ตอนที่ 208-1
ข้าจะใช้ทั้งหลินชวนสู่ขอเจ้า!
“ชิงเกอ มหาปราชญ์เดินทางมาสู่ขอด้วยตนเอง เจ้ายังไม่รีบเข้ามาอีก!” มู่ซงมองหน้ามู่ชิงเกอ ตาทั้งสองข้างแทบถลน
มู่ชิงเกอฟังดูแล้ว ประโยคนี้แทบจะผสมผสานหลากหลายความรู้สึกเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น!
มู่ชิงเกอมุมปากกระตุกรุนแรง มองไปยังตัวต้นเรื่อง กระนั้นใบหน้าหล่อเหลาปานเทพเซียน มีเสน่ห์ชวนลุ่มหลงกลับเผยรอยยิ้มซุกซน มองหน้านางด้วยสายตาสุขุม ซื่อๆ
‘บุรุษผู้นี้จงใจชัดๆ!’ มู่ชิงเกอสามารถยืนยันในใจเต็มร้อย ตอนที่นางปฏิเสธไม่ให้บุรุษผู้นี้ตามตนกลับมาแคว้นฉิน เขาจะต้องมีความคิดที่จะก่อการก่อนแล้วค่อยจัดการทีหลังเป็นแน่!
มู่ชิงเกอใบหน้าทะมึน เอ่ยกับพวกบ่าวรับใช้สกุลมู่ว่า “พวกเจ้าออกไปก่อน มีเรื่องอะไรให้ไปทำก็ไปทำ!”
คุณชายเอ่ยปาก เรื่องสนุกก็จบสิ้น
ถึงแม้คนในตระกูลมู่อยากจะอยู่ชมต่อ แต่ก็ต้านไอสังหารที่แผ่ออกมาจากร่างของคุณชายไม่อยู่!
ชั่วพริบตาเดียว ฝูงชนตระกูลมู่ก็แตกกระเจิง โถงด้านในและด้านนอกกลับคืนสู่ความเงียบ แม้แต่โย่วเหอกับฮวาเยวี่ยเองก็ออกไปด้วย กลับไปสวนสระเมฆา เตรียมทุกอย่างรอปรนนิบัติมู่ชิงเกอ
หลังจากที่ผู้ไม่เกี่ยวข้องออกไปแล้ว มู่ชิงเกอจึงได้สาวเท้าก้าวยาวๆ เดินเข้าไปในห้องโถง
มู่ซงจ้องมองนาง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นหลานสาวในชุดสตรี ‘งาม! งามจริงๆ! งามกว่ามารดานางเสียอีก ยังมีการวางตัวดังเช่นบิดา!’ มู่ซงตาพร่าด้วยหยาดนํ้าตาไปชั่วขณะ
หลายปีที่ผ่านมา เขาเป็นหนี้หลานสาวเสียแล้ว!
“ท่านปู่ ท่านร้องไห้ด้วยเหตุใด?” มองเห็นขอบตาชื้นๆ กระบอกตาแดงระเรื่อของมู่ซงแล้ว มู่ชิงเกอก็เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
มู่ซงกะพริบตา เอ่ยเสียงแข็ง “ข้าร้องไห้ที่ไหนกัน?”
รู้ว่าท่านปู่กลัวขายหน้า มู่ชิงเกอได้แต่หัวเราะไม่ได้เอ่ยถามให้มากความ
นางมองไปยังซือมั่ว กู่หยากับกู่เย่ไม่ได้อยู่ข้างกายเขา แต่เดาได้ว่าน่าจะแอบซ่อนอยู่ในมุมมืด
มู่ชิงเกอเดินไปนั่งบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ข้างมู่ซง เอ่ยกับมู่ซงว่า “ท่านปู่เชิญนั่ง”
นั่ง?
เขาไหนเลยจะกล้า?
ไม่เห็นหรืออย่างไรว่ามีท่านเทพนั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธาน?
ใบหน้าชราของมู่ซงกระตุก
เรื่องยินดีไม่คาดฝันที่หลานสาวนำมาให้เขาช่างใหญ่โตมากจริงๆ! หากไม่ใช่ว่าหลายปีมานี้สภาพร่างกายของเขาไม่เลว หาไม่แล้วตอนที่เห็นหน้ามหาปราชญ์คงได้หัวใจวายแน่
ท่าทีลังเลของมู่ซงทำให้มู่ชิงเกอต้องมองหน้าซือมั่วด้วยความไม่พอใจ เห็นเขามั่งตรงตำแหน่งประธานด้วยท่าทีไม่ยี่หระ ก็อดไม่ได้ที่จะพูดเหน็บแนม “เพิ่งเคยเห็นคนมาสู่ขอนั่งตำแหน่งประธานเป็นครั้งแรก”
ซือมั่วเอ่ยชี้แจงกับนางด้วยสีหน้าใสซื่อ “ข้าปฏิเสธแล้ว แต่ผู้อาวุโสมู่ยืนยัน”
มู่ซงรีบเอ่ยเสริมขึ้นว่า “ใช่แล้ว! มหาปราชญ์มาเยือนทั้งที คงมิใช่ว่าจะให้ท่าน…แค่ก แค่ก นั่งอยู่ตำแหน่งแขกหรอกนะ?”
มู่ซงเกือบจะหลุดปากคำว่า ‘ผู้เฒ่า’ แต่ว่า พอนึกได้ถึงจุดประสงค์การมาเยือนของมหาปราชญ์แล้ว เขาก็รีบชะงักกลืนคำพูดลงไป จนใบหน้าแดงกํ่าทำเอาตนเองสำลัก
ท่าทีของมู่ซง ทำเอามู่ชิงเกอหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ นางไม่สามารถเข้าใจได้เลยจริงๆ ว่าจินตนาการที่ชาวหลินชวนมีต่อซือมั่วนั้นเกินจริงขนาดไหนกันแน่!
“เจ้ามาสู่ขอมือเปล่า?” มู่ชิงเกอมองประเมินซือมั่ว พูดฉีกหน้าขึ้นมา
“ข้านำตัวเองมาอย่างไรเล่า” ซือมั่วเอยตอบนํ้าเสียงจริง ใจ
ราวกับว่าความหมายในคำพูดของเขาคือ สิ่งของลํ้าค่าที่สุดก็คือตัวเขาเอง ดังนั้นข้าจึงนำตัวเองมา
มู่ชิงเกอมุมปากกระตุก ถูกบุรุษหน้าหนาตีแตกพ่าย ที่จริงแล้วในใจของนางรู้ดีถึงความหมายในการกระทำของซือมั่ว
สงครามที่เทียนตู ใครๆ ต่างก็ทราบในความสัมพันธ์ระหว่างนางกับซือมั่ว
จากนั้นแน่นอนว่าคนนอกจะต้องเอาไปพูดกันปากต่อปาก ยากที่จะเลี่ยงคำนินทาที่เกิดจากความอิจฉา ซือมั่ว เดินทางมาแคว้นฉินมาถึงจวนตระกูลมู่ ก็เพื่อจะมาชี้ แจงกับมู่ซงด้วยตัวเอง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะยังไม่ได้แต่งงานกัน แต่สถานะก็ต้องตกลงกันไว้ก่อน
เขาไม่อนุญาตให้ใครก็ตามมาใส่ร้ายมู่ชิงเกอ ยิ่งต้องให้ทุกคนในใต้หล้านี้รับรู้ว่าเป็นเขาสู่ขอมู่ชิงเกอแต่งงาน ไม่ใช่เป็นเหมือนที่มีคนคาดเดาไปในทางเสื่อมเสียว่ามู่ชิงเกอใช้เสน่ห์ยั่วยวนเขา
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ในใจของมู่ชิงเกอรู้สึกประทับใจอยู่บ้าง
บุคคลที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ที่ไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่น กลับคิดทบทวนเพื่อนางได้ถึงขั้นนี้ แม้ว่านางจะไม่สนใจคำนินทาภายนอกเหล่านั้น แต่ก็ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นใจ
“ท่านคิดว่าอย่างไร?” ในเมื่อถูกทำให้ซาบซึ้ง มู่ชิงเกอก็คิดที่จะคล้อยตามบุรุษผู้นี้
ซือมั่วอมยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “วันนี้มาคุยกับผู้อาวุโสมู่ก่อน พรุ่งนี้ข้าค่อยมาใหม่”
แววตาสีอำพัน เปล่งประกายแวววาวสดใส
“ได้ ข้ารอเจ้า” มู่ชิงเกอพยักหน้ารับ ตอบตกลงด้วยความเบิกบาน ไร้แววเขินอายแม้แต่น้อย
ซือมั่วบอกมาก็มา บอกไปก็ไป
จวบจนหลังจากกลิ่นไอของซือมั่วจางหายไปหมดสิ้นแล้ว มู่ซงก็ยังตกอยู่ในภวังค์
“ท่านปู่ วิญญาณเข้าร่างได้แล้ว!” มู่ชิงเกอยื่นมือไป สะบัดนิ้วมือตรงหน้าเขาด้วยอาการทะเล้น
มู่ซงผงะ ได้สติกลับคืนมา มองดูที่นั่งตำแหน่งประธานที่เว้นว่าง ทั้งยังมีถ้วยชาที่เย็นชืดแล้ว ได้แต่เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจว่า “มหาปราชญ์ล่ะ?”
“ไปตั้งนานแล้ว” มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
“ไปแล้ว!” จากนั้นตามมาด้วยเสียงที่แผดสูงขึ้นของมู่ซง เอ่ยด้วยความตื่นเต้น “เหตุใดจึงไปแล้วล่ะ? ไม่ใช่มาสู่ขอหรืออย่างไร? เหตุใดจึงไปแล้ว?”
ท่าทีของเขา ทำเอามู่ชิงเกอคิดว่าตนเองเลยวัยที่ต้องออกเรือนแล้ว ยากที่จะหาผู้ใดมาสู่ขอ รู้สึกว่าไม่ควรที่จะพลาดโอกาสครั้งนี้
มุมปากนางกระตุก ใบหน้าทะมึนเอ่ยอธิบายกับมู่ซงว่า “พรุ่งนี้เขาจะมาใหม่”
“อ๋อ พรุ่งนี้มาใหม่” มู่ซงพยักหน้าอย่างเลื่อนลอย ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เขม็ง เอ่ยถามขึ้นใหม่ “พรุ่งนี้มาใหม่?”
มู่ชิงเกอพยักหน้า “เขาบอกว่าจะมอบสถานะให้กับหลานสาวของท่านต่อหน้าคนใต้หล้า” พูดจบ นางก็ขมวดคิ้ว เพราะว่าประโยคนี้ฟังดูแล้วกระอักกระอ่วนใจ
คุยกันดิบดีแล้วว่านางจะไปแต่งเขา! แม้แต่ของหมั้นนาง ก็ส่งไปแล้ว!
เหตุใดจู่ๆ ถึงได้พลิกผันกลับกัน?
“ดี! ดี! ดี!” มู่ซงวิเคราะห์คำพูดของมู่ชิงเกอ เอ่ยว่าดี ติดต่อกันสามครั้ง ค่อยๆ นั่งลงบนเก้าอี้ แววตาชราคลอหยาดน้ำตาระยิบระยับ
อารมณ์ความรู้สึกของมู่ซงถ่ายทอดถึงมู่ชิงเกอ นางเอ่ยเสียงเบา “ท่านปู่”
มู่ซงเงยหน้ามองหน้านาง กวักมือเรียกนางให้เข้าไปหา
มู่ชิงเกอเดินเข้าไปนั่งลงข้างกายเขา
“เกอเอ๋อร์เรื้องนี้เจ้ามีความคิดเห็นเช่นไร?” มู่ซงเอ่ยถาม
มู่ชิงเกอกลอกตา เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านปู่คิดเห็นเช่นไร?”
มู่ซงโบกมือยิ้มๆ ทอดถอนใจเอ่ยขึ้นว่า “ข้าแก่แล้ว ไม่อยากใช้สมองมากมาย เรื่องงานมงคล ดูที่ตัวเจ้าเป็นสำคัญ หากเจ้ากับมหาปราชญ์มีใจชอบพอกัน นั้นย่อมเป็นสวรรค์ส่งให้มาคู่กัน ต่อไปมีมหาปราชญ์มาดูแลเจ้า ข้าเองก็วางใจ แต่หากเจ้าไม่เต็มใจก็อย่าได้กลัว ปฏิเสธก็ปฏิเสธ พวกเราตระกูลมู่ ข้าในฐานะปู่เจ้าย่อมอยู่ข้างกายเจ้า ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเจ้า”
ในหลินชวน งานมงคลของหญิงชายขึ้นอยู่กับบิดามารดา เสียสละเพื่อผลประโยชน์?
แต่ว่า ตระกูลมู่กลับไม่เคยเป็นเช่นนี้!
ความเข้าใจและมีเหตุมีผลของมู่ซง ทำให้บรรดาคนรุ่นหลังไม่เคยเกิดความเสียใจในเรื่องความรู้สึก
“ท่านปู่ ข้าจะแต่งให้เขา” มู่ชิงเกอเผยเสียงหัวใจตนเอง ต่อหน้าผู้อื่นเป็นครั้งแรก นางใช้คำว่า ‘แต่ง’ แทนงานมงคล สื่อความหมายว่านางยอมรับในตัวซือมั่วผู้นี้ทำให้ท่านปู่สบายใจ
มู่ซงตะลึง เบ้ปากหัวเราะ “ดี! หนุ่มสาวตระกูลมู่ของพวกเราต้องกล้ารักกล้าเกลียด ไม่จำเป็นต้องเหนียมอาย แสร้งทำตรงข้ามความรู้สึก!”
“เฮ้อ! หากพ่อแม่เจ้ายังอยู่ ท่านย่าท่านอาเจ้ายังอยู่ ได้เห็นวันนี้ไม่รู้ว่าจะดีใจเพียงไหน” หลังจากรื่นรมย์ยินดี มู่ซงก็นึกถึงคนในครอบครัวที่ล่วงลับจากไปแล้วทำเอาเขาเศร้าเสียใจอยู่บ้าง
เอ่ยถึงหัวข้อสนทนานี้ สายตาของมู่ชิงเกอก็เป็นประกาย รีบถือโอกาสเอ่ยขึ้นว่า “ท่านปู่ ข้ามีเรื่องต้องกล่าวกับท่าน”
“เรื่องอะไรหรือ?” มู่ซงมองหน้านางด้วยความประหลาดใจ
ต่อมา มู่ชิงเกอก็ได้นำข้อสันนิษฐานที่สงสัยว่ามารดามาจากสกุลซางของโลกแห่งยุคกลางเอ่ยบอกแก่มู่ซง ถึงกับคาดเดาว่าตั้งแต่เริ่มจนจบมารดาอาจจะถูกคนสกุลซางพาตัวไป อีกอย่างตอนแรกเป็นเพราะมารดาจะไปตามหากระดูกบิดาจึงได้ออกจากตระกูลมู่ บางทีหากหามารดาพบแล้วก็จะสามารถทราบเรื่องราวในปีนั้นของบิดาบ้าง
ดังนั้น นางจำเป็นต้องไปเยือนโลกแห่งยุคกลางสักครั้ง
อีกอย่างเรื่องของตระกูลเล่อ นางเองก็จำเป็นต้องไปจัดการให้ถึงที่สุด เพื่อที่จะไม่ให้พวกเขามีเวลาส่งคนมาก่อเรื่องลำบากให้ตระกูลมู่
นอกจากนี้แล้ว ยังมีเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ที่ต้องให้นางไปจัดการที่โลกแห่งยุคกลาง
ยิ่งไปกว่านั้น การที่นางจะแข็งแกร่งขึ้นต่อไป มีเพียงออกจากหลินชวนเข้าสู่โลกแห่งยุคกลางเท่านั้น!
หลังจากที่มู่ชิงเกอพูดจบ มู่ซงก็เงียบไปครู่ใหญ่
จวบจนมู่ชิงเกอรู้สึกกระวนกระวายใจ เขาถึงได้เอ่ยขึ้นนํ้าเสียงราบเรียบว่า “พูดเช่นนี้ อีกไม่นานเจ้าก็ต้องจากไป อีกอย่างการไปครั้งนี้กว่าจะกลับมาก็ไม่รู้ว่าเป็นเดือนใดปีใด”
มู่ชิงเกอเม้มริมฝีปากแน่น หลุบตาลงมอง นางไม่รู้ว่าควรตอบมู่ซงเช่นไร
คำพูดง่ายๆ เพียงคำว่า ‘ใช่ ในช่วงเวลานี้ คิดไม่ถึงว่ายากที่จะเอ่ยออกมา’
มู่ซงไม่รอคำตอบของมู่ชิงเกอ เขาเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกสลับซับซ้อนในใจว่า “ไปเถอะ ลูกโตแล้วยังไงก็ต้องออกจากบ้าน ถึงจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างแท้จริง’’ เขามองหน้ามู่ชิงเกอ ปิดบังความอาลัยอาวรณ์ในใจไว้อย่างยิ่งยวด เอ่ยกำชับบอกกับนางว่า “หลังจากจากไปแล้ว กระทำการสิ่งใดก็ต้องตรึกตรองให้รอบคอบ หากขยันก่อเรื่องดังเช่นเจ้าสมัยเด็กๆ แล้วล่ะก็ ก็จะไม่มีผู้ใดเก็บกวาดให้เจ้าอีกแล้วนะ อีกอย่างตระกูลฝั่งมารดาเจ้า หากหาพบแล้วรับทราบเรื่องราวของบิดาเจ้าในปีนั้นไม่ว่าอย่างไรเจ้าต้องคิดหาวิธีแจ้งแก่ข้า แต่หากหาไม่พบ หรือว่าไม่มีข่าวคราวของพวกเขา เจ้าก็อย่าได้ร้อนใจ ทุกอย่างปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ รอให้เจ้าเสร็จเรื่องที่เจ้าต้องการจะทำ หากมีเวลาว่างก็กลับมาเยี่ยมผู้เฒ่าเช่นข้าบ้าง หากเหนื่อยล้าก็จงอย่าลืมว่าที่หลินชวน ยังมีบ้านของเจ้า ทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวังและปลอดภัย”
“ทราบแล้ว ท่านปู่” มู่ชิงเกอรู้สึกคัดจมูกอยู่บ้าง
นางไม่ใช่คนที่จะเสียน้ำตาง่ายดาย แต่ว่าทุกครั้งที่บอกลาคนที่บ้าน ก็มักจะทำให้นางรู้สึกถึงความรักความห่วงใยที่มาจากสายเลือดและมิตรสหาย
มู่ซงอาลัยอาวรณ์ไม่อยากให้นางจากไป แต่ก็ไม่อาจไม่ให้ไปได้
เขาส่งนางด้วยรอยยิ้ม แต่ก็ต้องยอมรับความกังวล ความอ้างว้างเดียวดายและความคิดถึงในคืนวันที่เลยผ่าน