว กู่หยาจึงเดินมาหามู่ชิงเกอ

เมื่อเทียบกับกู่เย่ มู่ชิงเกอค่อนข้างจะสนิทกับกู่หยามากกว่า

พอเขาเดินเข้ามา มู่ชิงเกอก็เอ่ยขึ้นว่า “ตอนนี้อาการของเขาแย่มากเลยใช่หรือไม่?”

กู่หยาหยุดเท้า เอ่ยเสียงทุ้มว่า “คำพูดของกู่เย่ ท่านอย่าได้ไปใส่ใจมากนัก”

มู่ชิงเกอส่ายหน้าน้อยๆ “ไม่ เขาพูดถูก ข้าต้องยกระดับกำลังความสามารถของตนเอง ไม่ใช่มัวแต่มาถามเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้ว”

กู่หยาขมวดคิ้วพลางเอ่ยขึ้นว่า “ที่ท่านประมุขไม่บอกท่าน ก็เพราะไม่อยากให้กระทบกับความรวดเร็วในการฝึกพลังยุทธ์โดยปกติของท่าน”

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วมองหน้าเขา ทันใดนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมา “เจ้าคิดว่าข้าจะใจร้อนต้องการเห็นความสำเร็จในทันที? ไม่เลือกวิธีการเพื่อเร่งยกระดับพลังยุทธ์หรือ?”

กู่หยานิ่งไป ยอมรับว่าเขากำลังเป็นกังวล มู่ชิงเกอหัวเราะขึ้นมา เพียงแต่ว่ารอยยิ้มนี้หนักหน่วงอยู่บ้าง “วางใจเถอะ ข้ารู้ว่าตนเองต้องทำอย่างไร”

“ศัตรูของเขามีไม่น้อยใช่หรือไม่?” จู่ๆ มู่ชิงเกอก็เอ่ยถามขึ้น

กู่หยานิ่งงัน ราวกับว่าไม่เข้าใจคำถามของมู่ชิงเกอ แต่ก็พยักหน้าตามตรง

รอยย่นบนหน้าผากค่อยๆ คลายออก มองดูเมฆหมอกที่เคลื่อนคล้อยลอยสลับยอดเขา “ดังนั้นสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ แพร่งพรายออกไปไม่ได้เป็นอันขาด”

ประโยคนี้ทำให้กู่หยาเข้าใจความหมายของนาง

เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ขอเพียงไม่ปะทะประมือกับผู้แกร่งกล้าจริงจัง ปิดบังไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากประมือ เกรงว่า…”

คำพูดต่อจากนั้นถึงกู่หยาไม่ได้พูดต่อให้จบ มู่ชิงเกอก็เดาคำตอบได้

“เจ้ายังจำเรื่องก่อนหน้านี้ได้หรือไม่?” เกี่ยวกับการฝ่าฝืนใช้วิชาต้องห้าม มู่ชิงเกอไม่รู้เรื่องอะไรมาก แต่ว่าดูจากท่าทีของกู่หยาและกู่เย่แล้ว เห็นได้ชัดว่ายังจำได้

กู่หยาอธิบาย “การฝ่าฝืนใช้วิชาต้องห้าม ผู้ใช้จะไม่ถูกลบความทรงจำตอนนั้นพวกข้าอยู่ข้างกายท่านประมุขดังนั้นจึงไม่ได้รับผลกระทบ”

การฝ่าฝืนเพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลง ย่อมไม่ให้ความทรงจำของผู้ใช้ถูกลบ

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ถึงทำให้เขาต้องเสี่ยงอันตรายเช่นนี้?” มู่ชิงเกออดไม่ได้ที่จะถามขึ้น

กู่หยาคิดทบทวนอย่างละเอียด สิ่งที่มู่ชิงเกอถามไม่ใช่ เรื่องของเจ้านายตนเอง ดังนั้นแม้ว่าเขาจะเอ่ยบอกไปก็ ไม่ถือว่าเป็นการขัดคำสั่งของท่านประมุข

ดังนั้น เขาถึงเล่าสิ่งที่เห็นในตอนนั้นออกมา “…ตอนที่ พวกเราไปถึง ช่องว่างแห่งการทดสอบก็แหลกสลาย ทุกคนตายกันหมด ตัวท่านเองก็เหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย ถูกกลิ่นไอแห่งความตายปกคลุม”

‘คิดไม่ถึงว่าจะเลวร้ายเพียงนี้!’ มู่ชิงเกอฟังด้วยสีหน้าเยือกเย็น

ราวกับนางได้เข้าใจว่าเหตุใดเหมิงเหมิงจึงบอกว่านางเกือบตายไปแล้วครั้งหนึ่ง

กู่หยามองหน้านางแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยสำทับขึ้นว่า “พวกเราเตือนท่านประมุขแล้วว่าร่างกายของท่านพิเศษไม่แน่ว่าจะต้องตาย แต่ว่าท่านประมุขก็บอกว่าสำหรับเขาแล้ว เขาไม่ปรารถนาที่จะฝากความหวังไว้กับโชค ที่เขาต้องการคือไร้ข้อผิดพลาดใดๆ”

ในใจของมู่ชิงเกอถูกคำว่า ‘ไร้ข้อผิดพลาด’ สี่คำนี้พุ่งชนอย่างจัง

ดวงตากระจ่างใสของนาง เปลี่ยนไปเป็นไอหมอกอย่างรวดเร็ว

นางกะพริบตา สลัดไอหมอกนั้นกลับคืนไปอย่างรวดเร็ว แต่ยังคงไม่สามารถยับยั้งขอบตาแดงๆ เหมือนจะร้องไห้ไว้ได้

“ขอบคุณเจ้ามาที่บอกข้า” มู่ชิงเกอเอ่ยเสียงนิ่งๆ หมุนกายเดินจากไป

เรื่องที่ควรถามและไม่ควรถาม นางก็ได้ถามแล้ว

เรื่องที่ควรรู้และเรื่องที่ไม่ควรรู้นางก็ได้รู้ไปไม่น้อย แข็งแกร่ง! ยังต้องแข็งแกร่งมากกว่านี้!

ฝีเท้าของมู่ชิงเกอที่เดินจากไป เปลี่ยนไปหนักแน่นมั่นคงยิ่งขึ้น ท่าทีก้าวเท้าเดินขึ้นบันไดตัวตรงไม่ย่อท้อกับความยากลำบาก

หลังจากเงาร่างของนางค่อยๆ จากไปไกล ข้างกายของกู่หยาก็มีเงาดำวูบขึ้น กู่เย่กอดดาบปรากฏตัวอยู่ข้างกายเขา

กู่หยาขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นว่า “วันนี้พวกเราบอกนางเรื่องพวกนี้ เร็วไปหรือไม่?”

กู่เย่เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่คิดเช่นนั้น “นางคิดที่จะอยู่ข้างกายท่านประมุขตลอดไป ก็จะต้องรีบแข็งแกร่งขึ้น หากแม้ความกดดันแค่นี้ยังรับไม่ไหว จากไปก็เป็นเรื่องดี หากทนไหวนางก็มีคุณสมบัติที่จะร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านประมุข”

“ถ้าหากท่านประมุขรู้เรื่องวันนี้…” กู่หยามองหน้าเขา กู่เย่เองก็ค่อยๆ เบนสายตากลับมา สายตาของทั้งคู่ประสานกันกลางอากาศ

จู่ๆ เขาก็ถอยหลังหนึ่งก้าว เอ่ยบอกกู่หยาว่า “ก่อนหน้านี้ ท่านประมุขมอบหมายให้ไปจัดการเรื่องการเก็บกวาด ข้าขอตัวไปก่อนแล้วกัน เจ้าก็อยู่รับใช้นายท่าน”

พูดจบ เงาร่างเขาก็กะพริบหายไปจากตำหนักหลีกง กลายเป็นลำแสงพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า

“สมควรตาย!” กู่หยาช้าไปหนึ่งก้าว ทำได้เพียงกัดฟัน มองลำแสงนั้นหายไป

ข้อมูลที่ได้รู้อย่างฉับพลัน ทำให้มู่ชิงเกอยกเลิกความคิดที่จะออกจากตำหนักหลีกง

เดิมทีนางวางแผนไว้ว่าหลังจากพักผ่อนแล้ว จะไปจวนรับรองดูคนอื่นๆ แต่ว่าตอนนั้นนางคิดแค่เพียงรีบใช้เวลาทุกวินาทีฝึกพลังยุทธ์ เมื่อกลับถึงห้องตนเอง มู่ชิงเกอก็เข้าสู่สถานะฝึกยุทธ์ทันที

เหมือนที่ซือมั่วเคยกล่าว บีบอัดพลังจิตภายในอย่างต่อเนื่อง สะสมพลังจิตอย่างต่อเนื่อง ให้พวกมันบีบอัดและเก็บสะสมเอาไว้

หากเหนื่อยแล้วก็เปลี่ยนไปฝึกฝนทักษะการปรุงโอสถของตนเอง

ทักษะการปรุงโอสถ ทักษะการหลอมศาสตรา เวลาช่วงนี้ถูกนางปล่อยทิ้งไปนาน วันนี้ถึงเวลาที่จะต้องปฏิบัติอย่างตั้งใจเสียที

ท่านผู้เฒ่าหัวหน้าโรงโอสถเคยบอกไว้ว่า รอให้ถึงเวลาที่นางเลื่อนขั้นเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับสมบัติแล้วให้ไปหาเขา เขามีเรื่องจะมอบหมายให้นางไปทำ

ด้านนอกตำหนักหลีกง ก้อนเมฆเคลื่อนคล้อย ความมืดมิดยามราตรีเข้ามาแทนที

ผ่านไปชั่วแวบเดียว เวลาก็ผ่านไปหนึ่งเดือน

ในระยะหนึ่งเดือนนี้ เจียงหลี จ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟย เคยเข้าตำหนักหลีกงมาเพื่อพบมู่ชิงเกอ แต่ว่าก็ถูกกู่หยาบอกว่ามู่ชิงเกอกำลังเก็บตัวฝึกฝน จึงกลับไปอย่างจำยอม

หนึ่งเดือนมานี้ กระแสคลื่นลมใต้นํ้าในหลินชวน การล้างไพ่รอบใหม่ก็เดินทางมาถึงช่วงสุดท้าย

ตระกูลหลานล่มสลาย สำนักหมื่นอสูรล่มสลาย หอหลอมศาสตราล่มสลาย ผู้ได้รับผลประโยชน์สูงสุดคือมู่ชิงเกอ ในเทียนตู เชื้อพระวงศ์และประมุขตระกูลใหญ่สามตระกูลได้แบ่งสมบัติของตระกูลหลานออก ตระกูลเล็ก อีกทั้งตระกูลขนาดกลางก็ถือโอกาสนี้ผุดออกมาเป็นดอกเห็ด

ตอนนี้ รายชื่อผู้มีฐานะสูงส่งของเทียนตูที่มิอาจล่วงเกินได้ ก็ได้ปรากฏชื่อของมู่ชิงเกอเป็นอันดับแรก

อันดับที่สองคือเจียงหลี

เหตุผลเพียงเพราะว่านางคือสหายคนสนิทของมู่ชิงเกอ ที่แคว้นหรง จู่ๆ ก็หายไปสองขั้วอำนาจ ทำให้แคว้นหรงในฐานะแคว้นระดับสองตกตํ่าลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ข่าวราชทูตแคว้นหรงสร้างเรื่องให้มู่ชิงเกอครั้งแล้วครั้งเล่าแพร่ออกไป แคว้นหรงที่เป็นแคว้นระดับสองก็มีแนวโน้มจะตกไปอยู่แคว้นระดับสาม พรมแดนแผ่นดินหลินชวนก็มีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงรางๆ วันสุดท้ายของเดือนก็มีราชโองการออกจากอาณาจักรเซิ่งหยวนสองฉบับ ฉบับหนึ่งถูกส่งไปที่แคว้นระดับสามแคว้นฉิน ส่วนอีกฉบับถูกส่งไปที่แคว้นระดับสองแคว้นหรง

เนื้อความในราชโองการเหมือนกันทุกประการ แต่ทว่าผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม

อาณาเขตแคว้นฉินไม่เปลี่ยนแปลง แต่ได้เลื่อนจากแคว้นระดับสามขึ้นเป็นแคว้นระดับสอง ได้รับทรัพยากรของแคว้นระดับสองทุกอย่าง ส่วนแคว้นหรงกลายเป็นแคว้นระดับสามริบทรัพยากรของแคว้นระดับสอง และต้องส่งบรรณาการให้แคว้นฉินทุกปี

เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป อาณาเขตแคว้นระดับสามก็เดือดพลุ่งพล่าน

ส่วนแคว้นหรงกลับทำได้เพียงแค่ขบฟันกลืนลงท้องไป!

การเปลี่ยนแปลงรูปแบบ การเปลี่ยนแปลงอำนาจ

ทั้งนี้สำหรับมู่ชิงเกอแล้วไม่รับรูโดยสิ้นเชิง แต่ก็ไม่สำคัญ เพราะว่าถึงเวลาที่นางต้องไปจากแผ่นดินหลินชวนแล้ว นางต้องมุ่งหน้าไปโลกแห่งยุคกลาง ไปแก้ไขความยุ่งยากและไปหาคำตอบเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง

เมื่อจบเรื่องทุกอย่างแล้วก็ถึงเวลาที่นางต้องขยับตัวจากไป

เวลาเหลือเพียงไม่มาก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version