ตอนที่ 208-2
ข้าจะใช้ทั้งหลินชวนสู่ขอเจ้า!
“นำองครักษ์เขี้ยวมังกรติดตามไปด้วย ยังมีสาวใช้โย่วเหอ ฮวาเยวี่ยอีก ครั้งนี้เจ้าออกไปไม่พาพวกนางไปด้วย สาวใช้สองนางนี้มีคำตัดพ้อไม่น้อยเชียว”
เดิมทีมู่ชิงเกอคิดจะบอกว่า ให้โย่วเหอถับฮวาเยวี่ยอยู่เป็นเพื่อนมู่ซง คอยดูแลเขา
แต่ว่ากลับถูกประโยคถัดไปของมู่ซงทำเอาคำพูดชะงัก อยู่ในลำคอ
“เด็กสองคนนี้ คนหนึ่งละเอียดรอบคอบ อีกคนหนึ่งคล่องแคล่วว่องไว มีพวกนางคอยดูแลอยู่ข้างกายเจ้า ข้าก็ถึงจะวางใจ”
มู่ชิงเกอกัดริมฝีปากก่อนจะพยักหน้ารับ
“สำหรับเรื่องระหว่างเจ้ากับมหาปราชญ์…” เวลานี้จิตใจของมู่ซงกลับมาเป็นปกติแล้ว ความคิดอ่านและสติปัญญากลับมาคืนมาใหม่ เขามองหน้ามู่ชิงเกอ เอ่ยด้วย ความวิตกกังวล “มหาปราชญ์มีที่มาลึกลับ ยิ่งใหญ่เกินไป เจ้าจะเดินไปอยู่ข้างกายเขาเกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย เรื่องที่รอเจ้าอยู่บางทีอาจจะไกลเกินกว่าที่เจ้าคาดคิด เกอเอ๋อร์ เจ้าเคยคิดมาก่อนหรือไม่? เตรียมตัวดีหรือยัง?”
เขาเคยหวังให้มู่ชิงเกอหาเขยที่คู่ควรเหมาะสม ใช้ชีวิตด้วยความราบรื่น แต่เห็นได้ชัดว่าหลานสาวผู้นี้ของเขาไม่ธรรมดา
พรสวรรค์ของนางก็ทำให้นางไม่สามารถทำตัวธรรมดา ใช้ชีวิตอย่างสงบ
ในที่สุดมู่ซงก็เอ่ยถึงประเด็นปัญหานี้ขึ้นมา
มู่ชิงเกอเองก็ไม่ได้ปิดบังเขา หากแต่ใช้นํ้าเสียงหนักแน่น เอ่ยขึ้นว่า “ดังนั้น ข้าจำเป็นจะต้องแข็งแกร่งมากขึ้น โตเป็นผู้ใหญ่เร็วๆ วันนี้เป็นเขามาลั่วตูบอกแก่คนทั้งหล้าว่า ข้าเป็นภรรยา คงจะมีสักวันหนึ่งข้าก้าวเข้าไปในโลกของเขา บอกกับทุกคนว่าเขาเป็นสามีของข้า!”
นํ้าเสียงของมู่ชิงเกอแฝงปณิธานอันแน่วแน่ ยากที่จะมีสิ่งใดมาทำลายได้
มู่ซงฟังจบ ก็เอ่ยขึ้นด้วยนํ้าเสียงยินดี “ดี! เป็นสายเลือดตระกูลมู่! ขอเพียงเจ้าคิดดีแล้ว ปู่จะสนับสนุนเจ้าแน่นอน!”
สนทนากับมู่ซงเสร็จ ก็กินข้าวเป็นเพื่อนเขา มู่ชิงเกอถึงได้กลับไปยังสวนสระเมฆาที่ไม่ได้พำนักมาเนิ่นนาน หลังจากบอกกล่าวกับโย่วเหอและฮวาเยวี่ยว่า นางจะพาพวกนางไปจากหลินชวน ทำเอาสาวใช้ทั้งสองส่งเสียงร้องด้วยความตื่นเต้นยินดีไม่หยุดปาก
“แต่ว่าพวกเจ้าก็อย่าได้ชะล่าใจไป ตอนนี้ระดับพลังยุทธ์ของพวกเจ้าทั้งสองยังไม่เพียงพอ หากว่าก่อนที่ข้าออก เดินทาง พวกเจ้ายังไม่สามารถถึงระดับพลังชั้นสีม่วง พวกเจ้าก็อยู่ที่นี่เสีย” มู่ชิงเกอเอ่ยเตือน
โย่วเหอและฮวาเยวี่ยเก็บสีหน้าอารมณ์ทันที พยักหน้ารับอย่างจริงจัง “เจ้าค่ะ คุณชาย!”
ในเมื่อต้องไป อะไรที่ต้องเตรียมก็เตรียม แต่ว่าเรื่องจิปาถะเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ มู่ชิงเกอเพียงแค่มอบหมายให้พ่อบ้านตระกูลมู่และพวกบ่าวรับใช้ไปตระเตรียม
ไม่กี่วันมานี้ นางคิดว่าจะอยู่เป็นเพื่อนมู่ซง
หากทว่า นางไม่คาดคิดว่าในคืนนั้นจะมีราชโองการจากวังหลวงส่งมาที่จวนตระกูลมู่
ฉินจิ่นเฉินเรียกนางเข้าเฝ้า แต่ว่าสถานที่นัดพบกลับไม่ใช่วังหลวง แต่เป็นป่าดอกท้อสี่ฤดู
นึกขึ้นได้ว่าตนเองกลับมาจากงานชุมนุมใหญ่หลินชวนก็มีสิ่งของที่ต้องถวายให้กับราชสำนัก มู่ชิงเกอจึงได้รับราชโองการ
ดวงจันทร์ลอยเด่นเหนือศีรษะ มู่ชิงเกอขึ้นไปบนเรือลำน้อยในป่าดอกท้อตามที่นัดหมาย ท่ามกลางแม่นํ้าคดเคี้ยว ดอกไม้โปรยปราย มุ่งเข้าไปในส่วนลึกของป่าท้อ
ครั้งก่อนที่มา นางยังเป็นหนุ่มน้อยรูปงามที่สาวๆหลงใหล
พอมาครั้งนี้นางกลับเป็นโฉมงามสะคราญ ที่ไม่เปลี่ยนไปจากเดิมคือพลังที่ไม่สยบให้กับผู้คนไม่ยอมสยบให้สวรรค์!
เมื่อก้าวเท้าลงสู่ริมฝั่งที่เป็นดินโคลนที่ทาบทับด้วยดอกไม้สีชมพู มู่ชิงเกอตั้งหลักท่ามกลางป่าท้อ เดินไปตามทางเล็กๆ
ครั้งนี้นางมาพบฉินจิ่นเฉินเพียงลำพัง ไม่ได้พาคนติดตามมาด้วย
ส่วนลึกของป่าเซียนดอกท้อ…
เพียงเข้ามาในป่าท้อ มู่ชิงเกอก็ได้ยินเสียงพิณบรรเลง ท่วงทำนองที่คุ้นเคย เดินตามเสียงพิณนั้นไป ผ่านต้นท้อเขียวชอุ่มต้นแล้วต้นเล่า มองเห็นศาลาแปดเหลี่ยมที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าดังเช่นครั้งก่อน
ในศาลา มีคนผู้หนึ่งบรรเลงพิณ กลีบดอกไม้ร่วงโรยโปรยปราย
ชุดคลุมตัวใหญ่สีเหลืองห่าน ทำให้ผู้ที่บรรเลงพิณยิ่งมีไอเทพเซียน ราวกับว่าสามารถเดินเหินบนฟากฟ้าได้ตลอดเวลา
มู่ชิงเกอยืนอยู่ที่เดิม มองดูฉินจิ่นเฉินที่อยู่ในศาลาอยู่ไกลๆ
เขาในค่ำคืนนี้ ดูเหมือนกับเสียนอ๋องในกาลก่อน บนศีรษะไม่สวมมงกุฎ ชุดสีพื้นคลุมร่าง ผมพลิ้วไสวตามลม ท่วงท่าสุขุมนุ่มลึก ราวกับเค้าโครงของเทพเซียน แฝงความลี้ลับที่ดูว่างเปล่าอ้างว้าง
ราวกับว่าจากจักรพรรดิหวนคืนสู่ท่านอ๋องผู้รักสันโดษ ไม่สนใจเรื่องภายนอก
บัดนี้ฉินจิ่นเฉินสามารถฝึกพลังยุทธ์ได้แล้ว ผิวหนังไม่เหมือนกับแต่ก่อนที่ดูซีดขาวอ่อนแอขี้โรค แต่ถึงกระนั้นก็ยังทำให้ผู้คนรู้สึกเศร้าโศกอ้างว้างอยู่เช่นเดิม เห็นเขาแล้ว มักจะมีความรู้สึกอยากเข้าใกล้ อยากเข้าไปขจัดความอ้างว้างโดดเดี่ยวในใจของเขา
เพลงจบลง!
ดวงตาที่แบ่งแยกขาวดำชัดเจนราวกับสามารถมองทะลุจิตใจของผู้คน ค่อยๆ เงยขึ้นมา ประสานสายตากับมู่ชิงเกอ
ริมฝีปากสีซีดๆ ของเขาค่อยๆ แย้มออกทำให้เลือดลมไหลเวียนไม่ติดขัด ถึงค่อยมีสีสันขึ้นมาบ้าง “เจ้ามาแล้ว”
นํ้าเสียงกระจ่างใสที่เปล่งออกมา ธรรมดาจนคล้ายกับประโยคสอบถามทั่วไป
มู่ชิงเกอพยักหน้าเงียบๆ
นางเก็บคืนสีหน้าอารมณ์เดินเข้าไปในศาลาแปดเหลี่ยม
ฉินจิ่นเฉินยังคงนั่งอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้ลุกขึ้นยืน สายตากลับเคลื่อนไหวตามการเคลื่อนตัวของนาง
เข้าไปในศาลาแปดเหลี่ยมแล้ว มู่ชิงเกอก็ปลดกระเป๋าจัดเก็บที่ตัว ทิ้งลงบนพิณของฉินจิ่นเฉิน
สายพิณสั่นไหวเกิดเป็นเสียงดนตรี ทำลายความอ้างว้างโดดเดี่ยวที่ฉินจิ่นเฉิงสร้างขึ้นมา
สายตาของฉินจิ่นเฉินทอดมองลงบนกระเป๋าจัดเก็บที่อยู่บนพิณ แววตาเป็นประกายเล็กน้อย ไม่ได้ถามและไม่ได้ดู
“นี่เป็นสิ่งของที่ได้มาจากการเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่หลินชวนที่เทียนตูในครั้งนี้ ยังมีของที่นำมาจากเศษซากโบราณบางส่วน นำมาให้เจ้าในวันนี้ถือเป็นการจ่ายส่วยเข้าท้องพระคลัง” มู่ชิงเกอเอ่ยอธิบาย
ฉินจิ่นเฉินจับจ้องไปที่กระเป๋าจัดเก็บ แต่ไม่ได้เกิดความสนใจจากคำพูดของมู่ชิงเกอ เขาเอ่ยขึ้นนิ่งๆ “ลำบากเจ้าแล้ว”
เวลานี้เขารู้สึกเสียใจภายหลัง ตอนที่ได้รับข่าวเรื่องที่เกิดขึ้นกับนางที่เทียนตู รวมถึงเรื่องที่นางเป็นสตรี มาถึงแคว้นฉิน เขาก็รู้สึกเสียใจแล้ว เสียใจที่ตอนแรก เป็นเขาเองที่ให้นางไปเทียนตู
เขาคิดอยู่บ่อยๆ ว่าหากมู่ชิงเกอไม่ได้ไปที่เทียนตู ก็ไม่เกิดเรื่องราวมากมายเพียงนั้น
บางทีฐานะของนางก็จะไม่ถูกเปิดเผย
แต่เมื่อเป็นเช่นนี้บางทีเขาก็ไม่ต้องได้ยินข่าวที่ทำให้เขาเจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป
“มหาปราชญ์ เขา…ดีกับเจ้าหรือไม่?” ในตอนที่มู่ชิงเกอคิดว่าฉินจิ่นเฉินจมดิ่งอยู่กับความเงียบ ในที่สุดเขาก็เอ่ยปากขึ้นมา คำพูดที่ออกมาจากปากของเขา ทำเอามู่ชิงเกอตกตะลึง อดไม่ได้ที่จะมองหน้าเขา
ในใจของนาง ฉินจิ่นเฉินไม่ใช่ผู้ที่ยุ่งเรื่องคนอื่น กล่าวได้ว่านอกจากเรื่องของตัวเองแล้วฉินจิ่นเฉินไม่มีทางใส่ใจ เรื่องใดๆ เด็ดขาด
กลับไม่คาดว่าที่นัดนางออกมาในคํ่าคืนนี้ เป็นเพราะเรื่องของนางกับซือมั่ว!
“ข้ายังไม่ได้แสดงความยินดีกับเจ้าที่เป็นจักรพรรดิแห่งแคว้นระดับสองเลย” มู่ชิงเกอกล่าวยิ้มๆ
ฉินจิ่นเฉินเงยหน้าขึ้นมองหน้านาง ดวงตาที่แบ่งแยกขาวดำชัดเจนแยกแยะเศร้ายินดีไม่ออก “เจ้ามีความสุขหรือไม่?”
มู่ชิงเกอมองหน้าเขา ขมวดคิ้วเล็กน้อย
นางไม่ใช่ผู้ที่ชอบป่าวประกาศความรู้สึกส่วนตัวของตนเองไปทั่วหรือแบ่งปันให้ใครฟัง หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่มาถามนางด้วยคำถามเช่นนี้ไม่แน่ว่านางอาจจะเหน็บแนมกลับไป ไม่ตอบคำถามแน่นอน
แต่ว่า ตอนนี้คนที่ถามเป็นฉินจิ่นเฉิน!
ฉินจิ่นเฉินผู้ที่รักษาความสงบมาโดยตลอด ผู้ที่ยืนอยู่ข้างนางให้การรับรองกับนาง ยอมก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ที่ตนแสนเกลียดเพื่อรักษาคำมั่นสัญญา!
เดิมเขาเป็นท่านอ๋องผู้สันโดษผู้ซึ่งไม่ข้องเกี่ยวกับโลกภายนอก แต่ว่าเพื่อนางแล้วกระโจนเข้าสู่เรื่องทางโลก ทำงานที่ยากและหนักหนาที่สุดในใต้หล้า มู่ชิงเกอทอดถอนใจอยู่ในใจ เอ่ยกับฉินจิ่นเฉินยิ้มๆ ว่า “เห็นแก่ความเป็นห่วงในฐานะสหายของท่าน ข้าสบายดี มีความสุขสำราญใจมากด้วย เขาคือบุรุษที่ข้าเลือก ข้า เองก็เตรียมรับมือกับความท้าทายทุกอย่าง”
คำพูดของมู่ชิงเกอ ทำให้แววตาของฉินจิ่นเฉินหม่นแสงลง
ประโยคนี้ยับยั้งคำพูดในใจที่เขายังไม่ทันได้พูดออกมา ฉินจิ่นเฉินมองดูมู่ชิงเกอ ตอนที่เขารู้ว่ามู่ชิงเกอเป็นสตรี ความรู้สึกตื่นตระหนก ยินดี กระวนกระวายใจ… แทบจะทุกความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขา ล้วนปรากฏออกมาหมดในขณะนั้น
แต่ว่าในวันนี้ เขาทำได้แค่เพียงเก็บงำความคาดหวังในใจนั้นลงไป ยิ้มบางๆ ให้นาง “ข้ายินดีด้วย!”
“ขอบคุณ” มู่ชิงเกอพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นขาดความฉาบฉวยที่เขาคุ้นเคย เพิ่มความอ่อนโยนที่เขาไม่คุ้นเคยอยู่หลายส่วน
มู่ชิงเกอที่เป็นเช่นนี้ งามจนทำให้คนแทบลืมหายใจ ทำให้คนตกอยู่ในภวังค์
ถึงอย่างไรเขาก็รู้ดีว่า รอยยิ้มอ่อนโยนนี้ของนางไม่ได้เกิดจากเขา!
มู่ชิงเกอจากไปแล้ว
ระหว่างนางและฉินจิ่นเฉิน ไม่เหมือนกับพวกเจ้าอ้วนที่มีเรื่องสัพเพเหระ และก็ไม่เหมือนกับพวกจ้าวหนานซิงและเหมยจื่อจ้งที่มีเรื่องมาให้คุย ยิ่งไม่เหมือนการหาเรื่อง แข่งขันซึ่งกันและกันตอนที่อยู่กับหานฉายไฉ่
ตอนที่พบปะกับฉินจิ่นเฉินเพียงลำพัง ระหว่างพวกเขามีมากที่สุดคือความเงียบ
เมื่อพูดเรื่องที่ควรพูดจบแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องรั้งอยู่ต่อ
ฉินจิ่นเฉินส่งสายตามองมู่ชิงเกอที่งดงามส่องสว่างราวกับแสงอาทิตย์หายลับไปในป่าท้อ ถูกแทนที่ด้วยกลีบดอกสีชมพูอ่อนของป่าท้ออยู่เนิ่นนาน ไม่อาจละ สายตา
จิตวิญญาณของเขาราวกับว่าติดตามมู่ชิงเกอไป ที่หลงเหลือไว้มีเพียงเปลือกร่างเท่านั้น
“ชิงเกอ เจ้ายินยอมจะเป็นฮองเฮาเพียงหนึ่งเดียวของข้าหรือไม่?” เมื่อมู่ชิงเกอขึ้นไปบนเรือลำน้อยออกจากป่าดอกท้อ ฉินจิ่นเฉินถึงได้มีความกล้าเอ่ยประโยคนี้ออกมา
น่าเสียดายที่คำพูดเอ่ยออกไปแล้วแต่ไม่มีผู้ตอบรับ อีกทั้งไม่มีการตอบรับตลอดไป!