Skip to content

พลิกปฐพี 293

ตอนที่ 293

ตีก้นธิดาเทพ!

“คนของตำหนักเทพอยากฆ่าข้า เจ้าคิดว่าถูกใครสั่งมา?” สีหน้าของมู่ชิงเกอดูเคร่งขรึม แต่ทว่านัยน์ตากลับสดใสอย่างเหนือความคาดหมายจ้องมองราชครู

สายตาของนางดูเหมือนว่าจะรู้คำตอบทุกอย่างแล้ว!

ราชครูทิ้งก้อนหยกลงบนโต๊ะเพื่อพยากรณ์

และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่มู่ชิงเกอเห็นว่าเขาหน้าถอดสีและดูตกตะลึง

นัยน์ตาของนางหรี่เล็กลง เอ่ยเสียงเบาว่า “ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับตำหนักเทพมาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดไปถึงว่าจะมีความสัมพันธ์อะไรกัน แต่พูดกันว่าตำหนักเทพสามารถติดต่อสื่อสารกับแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารได้”

ราชครูลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ในทันใด ท่าทางของเขาดูเคร่งเครียดมาก “ดูแล้ว ภายในแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารมีคู่มือของนายน้อยอยู่! อีกอย่างเขาก็คาดเดาได้ถึงการคงอยู่ของนายน้อยแล้ว”

มู่ชิงเกอค่อยๆ เดินไปเดินมารอบโต๊ะ นัยน์ตาหรี่เล็กฉายแวววาววาบครุ่นคิด “เขาอยู่ในแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร แต่กลับรู้ถึงการคงอยู่ของข้า ทั้งยังใช้ตำหนักเทพมากำจัดข้าอีก ดูแล้วตอนนี้ศิษย์พี่ของเจ้าคงจะเฝ้าอยู่ข้างกายเขา”

“ไม่ผิด!” ราชครูยืนยันการคาดเดาของมู่ชิงเกอ

นัยน์ตาของเขาฉายแวววาววาบเอ่ยว่า “จะต้องเป็นศิษย์พี่ที่หลังจากดูดวงดาวแล้ว รับรู้เรื่องการคงอยู่ของนายน้อย แต่เขาไม่สามารถรู้ได้ว่านายน้อยเป็นใครกันแน่ ดังนั้นหากว่าเป็นพวกเขาสั่งการก็ต้องเพียงแค่สั่งให้หาคนรุ่นเยาว์อัจฉริยะแซ่มู่ ที่มีความสามารถโดดเด่น!”

เมื่อพูดจบแล้วเขาก็มองไปทางมู่ชิงเกอ

มุมปากของมู่ชิงเกอโค้งขึ้น ดูเหมือนว่าภายใต้เงื่อนไขเช่นนี้มีเพียงแค่นางคนเดียวที่เหมาะสม

เดินไปด้านหน้า เก้าอี้ที่ว่างอยู่ตรงกันข้ามกับราชครูแล้ว มู่ชิงเกอก็นั่งลง ยกขาขึ้น พิงพนักเก้าอี้ กลิ่นอายรอบกายนางดูเย็นยะเยือกขึ้น “เช่นนั้นเจ้าก็พูดถึงความ สามารถของศิษย์พี่เจ้าให้ข้าฟังทีเถอะ”

“ขอรับ นายน้อย” ราชครูพยักหน้า เขาครุ่นคิดอยู่ในใจอย่างละเอียด จากนั้นถึงได้พูดออกมาว่า “หากว่าอีกฝ่ายเป็นคู่แข่งจริงๆ ข้าคิดว่าข้ารู้แล้วว่าเคราะห์ใหญ่ของนายน้อยนั้นหมายถึงอะไร”

“ตำหนักเทพจะไล่ฆ่าข้างั้นหรือ?” มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น สายตาตกไปอยู่ที่ร่างของเขา

“ไม่” ราชครูส่ายหน้า “การที่ตำหนักเทพไล่ฆ่านายน้อยนั้นไม่ใช่เคราะห์ยากลำบาก แต่เป็นคำเตือนสำหรับพวกเรา เผยการคงอยู่ของพวกเขาให้พวกเราได้รับรู้”

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววอำมหิต ขมวดคิ้วเอ่ยถามว่า “เป็นอย่างไร?”

ราชครูมองมู่ชิงเกอ นายน้อยผู้นี้สามารถนิ่งสงบคุยกับเขาภายใต้สถานการณ์การถูกตามสังหารจากขุมกำลังใหญ่ของโลกแห่งยุคกลางได้ไม่ได้มีความกังวลใดๆ เลย จิตใจเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง

“นายน้อยคงไม่ทราบว่าในตอนที่ตระกูลมู่ล่มสลายนั้น ภายในแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารก็ไม่มีที่ให้ตระกูลมู่คงอยู่ได้อีกเลย คนของตระกูลมู่ที่เหลือก็ใช้ชีวิตอย่างเรื่อยเฉื่อย พวกเขาไม่สามารถเข้าไปในตึกเทพเพื่อติดต่อกับตำหนักเทพของโลกแห่งยุคกลางได้” ราชครูบอกมู่ชิงเกอถึงสาเหตุที่สำคัญ

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหดตัวลง แล้วก็เบิกตากว้าง ชั่วขณะนั้นก็เข้าใจขึ้นมา “และก็พูดได้ว่า คำสั่งให้ไล่ฆ่าข้านี้ ถ้าหากว่ามาจากแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารจริงๆ เช่นนั้นก็เป็นตระกูลมู่แอบลอบเข้าไปในตึกเทพแล้วก็ส่งข่าวให้ตำหนักเทพ”

ราชครูพยักหน้า “ไม่ผิด แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารห่างไกลจากพวกเรามาก หมื่นปีมานี้ก็ไม่เคยมีการติดต่อกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภายในแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารนั้นเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดสำหรับตระกูลมู่ ทุกๆ วันก็จะต้องคอยหลบหนีจากการไล่ล่า หมื่นปีที่ผ่านมานี้ใครก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์ของทางฝั่งนั้นเป็นอย่างไร มีคนของตระกูลมู่หลงเหลืออยู่หรือไม่ พวกเขาวางแผนอะไรไว้ สิ่งเหล่านี้พวกเราล้วนแต่ไม่รู้เลย แต่ว่าในตอนนี้ คำสั่งการนี้กลับทำให้พวกเรารู้แล้วว่าภายในแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารยังมีคนของตระกูลมู่อยู่ อีกทั้งยังได้คัดเลือกคนที่เหมาะสมจะเป็นนายน้อยแล้ว ดังนั้นพวกเขาถึงได้ ตัดสินใจที่จะลงมือฆ่าผู้ถูกคัดเลือกเป็นผู้สืบทอดคนอื่นๆ”

“ส่วนศิษย์พี่ของเจ้าคนนั้นในตอนนี้ก็คอยสนับสนุนคนๆ นั้นอยู่ ดังนั้นถึงได้รู้เรื่องการคงอยู่ของผู้สืบทอดคนอื่นๆ ได้อีกทั้งยังรู้ว่าอยู่ในโลกไหนอีกด้วย!” มู่ชิงเกอเอ่ยเสียงเข้ม

ภายในส่วนลึกของสายตานางได้ฉายแววเย็นยะเยือกขึ้นแล้ว ทั้งยังแฝงไปด้วยอารมณ์เกรี้ยวโกรธ

นางคิดไม่ถึงว่าตัวเองที่กำลังทำเรื่องราวของตนเองไปดีๆ ก็ยังโดนคนมาตามไล่ฆ่าอีก!

“การคาดเดาของนายน้อยนั้นมีเหตุผล พวกเราไม่รู้สถานการณ์บนแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร พวกเขาก็ไม่รู้สถานการณ์ของพวกเราเช่นเดียวกัน นอกจากผู้เฝ้ามองที่สามารถคาดเดาเกี่ยวกับเบาะแสบางอย่างเกี่ยวกับผู้สืบทอดได้แล้ว ก็ไม่มีความเป็นไปได้อื่นอีก’’ ราชครูพูดอย่างแน่ใจ

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ ทันใดนั้นก็หัวเราะขึ้นมา “ถ้าหากว่าเป็นอย่างที่เจ้าพูดจริงๆ เช่นนั้นคนที่สั่งการฆ่าข้านี้ก็ใจร้อนเกินไปแล้ว และก็เสี่ยงเกินไป ไม่เพียงแต่ไม่อาจจะแน่ใจว่าจะฆ่าข้าได้ แต่ยังเป็นการเปิดเผยการคงอยู่ของตนเองอีก”

“แต่ว่าคนเช่นนี้นั้นนับเป็นนักพนันกล้าเสี่ยงโดยกำเนิด เขาไม่กลัวว่าตนเองจะถูกเปิดเผย เพียงคิดจะฉวยโอกาสทุกโอกาสเพื่อฆ่านายน้อย กำจัดให้สิ้นซาก คู่มือเช่นนี้ไม่อาจดูเบาได้” ราชครูเตือน

มู่ชิงเกอค่อยๆ พยักหน้า นัยน์ตาฉายแววเคร่งขรึม “ข้าไม่เคยดูเบาคู่ต่อสู้ไม่ว่าจะเป็นคนแบบไหน”

ราชครูนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วก็หันไปมองมู่ชิงเกอ เอ่ยด้วยท่าทีที่เข้มงวดว่า “เกรงว่า จุดมุ่งหมายของเขาในตอนนี้จะเป็นเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลาง”

มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมองเขา ไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับประโยคนี้

นายน้อยของตระกูลมู่ทุกคนล้วนแต่ต้องการเป็นผู้ชนะในตอนสุดท้าย ซึ่งไม่อาจที่จะละเลยเคล็ดวิชาเทวะได้?

แต่ในใจของนางกลับกังวลถึงเรื่องหนึ่ง “เคล็ดวิชาเทวะส่วนล่าง ตั้งแต่เริ่มแรกก็อยู่ในแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร ในเมื่อคนเหล่านี้อยู่ในแผนดินใหญ่แห่งเทพมาร ก็จะต้องให้ความสนใจในเรื่องนี้อย่างแน่นอน และก็ไม่รู้ว่าในตอนนี้พวกเขาจะได้มันมาอยู่ในมือแล้วหรือยัง”

“แม้ว่าจะได้มาอยู่ในมือแล้วพวกเขาก็ไม่สามารถฝึกฝนได้หากไม่มีเคล็ดวิชาเทวะส่วนบนและกลางแล้วเคล็ดวิชาเทวะส่วนล่างก็เป็นเพียงแค่ขยะชิ้นหนึ่ง” ราชครูเอ่ย

มู่ชิงเกอพยักหน้านิ่งเงียบ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นถึงได้เอ่ยกับราชครูว่า “แต่ก่อนเจ้าเคยพูดว่า ตึกเทพกับตำหนักเทพแห่งโลกแห่งยุคกลางนั้นมีความสัมพันธ์ อย่างไรกันนะ?”

ราชครูอธิบายว่า “ตึกเทพเป็นหน่วยงานหนึ่งในแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร ประโยชน์ของมันก็คือติดต่อสื่อสารกับตำหนักเทพในต่างโลก หากว่าเผ่าเทพต้องการให้ตำหนักเทพทำอะไร ก็จะสั่งลงมาผ่านตึกเทพ คนของตระกูลมู่บนแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารจะต้องลอบเข้าไปในตึกเทพแล้วก็สั่งการลงมายังตำหนักเทพในโลกแห่งยุคกลางอย่างแน่นอน เรื่องเช่นนี้ไม่สามารถเป็นอย่างอื่นไปได้ ตำหนักเทพด้านล่างก็เข้าใจดีว่า ตำหนักเทพนั้นรับใช้ เผ่าเทพทั้งหมด หากว่าบนคำสั่งไม่มีสัญลักษณ์ของเผ่าเทพ พวกเขาก็จะรู้ว่าเป็นคำสั่งส่วนตัว ออกแรงแต่พอประมาณแต่ไม่อาจทำอย่างเต็มที่ได้”

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ “ก็หมายถึงว่า เรื่องที่ตำหนักเทพไล่ฆ่าข้านั้น หากฆ่าได้ก็ฆ่า ฆ่าไม่ได้ก็จะปล่อย ไม่ไล่ฆ่าล้างให้ตายกันไปข้างหนึ่งอย่างนั้นใช่

ไหม?”

ราชครูพยักหน้า “หากอิงตามธรรมเนียมแล้วก็จะเป็นอย่างนี้ แต่ทว่า หากเป็นเช่นนี้แล้ว เมื่อคนบนแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารรู้เรื่องเข้า เกรงว่าคงจะสังเกตจับตาดูนายน้อยมากยิ่งขึ้น”

ราชครูรู้สึกกังวลใจ ในตอนนี้มู่ชิงเกอยังแข็งแกร่งไม่พอ เขาไม่คาดหวังให้นางตกอยู่ในสายตาของบรรดาเผ่าเทพบนแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารเหล่านั้น

แต่มู่ชิงเกอกลับเอ่ยอย่างผ่อนคลายว่า “หากว่ารู้แล้วจริงๆ พวกเราก็ไม่มีวิธีที่จะไปขัดขวาง ใช้ชีวิตตามปกติไปเถอะ”

“นายน้อยสามารถคิดเช่นนี้ได้ช่างหาได้ยากจริงๆ” ราชครูเอ่ยชม

“ในเมื่อตำหนักเทพไม่ใช่เคราะห์ใหญ่ของข้า เช่นนั้นเคราะห์ใหญ่นั้นน่าจะมาจากแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร” มู่ชิงเกอเอ่ย

ราชครูเห็นด้วยเอ่ยว่า “มีโอกาสเป็นไปได้สูง!”

“เช่นนั้นเจ้าต้องเคลื่อนไหวให้เร็วขึ้นอีก ต้องรีบเร่งเวลา!” มู่ชิงเกอโน้มกายมาด้านหน้า เคาะนิ้วลงบนโต๊ะ

ราชครูพยักหน้า เอ่ยรับรองกับมู่ชิงเกอว่า “นายน้อยให้เวลาข้าอีกหนึ่งเดือน ข้าจะต้องคำนวณหาตำแหน่งของซุยอี้หานชุ่นออกมาได้แน่!”

“ดี!” มู่ชิงเกอยืนขึ้น เอ่ยกับเขาว่า “ข้าให้เวลาเจ้าหนึ่งเดือน”

พูดจบแล้ว นางก็ออกไปจากห้องของราชครู

สำหรับการไล่ฆ่าของตำหนักเทพ ในใจของนางได้วางแผนเอาไว้แล้ว และก็ไม่ได้กังวลใจอะไร ที่นางให้ความสำคัญมากกว่าก็คือศัตรูในแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารมากกว่า!

เมื่อตกยามกลางคืน ดวงดาวก็โดดเด่น

ภายในเรือนเล็กที่พักชั่วคราวของมู่ชิงเกอ มีคนน้อยลง ทำให้เงียบขึ้นกว่าเดิม

มู่ชิงเกอกับเจียงหลีนงอยู่บนเก้าอี้โยกใต้ต้นไม้พูดคุยเล่นกัน

“เจียงหลี เลือกมาสักวันหนึ่ง เจ้าพาข้าไปดูประตูมิติที” อยู่ดีๆ มู่ชิงเกอก็เอ่ยขึ้นมา

เจียงหลีมองนางอย่างแปลกใจ “เจ้าอยากจะกลับหลินชวนแล้วงั้นหรือ?”

มู่ชิงเกอนิ่งเงียบไม่พูดจา

หลังจากพูดคุยกับราชครูในวันนี้แล้ว เคราะห์ใหญ่ที่แต่เดิมนางไม่สนใจ มาตอนนี้กลับเป็นเหมือนก้อนหินใหญ่ที่คาอยู่ในใจของนาง ถ้าหากว่าศัตรูมาจากแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารจริงๆ เช่นนั้นการต่อสู้นี้ก็คงเป็นการต่อสู้แบบเป็นตาย

“ออกมานานสักระยะหนึ่งแล้ว ถึงเวลาที่จะกลับไปดูหน่อย” มู่ชิงเกอเอ่ยออกมา ก่อนศึกใหญ่จะมา ไปหาท่านปู่กับท่านอาดูหน่อยดีกว่า

“เจ้าเป็นอะไรไป? ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” เจียงหลีหันมาถาม

มู่ชิงเกอส่ายหน้า “ไม่มีอะไร เพียงแค่ช่วงนี้ว่างเกินไป อยากจะฉวยโอกาสกลับไปดู แล้วก็ถือโอกาสพาเจ้าเด็กสองคนนั้นกลับไปให้พวกท่านปู่ท่านอาดูด้วย”

เหตุผลนี้ดูสมเหตุสมผลมาก

เจียงหลีไม่ถามต่อ เพียงแต่พยักหน้าเอ่ยว่า “ได้ ถึงอย่างไรข้าก็เป็นคนที่ว่างที่สุด เจ้าอยากไปเมื่อไหร่ก็ไปเมื่อนั้น ข้าก็จะได้ไปดูแคว้นกู่วู่ด้วยเลย จากนั้นค่อยกลับมาพร้อมกันกับเจ้าอีกครั้ง”

“ดี แต่ว่า จะไปก็ต้องรอให้ข้าจัดการเรื่องธิดาเทพแห่งตำหนักเทพเสร็จก่อนนะ” มู่ชิงเกอพยักหน้าเอ่ย

เจียงหลีหัวเราะ “อย่างไร? ผู้หญิงคนนั้นยังจะมาฆ่าเจ้าอีกงั้นหรือ?”

มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยว่า “เพียงแค่มีลางสังหรณ์เท่านั้น ว่านางน่าจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ”

“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงไม่ฆ่านางเสียละ?” เจียงหลีเอ่ยถาม

มู่ชิงเกออกลับส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “หากว่านางเป็นเพียงแค่นักฆ่าธรรมดา ก็คงฆ่าแล้ว แต่ว่าสถานะของนางกลับแขวนไว้ตรงนั้น หากว่าข้าฆ่านางเลย นั่นก็คงทำให้ตนเองพบกับความลำบาก และทำให้ข้ายากที่จะตั้งตัวบนโลกแห่งยุคกลางได้”

เจียงหลีคิดตามคำพูดของนางแล้วก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ก็ถูก ตอนนี้เจ้าเพิ่งจะหยั่งเท้าลงยืนบนโลกแห่งยุคกลาง ไม่มีความจำเป็นจะเป็นศัตรูกับตำหนักเทพและตระกูลซีเพื่อเรื่องนี้ในเวลานี้”

มู่ชิงเกอหรี่ดวงตาเล็กลง เอ่ยขึ้นว่า “ปีกยังไม่แข็งแรงก็ จำต้องรู้จักอดทน”

ข้างหลังของนางยังมีคนอยู่มากมาย นางไม่ใช่คนตัวคนเดียวที่ไม่กลัวฟ้าดินคนนั้นอีกแล้ว คนที่ติดตามนางมาเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ นางจำเป็นต้องคิดเผื่อพวกเขาด้วย

หากว่าฆ่าซีเซียนเสวี่ยจริงๆ แล้วก็จะมีผลกระทบตามมาอีกมายมาย จะทำให้คนบริสุทธิ์จำนวนมากต้องลำบากไปด้วย อีกอย่างในตอนนี้ซีเซียนเสวี่ยก็ไม่ได้คิดที่จะฆ่าล้างนาง หากว่าสามารถยืมมือนางกลับไปบอกตำหนักเทพ ทำให้เรื่องนี้จบไปได้ก็จะดีกว่ามาก

เมื่อสามารถแก้ข้อพิพาทด้วยสันติวิธีได้แล้วเหตุใดต้องเลือกฆ่าล้างกันด้วย? เพียงเพื่อความสะใจเล็กน้อยงั้นหรือ?

มู่ชิงเกอดูแคลนคนที่มีความคิดเช่นนั้น

“แต่ทว่า หากพูดตามนิสัยของเจ้าแล้ว วันนี้ตำหนักเทพกล้าไล่ฆ่าเจ้า เกรงว่าหากวันหน้าเจ้าปีกกล้าขาแข็งแล้ว ก็คงจะคิดบัญชีกับพวกเขาเป็นแน่” เจียงหลีพูดล้อ เล่นแล้วหัวเราะ

มู่ชิงเกอหัวเราะ ซึ่งความหมายก็ชัดเจนดีอยู่แล้ว

เรื่องราววันนี้ที่นางเลือกที่จะประนีประนอมก็เพราะตำหนักเทพไม่ได้ไล่ฆ่านางอย่างเอิกเกริก ส่งเพียงแค่ซีเซียนเสวี่ยมา หากว่าวันนี้ตำหนักเทพออกคำสั่งให้ทั้งห้าภาคไล่ตามฆ่านาง นางก็จะจัดการอีกวิธี

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววแข็งกร้าว

“’ค่ำมืดแล้ว พักผ่อนเถอะ” มู่ชิงเกอยืนขึ้น เอ่ยกับเจียงหลี

มุมปากของของเจียงหลีโค้งขึ้น หาวออกมาเอ่ยว่า “ดึกแล้วจริงๆ คืนนี้ไม่รู้เป็นอย่างไร ข้ารู้สึกเหนื่อยมาก หากไม่มีเรื่องอะไรก็อย่ากวนข้าละ”

ทั้งสองคนเดินแยกเข้าห้องใครห้องมัน ภายในห้องมืดมิดไร้แสงไฟ มู่ชิงเกอยืนอยู่ในห้อง ไม่ได้รีบจุดไฟ

“ซีเซียนเสวี่ย ออกมาเถอะ” นางยืนอยู่ในห้องแล้วก็เอ่ยขึ้นในทันใด

เสียงของนางเพิ่งจะหลุดออกไป บนศีรษะก็เกิดไอสังหารที่ดุดันพุ่งลงมาใส่นาง

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอสะท้อนกระโปรงสีขาวหิมะ นางไม่ได้ขยับแต่กลับยกมือขึ้นใช้นิ้วคีบปลายกระบี่แหลมที่แทงลงมาใส่นาง

ปลายกระบี่ถูกคีบเอาไว้ทำให้ร่างของซีเซียนเสวี่ยถูกตรึงไว้กลางอากาศ นางกลับหัวกลับหาง นัยน์ตาฉายแววดุดัน

มุมปากของมู่ชิงเกอโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ ยืมแรงจากปลายกระบี่โยนซีเซียนเสวี่ยลงมา ร่างของซีเซียนเสวี่ยวาดโค้งกลางอากาศอย่างสวยงามตกลงมาบนพื้น ส่วนในตอนนี้ มู่ชิงเกอก็ปล่อยมือทำให้กระบี่ในมือของนางเป็นอิสระ

เมื่อได้รับอิสระอีกครั้ง นัยน์ตาของซีเซียนเสวี่ยก็ฉายแววอำมหิตขึ้น แล้วก็ชูกระบี่แทงเข้าใส่นางอีกครั้ง

ภายในห้องที่มืดมิด ทั้งสองคนประมือกันภายใต้แสงกระบี่ ซีเซียนเสวี่ยลงมืออย่างรุนแรง ดูเหมือนว่าจะต้องการแก้แค้นเรื่องที่ถูกล่วงเกินเมื่อตอนกลางวัน

แต่ว่านางก็หลีกเลี่ยงไม่ให้สัมผัสโดนของในห้อง ดูเหมือนไม่อยากจะทำให้เกิดเสียง

ภายในห้องข้างๆ เจียงหลีกอดอกด้วยใบหน้าที่ขี้เล่น ผนังห้องที่ติดกับห้องของมู่ชิงเกอทำให้นางได้ยินถึงเสียงการต่อสู้ข้างห้อง แต่ก็ไม่ได้มีความคิดที่จะไปช่วย

ฟังไปครู่หนึ่ง เจียงหลีก็รู้สึกง่วงขึ้นมา หาวไม่กี่ครั้งแล้วก็ไม่ทำตัวแอบฟังที่กำแพงต่อ เดินกลับไปยังเตียงในห้องของตนเอง แล้วก็นอนลงไป

ส่วนเรื่องราวที่กำลังดำเนินไปในห้องข้างๆ นั้น นางเชื่อใจในมู่ชิงเกอ

อืม! หันกายแล้วเจียงหลีก็หลับตาลง เข้าไปในความฝันอย่างสงบ

แสงกระบี่วาววาบ มู่ชิงเกอเอนตัวหลบกระบี่อย่างง่ายดาย นิ้วของนางไถลไปบนตัวกระบี่ กระบี่ที่ใสสะอาด สะท้อนคิ้วและนัยน์ตาที่สดใสและดุดันของนาง ในขณะเดียวกันก็สะท้อนนิ้วของนางที่คีบกระบี่เอาไว้ด้วย เลื่อนผ่านส่วนหน้าของด้ามกระบี่ มู่ชิงเกอออกแรงดีดนิ้วเข้าไป ชั่วขณะนั้นก็ทำให้ซีเซียนเสวี่ยมือชา กระบี่ในมือตกลงไป

นางตกตะลึงมาก คิดจะยื่นเท้าออกมาเตะกระบี่ขึ้น แต่กลับถูกมู่ชิงเกอชิงยื่นเท้าออกมาเตะกระบี่ขึ้นก่อน เพียงหมุนร่าง มู่ชิงเกอก็กุมเข้าที่ด้ามของกระบี่ ใช้ ปลายกระบี่จี้ไปยังคอของซีเซียนเสวี่ย

แสงกระบี่สะท้อนผ่านใบหน้างดงามของนาง เผยให้เห็นร่องรอยที่ตกตะลึงและไม่ยินยอมบนใบหน้าของนาง

มู่ชิงเกอดีดนิ้วออกไป เปลวไฟเล็กๆ ลอยออกจากปลายนิ้วของนาง ตกไปที่เชิงเทียนบนโต๊ะ จุดเทียนสว่างแล้ว ความมืดมิดในห้องก็กระจายหายไป

แสงเทียนสีเหลืองนวลห่อหุ้มร่างที่กำลังเผชิญหน้ากันของทั้งสองคน แสงเทียนสั่นไหวสะท้อนใบหน้าของทั้งสอง

“ธิดาเทพซีช่างเฉลียวฉลาดจริงๆ เพียงเพราะข้าบอกเจ้าว่าหากมาเผชิญหน้ากับข้าตรงๆ จะไม่สามารถฆ่าข้าได้ เจ้าจึงคิดลอบเข้าห้องข้ายามค่ำคืนงั้นหรือ?’’ มู่ชิงเกอยิ้มเยาะ

ซีเซียนเสวี่ยเม้มปากไม่พูดจา นัยน์ตาคู่งามฉายแววโมโห

ครู่หนึ่งนางถึงได้พูดอย่างหัวแข็งว่า “ข้าแพ้แล้ว เจ้าจะฆ่าก็ฆ่า!”

“ธิดาเทพซีอย่าสนใจเรื่องความเป็นความตายเลย เป็นแค่เพียงการเรียนรู้ระหว่างกันและกันเท่านั้น จำเป็นต้องเอาให้ตายเลยงั้นหรือ?” มู่ชิงเกอยิ้มอย่างขี้เล่น ทันใดนั้นก็เก็บกระบี่ของซีเซียนเสวี่ยกลับมา

ภัยอันตรายที่คอถูกคลายไป ในใจของของซีเซียนเสวี่ยลอบถอนหายใจโล่งอก

ถึงแม้ว่านางจะพูดอย่างใจกล้า แต่ใจกลางมือกลับชื้นไปด้วยเหงื่อ “เจ้าไม่ฆ่าข้าอย่างงั้นหรือ? ข้ามาฆ่าเจ้านะ!”

มู่ชิงเกอปล่อยนางอีกครั้ง นี่ทำให้ซีเซียนเสวี่ยรู้สึกแปลกใจ

นางบอกถึงจุดมุ่งหมายของตนเองอีกครั้ง

มู่ชิงเกอกลับหัวเราะขึ้นมา “ธิดาเทพแห่งตำหนักเทพของพวกเจ้าล้วนแต่ไร้เดียงสาเหมือนเจ้าหมดทุกคนหรือเปล่า?”

ซีเซียนเสวี่ยนี้ไร้เดียงสา? หรือว่าโง่กันแน่?

ซีเซียนเสวี่ยส่ายๆ หน้า ดูเหมือนว่านางจะสัมผัสได้ถึงความหมายประชดประชันในคำพูดของมู่ชิงเกอ จึงเพียงแต่พูดว่า “ข้าเพียงแค่ไม่เข้าใจเท่านั้น ว่าเหตุใดทั้งๆ ที่เจ้ารู้ดีว่าข้ามาฆ่าเจ้า แต่กลับยังไม่สนใจอีก? อีกทั้งยังปล่อยข้าไปทุกครั้ง?”

หากว่ามู่ชิงเกออยากจะฆ่านาง ในตอนกลางวันและในตอนนี้นางก็ไม่รู้ว่าต้องตายไปกี่ครั้งแล้ว

มู่ชิงเกอวางกระบี่ในมือลงบนโต๊ะ ยิ้มแล้วเอ่ยกับนางว่า “เจ้าไม่มีความสามารถที่จะฆ่าข้า”

คำพูดของนางทำให้ซีเซียนเสวี่ยขมวดคิ้วขึ้น ‘เพราะว่าฆ่าไม่ได้ดังนั้นจึงไม่สนใจงั้นหรือ?’

เมื่อถูกคนดูแคลนเช่นนี้ทำให้ในใจของซีเซียนเสวี่ยรู้สึกไม่สบายใจ

แต่มู่ชิงเกอกลับพูดต่อว่า “ทักษะการต่อสู้ของเจ้านั้นไม่เลว แต่กลับเหมาะต่อการต่อสู้ในวงกว้างมากกว่า สำหรับการต่อสู้ตัวต่อตัวโดยเฉพาะการต่อสู้ระยะ

ประชิดแล้ว เจ้ายังมีจุดอ่อนอีกมาก”

ประโยคนี้ทำให้ซีเซียนเสวี่ยหลุบตานิ่งคิดขึ้นมา ดูเหมือนว่านางกำลังคิดถึงคำพูดของมู่ชิงเกอแล้วเทียบกับการต่อสู้สองครั้งในวันนี้

ผ่านไปครู่หนึ่ง นางถึงได้เงยหน้าขึ้น พยักหน้าให้กับมู่ชิงเกอ “เจ้าพูดไม่ผิด การต่อสู้ระยะประชิดนั้นข้าไม่อาจสู้เจ้าได้จริงๆ แต่ทว่าหากว่าต่อสู้เป็นตายจริงๆ เจ้าก็ไม่ได้ดีไปกว่าสักเท่าไหร่”

มู่ชิงเกอยิ้มเยาะ ไม่ได้ไปโต้เถียงอะไรกับนาง

ซีเซียนเสวี่ยถูกท่าทางที่ดูเรียบเฉยของเขาทำให้รู้สึกไม่สบายใจ ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “ถือว่าคืนนี้ข้าฆ่าเจ้าไม่สำเร็จ แต่ว่าวันต่อไปข้าก็ยังคงจะมาอีก!”

มู่ชิงเกอถูกความดื้อดึงของนางทำให้รู้สึกปวดหัว ดูท่าทางที่ไม่อาจโน้มน้าวใจของนางแล้วก็ทำให้นางรู้สึกโมโหขึ้นมาชั่วขณะ นางยื่นมือของไปคว้าจับซีเซียนเสวี่ย

ซีเซียนเสวี่ยตกตะลึง คิดจะหลบหนีแต่ว่าแม้แต่ตัวนางเองก็ยังยอมรับว่าการต่อสู้ระยะประชิดนั้นนางไม่อาจจะสู้มู่ชิงเกอได้ ดูเหมือนว่ามู่ชิงเกอจะคว้าจับข้อมือนางได้อย่างง่ายดาย บิดสองมือไปข้างหลัง

“เจ้า! เจ้าคิดจะทำอะไร?” สองมือของซีเซียนเสวี่ยถูกคุมไว้ดิ้นไม่หลุด ทำได้เพียงบิดขยับกาย พยายามขัดขืน นํ้าเสียงของนางทั้งร้อนรนและโมโห ดูเหมือนจะเกิด ความหวาดกลัวว่ามู่ชิงเกอจะทำอะไรขึ้นมา มู่ชิงเกอกลับทำเป็นเหมือนไม่ได้ยินเสียงของนาง ใช้มือเดียวกุมข้อมือทั้งสองของนาง กดร่างของนางลงไปบนโต๊ะ อีกมือหนึ่งยกขึ้นสูง แล้วก็ฟาดลงที่สะโพกที่บิดไปบิดมาของนางอย่างรุนแรง

เพียะ!

เสียงดังชัดเจนดังก้องไปทั่วห้อง

ซีเซียนเสวี่ยถูกการกระทำของมู่ชิงเกอทำให้ตกตะลึง นางเบิกดวงตากว้าง นัยน์ตาฉายแววหวาดกลัว ร่างกายที่แต่เดิมขัดขืนก็ไม่กล้าแม้แต่จะขยับอีก

เพียะ!

อีกหนึ่งฝ่ามือฟาดลงมาอีก ตามมากับนํ้าเสียงที่ดูเย็นชาของมู่ชิงเกอ “ปล่อยเจ้าไปถึงสองครั้งแล้ว ยังไม่เรียนรู้ที่จะเชื่อฟัง? กลับไปยังที่ที่เจ้าควรจะไปดีๆ อย่ามากวนข้าอีก! เข้าใจหรือไม่?”

แต่ว่า ซีเซียนเสวี่ยนั้นถูกการกระทำของนางทำให้มึนงงไปนานแล้ว ไหนเลยจะยังจำได้ว่าต้องตอบนาง?

เมื่อไม่ได้ยินคำตอบ มู่ชิงเกอก็ฟาดก้นนางอย่างรุนแรงไปอีกสองครั้ง สองครั้งนี้ในที่สุดก็ได้เรียกเอาสติของซีเซียนเสวี่ยกลับมา นัยน์ตาของนางเกิดความอับอาย และโมโหขึ้นแค้นจนอยากฆ่ามู่ชิงเกอที่อยู่ข้างหลัง

แต่นางก็ไม่อาจจะหลุดออกจากการควบคุมได้

“ไม่ได้ยิน? หรือว่าไม่เข้าใจ! ได้ วันนี้ข้าจะตีจนกว่าเจ้าจะเข้าใจเอง!” เสียงอันเข้มงวดของมู่ชิงเกอดังเข้ามา ในมือของนางพลังจิตกลายเป็นฝ่ามือโปร่งแสงฟาดเข้าไปบนก้นของซีเซียนเสวี่ย

“เจ้า! ข้าจะฆ่าเจ้า!” ซีเซียนเสวี่ยคลุ้มคลั่ง อับอายจนเกิดความโมโห ทำให้นางแค้นจนอยากจะฆ่ามู่ชิงเกอ พลังจิตในร่างของนางปะทุออกมาเพื่อให้หลุดออก จากการควบคุมของมู่ชิงเกอ

พลังจิตสีเงินล้อมรอบร่างกายของนาง ทำให้นางดูเย็นชาขึ้นกว่าเดิม

แต่ว่าความเจ็บแสบที่กระจายมาจากก้นกลับทำให้ในใจของนางไม่สามารถสงบลงได้ไอสังหารปรากฎออกมา

มู่ชิงเกอสบถอย่างเย็นชา แสงสีเงินปรากฎขึ้นรอบร่างกายเช่นเดียวกัน เงาร่างของนางแวบไปปรากฎอยู่ตรงด้านหน้าของซีเซียนเสวี่ย ใช้มือเดียวขวางและปัดสอง มือของนางออกแล้วตบลงไปบนไหล่ของนาง ฝ่ามือนี้มู่ชิงเกอไม่ได้ยั้งไมตรี ซีเซียนเสวี่ยไม่ทันได้ตั้งตัว ภายใต้การโจมตีนี้ ทั้งตัวคนได้ลอยไปตกลงบนเตียง “เจ้า!” ซีเซียนเสวี่ยกุมหัวไหล่ที่กระดูกปวดร้าวแทบแตกละเอียด เบิกดวงตากว้าง

ทันใดนั้นก็สลบลงไป

มู่ชิงเกอเดินมาข้างเตียงด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมริมฝีปาก เม้มเป็นเส้นตรง ก้มลงมองซีเซียนเสวี่ย

คิดครู่หนึ่งแล้วนางก็ล้วงเอายาเม็ดหนึ่งออกมาป้อนเข้าไปในปากของซีเซียนเสวี่ย จากนั้นก็ออกไปจากห้องของตนเอง

ท้องฟัาสว่าง ซีเซียนเสวี่ยตื่นขึ้นมาจากอาการสลบไสล

เพียงแค่ลืมตาขึ้นมา สถานที่ที่แปลกหน้าก็ทำให้นางระลึกถึงความทรงจำที่ผ่านมา ความอัปยศอดสูเมื่อคืน ทำให้นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยหมอกมืดมน

นางลุกขึ้นมานงบนเตียงรีบตรวจสอบเสื้อผ้าบนร่างกายของตนเอง เมื่อพบว่าเสื้อผ้ายังอยู่ดีอยู่นางถึงได้โล่งใจออกมา

“เจ้าคนลามกนั้นยังถือว่ามีมโนธรรมอยู่บ้าง” ซีเซียนเสวี่ยกัดฟันเอ่ยออกมา

หากว่าความบริสุทธิ์ของนางหายไป นางจะต้องสู้ตายกับมู่ชิงเกออย่างแน่นอน!

เมื่อพบว่าตนเองไม่ได้มีอะไรเสียหายแล้ว ซีเซียนเสวี่ยก็หลับตาเพื่อรีบรักษาตัวอย่างรวดเร็ว

แต่เพิ่งจะหลับตาลง นางก็เบิกตาอย่างตกตะลึงขึ้นมาในทันที เอ่ยอย่างอัศจรรย์ใจว่า “บาดแผลของข้าหายดีแล้ว?!”

นางไม่ได้ลืมว่าเมื่อคืนนั้นนางถูกมู่ชิงเกอตีจนบาดเจ็บแล้วสลบไป

ในตอนนี้เอง ประตูห้องถูกเปิดออก

เงาร่างของซีเซียนเสวี่ยวาบไป ลงมาจากเตียงไปคว้าเอากระบี่บนโต๊ะมาถือไว้

คนที่เข้ามานั้นไม่ใช่มู่ชิงเกอแต่เป็นเสวี่ยหยา

เสวี่ยหยามองเห็นซีเซียนเสวี่ยที่ถือกระบี่ด้วยใบหน้าที่ระแวงระวังแล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกเหนือความคาดหมาย เพียงแต่ยิ้มๆ หลังจากวางอาหารเช้าในมือไว้บนโต๊ะแล้วก็ถอยหลังออกไปสองก้าว เอ่ยว่า “ธิดาเทพซีตื่นแล้วหรือ? นายน้อยสั่งเอาไว้ว่า เมื่อคืนนั้นเป็นเขาที่ทำไม่ถูกต้อง โมโหขาดสติทำให้หุนหันพลันแล่นไปหน่อย บาดแผลบนร่างกายของเจ้าเขาได้รักษาให้แล้ว หลังจากธิดาเทพ ทานอาหารเช้าเสร็จก็เชิญกลับไปได้ ยังมีอีกนายน้อย บอกว่า ตอนนี้เจ้าไม่ใช่คู่มือของเขา มาหาเขาอีกก็เป็นการสร้างความอับอายให้ตนเองเปล่าๆ ไม่สู้กลับไปฝึกวิชาให้ดี แล้วค่อยกลับมาแก้แค้นกับเขาใหม่”

พูดจบแล้ว เสวี่ยหยาก็ถอยออกไปนอกห้อง ซีเซียนเสวี่ยตกตะลึงชะงักอยู่ที่เดิมนางถูกท่าทีของมู่ชิงเกอทำให้มึนงง นางวางกระบี่ยาวในมือลงบนโต๊ะ มองไปยังอาหารเช้ารสอ่อนน่าทานแล้วในใจก็สับสนวุ่นวายนัก

ยามเที่ยง เสวี่ยหยามาที่เบื้องหน้าของมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอกำลังนอนอาบแดดอยู่บนเก้าอี้โยกใต้ต้นไม้ ปรือตาขึ้นมาเล็กน้อย มองไปยังเสวี่ยหยาแล้วเอ่ยถามว่า “นางไปแล้วหรือ?”

เสวี่ยหยาพยักหน้า “ธิดาเทพซีไม่ได้ทานอาหารเช้าก็ลอบจากไปแล้ว ข้าก็ไม่รู้ว่านางไปตั้งแต่เมื่อไหร่”

“อืม ไปแล้วก็ไปแล้ว เจ้าไปทำเรื่องอื่นเถอะ” มู่ชิงเกอพูดส่งๆ ไปแล้วก็หลับตาลงอีกครั้ง

เสวี่ยหยาย่อกายคำนับมู่ชิงเกอแล้วก็ถอยออกไป

นางเพิ่งจะไปได้ไม่นาน เจียงหลีก็มาปรากฎอยู่ตรงหน้ามู่ชิงเกอด้วยสีหน้ารื่นรมย์ในความทุกข์ของผู้อื่น พร้อมนั่งลงตรงข้ามกับนาง ยกเท้าขึ้นสะกิดชายเสื้อของมู่ชิงเกอ

“เมื่อคืนพวกเจ้าตีกันอย่างดุเดือดทีเดียวนะ” เจียงหลีหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้น

มู่ชิงเกอลืมตาขึ้น เหลือบมองนาง ขานรับไปคำหนึ่ง “ดุเดือดไปบ้างจริงๆ ทำเกินไปหน่อย”

นัยน์ตาของเจียงหลีเปล่งประกายขึ้น พุ่งเข้าไปถามว่า “เจ้าทำอะไรไปบ้าง?”

มู่ชิงเกอถึงกับพูดว่าตัวเองทำเกินไป! นี่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดทีเดียว!

ท่าทีของมู่ชิงเกอดูแปลกประหลาดเล็กน้อยแล้วก็เอ่ยกับเจียงหลีว่า “ข้าตีก้นนาง”

“อะไรนะ!” เจียงหลีร้องออกมาอย่างตกใจ

มู่ชิงเกอมองนางอย่างไม่สบอารมณ์ พึมพำว่า “มือของข้าไม่ได้สัมผัสนาง ในตอนนั้นก็เพียงแต่โมโหไปหน่อย เด็กสาวนั่นดื้อดึงเกินไป หากว่ายังจะพัวพันไม่หยุดเช่นนี้ต่อไป ข้ากลัวว่าจะต้องได้ฆ่านางจริงๆ ดังนั้นถึงได้ขู่ให้กลัว”

“เจ้า เจ้า เจ้า!” เจียงหลียืนขึ้นมา เดินวนรอบมู่ชิงเกอ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าในตอนนี้อยู่ในสถานะผู้ชาย? กลับลงมือตีก้นของผู้หญิงได้ ข้าว่าเจ้าหาเหตุผลให้นางฆ่า เจ้าแล้ว”

“นางอยากจะฆ่าข้าจริงๆ นั้นแหละ ดังนั้นเพื่อที่จะให้นางสงบใจลงหน่อย ข้าจึงซัดนางจนบาดเจ็บแล้วก็ให้นางนอนพักตื่นหนึ่ง” มู่ชิงเกอเอ่ยเรียบๆ

เจียงหลีหมดคำจะพูด นางดูท่าทีที่ไม่สนใจอะไรของมู่ชิงเกอแล้ว ทันใดนั้นก็ หัวเราะเยาะออกมาสองคำ ถึงได้เอ่ยถามว่า “หลังจากที่นางตื่นแล้ว ไม่ได้ต้องการฆ่าหรือต่อสู้เลยงั้นหรือ?”

มู่ชิงเกอนิ่งไปครู่หนึ่ง ถึงได้พูดว่า “ข้าไม่ได้ไปพบนาง ให้เสวี่ยหยาไปจัดการ”

“เจ้าจัดการอย่างไร?” เจียงหลีเอ่ยถามอย่างแปลกใจ

มู่ชิงเกอเอ่ยว่า “ข้าให้เสวี่ยหยาไปบอกนางว่า หากว่านางอยากจะฆ่าข้าเพื่อล้างความอัปยศ ก็ให้กลับไปฝึกฝนให้ดีเสียก่อน มีความสามารถที่จะฆ่าข้าแล้วค่อยมา”

เจียงหลีหมดคำจะเอ่ย มองท้องฟ้าแล้วถอนหายใจยาวออกมา เดินไปด้านหลังของมู่ชิงเกอ ทุบๆ ไหล่ของนาง เอ่ยถามว่า “นายน้อยของข้า เจ้าแน่ใจหรือว่าทำ เช่นนี้จะไม่ใช่การเกี้ยวหญิง?”

มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุกเล็กน้อย

หลังจากนางลงมือแล้วก็สัมผัสได้ว่าไม่ถูกต้อง แต่ในเวลานั้น จะอธิบายอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ทำได้แต่เพียงหัวแข็งดื้อรั้นเดินต่อไป

สำหรับที่ว่านางเกี้ยวหญิงนั้น…

นางกรีดร้องอยู่ในใจว่าตนโดนใส่ร้าย!

“เจ้าดู หากธิดาเทพซีคนนี้ฆ่าเจ้าไม่ได้ไปชั่วชีวีต คอยวนเวียนอยู่รอบกายเจ้า ปักใจอยู่กับเจ้า เจ้าก็ถือว่ามีความสุขเพิ่มขึ้นมาแล้ว” เจียงหลีใช้สายตาสงสารมองดูนาง

มู่ชิงเกอหันกลับไปเอ่ยถามว่า “หมายความว่าอย่างไร?”

เจียงหลีหัวเราะ ส่งสายตาให้นางไปทำความเข้าใจเองไปให้ แล้วก็หมุนกายจากไป

มู่ชิงเกอกลับขมวดคิ้วไม่คลาย ในใจของนางครุ่นคิดถึงเรื่องที่นางทำกับซีเซียนเสวี่ยไปมาหลายครั้ง ก็รู้สึกว่าตนเองก็ไม่ได้ทำอะไรผิดไปเสียหน่อย!

อย่างแรกคือซีเซียนเสวี่ยนั้นโชคดี ที่เจอนางตอนที่นางเพิ่งหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะเสร็จแล้วอารมณ์ดีพอดี

อีกอย่าง ซีเซียนเสวี่ยมาฆ่านางและก็ได้เผยข่าวให้นางรู้อย่างไม่ได้ตั้งใจ ทำให้นางรู้เรื่องที่ตำหนักเทพไล่ฆ่านางนั้นมีความเป็นมาอย่างไร

สุดท้าย นางไม่ได้มีความคิดที่จะฆ่าซีเซียนเสวี่ย ปล่อยนางไปหลายต่อหลายครั้งก็เพราะว่านางไม่อยากจะผูกความแค้นกับตำหนักเทพ

สิ่งเดียวที่ทำเกินไปก็คือเรื่องที่ตีก้นซีเซียนเสวี่ยเมื่อวาน แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นอย่างที่เจียงหลีพูด ว่าซีเซียนเสวี่ยจะมาปักใจกับนางนี่?

นี่หมายถึงอะไรกันแน่!

นางคิดว่าหลังจากวันนี้ไป หากว่าซีเซียนเสวี่ยยังคิดจะฆ่านางอีก ก็เป็นเพียงแค่ความแค้นส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับคำสั่งจากแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารแล้ว

“ลูกพี่! ลูกพี่!”

มู่ชิงเกอกำลังครุ่นคิดอย่างลำบาก ทันใดนั้นก็มีเสียงดังเข้ามา ขัดจังหวะความคิดของนาง

เก็บความคิดกลับแล้วมู่ชิงเกอก็มองคนที่มาเลิกคิ้วขึ้นสูง “หยวนหยวน เกิดอะไรขึ้นเหตุใดเจ้าจึงดูร้อนรนถึงขนาดนี้”

กลับสามารถทำให้หยวนหยวนเผยท่าทีที่ร้อนรนได้ ดูแล้วเรื่องนี้ไม่ธรรมดา

“ท่านรีบไปช่วยน้องชายของท่านเร็วเข้า” หยวนหยวน ใช้สองมือจับเข่า หอบๆ เอ่ยออกมา

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” มู่ชิงเกอยืดตัวขึ้นมาจากเก้าอี้โยก นัยน์ตาฉายแววเคร่งขรึม

มู่อี้เฉินอยู่ในตระกูลซางน่าจะไม่มีอันตรายใดๆ ถึงจะถูก

หยวนหยวนสูดหายใจเข้าแล้วค่อยยืดกายขึ้นมา เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “วันนี้ข้าไปฝึกฝนกับอี้เฉินที่หลังเขา แต่ว่าในขณะที่พวกเรากำลังฝึกฝนอย่างหนัก ก็มีศิษย์ของตระกูลซางกลุ่มหนึ่ง พวกเขามาเยาะเย้ยว่าอี้เฉินไม่สามารถหลอมศาสตราได้ เป็นเศษสวะที่มาอาศัยข้าวปลาของตระกูลซาง แล้วยังพูดว่าหากเขาไม่มีพี่สาวที่ดี อยู่คนหนึ่ง แล้วก็พี่ชายที่ดีที่โผล่เข้ามา เขาก็คงจะถูกปล่อยทิ้งออกจากตระกูลซางไปนานแล้ว อี้เฉินโมโหมาก จึงเข้าต่อยตีกับพวกเขา เจ้าเด็กพวกนั้นไหนเลยจะเป็นคู่มือของเขาได้? เพียงพริบตาก็ถูกอี้เฉินตีจนไปกลิ้งอยู่กับพื้น แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าเด็กพวกนั้นจะไปเรียกผู้คุมกฎของตระกูลมา บอกว่าอี้เฉินรังแกพวกเขา ทั้งยังทำให้พวกเขาบาดเจ็บ จะให้อี้เฉินโดนลงโทษให้ได้”

มู่ชิงเกอหรี่ตาเล็กลง เรื่องราวไม่ได้ร้ายแรงสักเท่าไหร่ แต่กลับทำให้คนรู้สึกโมโห

หยวนหยวนสงบลมหายใจเอ่ยว่า “เดิมทีข้าคิดจะลงมือแล้วแต่ว่าอี้เฉินไม่ยอม บอกว่าถ้าข้าลงมือแล้วจะทำให้ท่านถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ต่อมา ข้าก็เห็นพวกเขาคุมตัวอี้เฉินไปที่ตึกคุมกฎ ข้าถึงได้ริบวิ่งมาหาท่าน”

“ข้ารู้แล้ว” มู่ชิงเกอลุกขึ้นมาจากเก้าอี้โยก จัดเสื้อผ้าของตนเอง เดินไพล่หลังออกจากเรือน

มู่อี้เฉินนั้นเป็นคนตระกูลมู่ของนาง จะปล่อยให้คนอื่นรังแกได้อย่างไร?

นัยน์ตาอันงดงามของหยวนหยวนกลอกไปมาอย่างรวดเร็วแล้วก็รีบตามไป

ตอนที่พวกเขามาถึงตึกคุมกฎนั้น ก็มีคนมาไม่น้อยแล้ว มู่อี้เฉินคุกเข่าอยู่กลางตึกคุมกฎคนเดียว บรรดาศิษย์ที่ถูกเขาตีบาดเจ็บพากันกุมบาดแผล ส่งเสียงร้องสูดปากเจ็บปวด ยืนอยู่อีกข้างมองมู่อี้เฉินด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว

ตึกคุมกฎนั้นมีผู้อาวุโสรองดูแล ตอนนี้เขาก็อยู่ในตึก ไม่เพียงแต่เท่านั้น ซางซุ่นหวางก็อยู่

มู่ชิงเกอมาข้างหน้า

ซางหลันรั่วกับมู่เสวี่ยอู่ก็รีบมาเมื่อได้ข่าว

“ลูกพี่!” มองเห็นมู่ชิงเกอปรากฎตัว มู่อี้เฉินร้องออกมาอย่างอดสู แต่จากนั้นก็หลุบตาก้มหน้าลง ขบริมฝีปากอดทน

มู่ชิงเกอกวาดมองแวบหนึ่งไปยังบรรดาศิษย์ตระกูลซาง ที่ถูกมู่อี้เฉินทำร้ายบาดเจ็บ

พูดความจริง แต่ก่อนนางไม่ได้มีความทรงจำใดๆ ต่อบรรดาศิษย์ตระกูลซางเหล่านี้

แต่ตอนนี้นางกลับจำใบหน้าได้บ้าง

“เป็นพวกเจ้าที่บอกว่าน้องชายของข้าเป็นเศษสวะงั้นหรือ?” นี่เป็นครั้งแรกที่นางพูดกับคนนอกว่ามู่อี้เฉินเป็นน้องชายนางต่อหน้าหมู่คน

บรรดาคนที่กุมบาดแผล รีบหลบตา ไม่กล้าสู้สายตากับมู่ชิงเกอ

พวกเขากล้ายั่วมู่อี้เฉินเป็นเพราะว่ามู่อี้เฉินไม่ได้สืบทอดสายเลือดตระกูลซาง อีกอย่างที่ไปยั่วเขาก็เป็นเพราะอิจฉาความสามารถของมู่เสวี่ยอู่และมู่ชิงเกอ สองคนนี้ พวกเขาไม่กล้าไปหาเรื่อง ทำได้แค่เพียงระบายอารมณ์กับมู่อี้เฉิน

ใครจะรู้ว่ามู่อี้เฉินจะร้ายกาจถึงขนาดนี้ทำร้ายพวกเขาจนบาดเจ็บ ความโมโหนี้กลืนลงไม่ได้ถึงได้แสดงละครฉากนี้ออกมา

“ไม่…พวกเราไม่…”

เมื่อถูกมู่ชิงเกอถาม พวกเขาเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก

มู่ชิงเกอกลับมองไปทางมู่อี้เฉิน เอ่ยกับเขาว่า “เป็นพวกคนเหล่านี้พูดว่าเจ้าเป็นเศษสวะใช่หรือไม่?”

มู่อี้เฉินเงยหน้าขึ้น เผชิญหน้ากับสายตาเรียบสงบของมู่ชิงเกอแล้วก็พยักหน้า

“มู่ชิงเกอ ที่นี่เป็นตึกคุมกฎนะ” ผู้อาวุโสรองขมวดคิ้วเอ่ยออกมา

ซางซุ่นหวางก็ไอออกมาเบาๆ เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “เกอเอ๋อร์ เจ้าและข้าก็ล้วนแต่เพิ่งมาถึง รอผู้อาวุโสรองถามเรื่องราวให้แน่ชัดก่อนเถอะ”

มู่ชิงเกอกลับหัวเราะเยาะเอ่ยว่า “ตึกคุมกฎ? เป็นที่ที่ไม่แยกถูกผิด ไม่คำนึงถึงเหตุและผล ปล่อยให้มู่อี้เฉินคุกเข่าอยู่ที่นี่คนเดียว นี่ก็ถือว่าคุมกฎแล้วงั้นหรือ? จากที่ข้าดูก็ไม่ต่างจากพวกเล่นพรรคเล่นพวกสักเท่าไหร่”

“เจ้า!” ผู้อาวุโสรองถูกคำพูดของนางทำให้สะอึกพูดไม่ออก

ซางหลันรั่วก็เอ่ยปากในตอนนี้ “ผู้อาวุโสรอง ลูกชายของข้าทำอะไรผิดกันแน่? หากบอกว่าเขาทำร้ายคนบริสุทธิ์ ข้าจะไม่เชื่อเด็ดขาด ยังขอให้ผู้อาวุโสรองฟังความทั้งสองด้าน คืนความบริสุทธิ์ให้ลูกชายของข้าด้วย”

“ผู้อาวุโสรอง เสวี่ยอู่ก็ขอให้ท่านจัดการเรื่องนี้อย่างยุติธรรมด้วย” มู่เสวี่ยอู่ก็พูดตาม

“ผู้อาวุโสรอง ดูแล้วท่านในสายตาของทุกคนไม่ใช่คนที่แยกเรื่องส่วนตัวและส่วนรวมอย่างชัดเจนเลยนะ” มู่ชิงเกอเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา

“เกอเอ๋อร์!” ซางซุ่นหวางเอ่ยเตือน “ถึงอย่างไรผู้อาวุโส

รองก็เป็นผู้ใหญ่ เจ้าระมัดระวังคำพูดหน่อย”

“จะมาพูดเรื่องความอาวุโสกับข้างั้นหรือ?” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววสนุกขึ้นมา สีเลือดค่อยๆ ไหลเวียนอยู่ในนัยน์ตาของนาง

ซางซุ่นหวางตกตะลึงไปชั่วขณะ “เจ้า…เจ้า…”

เขาคิดไม่ถึงว่าภายในระยะเพียงสั้นๆ มู่ชิงเกอจะสามารถควบคุมพลังกดดันทางสายเลือดได้

วันนี้ เกรงว่าหากไม่ได้ดังใจนาง คนในห้องนี้ก็คงต้องตกอยู่ในกำมือของนางเป็นแน่!

ในใจของซางซุ่นหวางรู้สึกหดหู่ มองไปยังผู้อาวุโสรอง ผู้อาวุโสรองหน้าแดงกํ่า ถอนหายใจเอ่ยว่า “ร่างกายของพวกเขามีบาดแผล อีกอย่างข้าก็ยังไม่ได้พูดว่าเป็นความผิดของอี้เฉินทั้งหมด”

มู่ชิงเกอกลับเอ่ยอย่างชัดเจนว่า “เป็นเพียงแค่บาดแผลผิวเผินก็สามารถไม่ต้องคุกเข่าได้งั้นหรือ? ผู้อาวุโสรองช่างเมตตาพวกเขาเกินไปหน่อย? มู่อี้เฉินนั้นหนังหนาถึงต้องคุกเข่าที่นี่งั้นหรือ?”

“เจ้า!” ผู้อาวุโสรองลอบกัดฟัน เอ่ยกับมู่อี้เฉินอย่างหมดทางเลือกว่า “เจ้าลุกขึ้นเถอะ”

มู่อี้เฉินลุกขึ้น

ซางหลันรั่วมองมู่อี้เฉินในใจรู้สึกสับสนวุ่นวาย

“ตอนนี้สามารถถามได้แล้ว” มู่ชิงเกอกวาดตามองไปยังร่างของบรรดาคนไม่กี่คนนั้น นัยน์ตามีสีแดงไหลวน ความกดดันที่ไม่อาจขัดขืนตกลงบนร่างของพวกเขา

ชั่วขณะนั้น พวกเขาก็ตัวสั่น เหงื่อเย็นไหล สองขาไม่อาจรองรับนํ้าหนักของร่างกายได้

“เรื่องราวเป็นเช่นไร พูดมาให้หมด หากกล้าพูดปดสักครึ่งคำหรือหากใช้คำพูดเกินจริงข้าก็จะทำให้พวกเจ้าเสียใจที่ทำเช่นนั้น” มู่ชิงเกอเอ่ยเตือนด้วยนํ้าเสียงที่เย็นชา

คำพูดที่สมควรพูดถูกแย่งพูดไปหมดแล้ว

ผู้อาวุโสรองถอนหายใจ เอ่ยกับคนไม่กี่คนนั้นอย่างไม่พอใจว่า “พูดมา เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

“เป็น…เป็นความผิดของพวกเราเอง…” เมื่อถูกชิงเกอข่มขู่ทั้งยังถูกผู้อาวุโสรองสั่งสอน บรรดาคนที่ใส่ร้ายมู่อี้เฉินก็ไม่กล้ามีความคิดเป็นอื่น พูดสิ่งที่ตนเองทำออกมาทั้งหมด

ตอนที่พวกเขาพูด มู่ชิงเกอก็เอามือไพล่หลังยืนฟังอยู่ในตึกคุมกฎ นิ่งเงียบไม่พูดจา ทำให้คนเดาไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

รอจนพวกเขาพูดจบแล้ว ร่างกายก็สั่นจนต้องลงไปคุกเข่าอยู่ที่พื้น

ผู้อาวุโสรองโมโหจนไม่อยากมองพวกเขา

และมู่ชิงเกอก็ไม่ได้สอดคำอีก

ที่นางมาก็เพื่อทำให้มู่อี้เฉินได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมก็เท่านั้น ไม่ได้คิดจะยุ่งวุ่นวาย

เรื่องเล็กน้อยนี้ แต่กลับทำให้นางมองเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของมู่อี้เฉินในตระกูลซางได้ว่าไม่ได้สะดวกสบายใจสักเท่าไหร่

“พวกเจ้าไม่กี่คน กลับไปที่ใครที่มันเพื่อรับโทษ ตีคนละร้อยไม้ใครก็ห้ามขอความเมตตา อีกอย่าง กักบริเวณสามเดือน ตั้งใจฝึกฝนวิชาหลอมศาสตราของพวกเจ้าไป และก็คิดทบทวนเรื่องที่ทำไปให้ดี” ผู้อาวุโสรองเอ่ย

คนเหล่านั้นรีบรับโทษแล้วก็ออกไปจากตึกคุมกฎ

เวลานี้ ผู้อาวุโสรองถึงได้มองไปทางมู่อี้เฉินแล้วบอกกับเขาว่า “ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยั่วยุเจ้าก่อน แต่ว่าภายในตระกูลก็มีกฎ ศิษย์ในตระกูลไม่อาจทะเลาะเบาะแว้งกันเองได้วันนี้เพราะเจ้าไม่ได้เป็นคนก่อเรื่องขึ้น ลงโทษกักบริเวณเจ้าหนึ่งเดือน”

“ผู้อาวุโสรอง! อี้เฉินขอให้ตีห้าสิบไม้แทนกักบริเวณหนึ่งเดือนได้หรือไม่?” ทันใดนั้นมู่อี้เฉินก็กัดฟันเอ่ยออกมา

ประโยคนี้ของเขาทำให้ทุกคนมองไปที่เขา

มู่ชิงเกอก็หันมองไป

หยวนหยวนพุ่งไปที่ด้านหน้าของเขา เอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าโง่งั้นหรือ? กักบริเวณหนึ่งเดือนเพียงครู่เดียวก็ผ่านไปแล้ว ทำไมต้องไปถูกตีด้วย?”

มู่อี้เฉินกลับส่ายหน้า มองไปยังผู้อาวุโสรองด้วยนัยน์ตาที่แน่วแน่เอ่ยว่า “อี้เฉินอยากจะไปตระกูลมู่ที่หลินชวนมาโดยตลอด ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว อี้เฉินไม่อยากจะรอไปอีกหนึ่งเดือน หวังว่าหลังจากรับโทษแล้ว ท่านตาจะสามารถอนุญาตให้ข้ากลับไปหาท่านปู่ที่หลินชวน”

“ท่านตา!” มู่เสวี่ยอู่ได้ยินคำพูดของมู่อี้เฉินแล้วจึงก้าวออกมา ลากมู่อี้เฉินมาคุกเข่าที่ตรงหน้าของซางซุ่นหวางพร้อมกัน “เสวี่ยอู่ก็ของให้ท่านตาอนุญาตด้วย ให้พวกเรากลับไปเยี่ยมท่านปู่ พวกเราเกิดเป็นลูกหลานของตระกูลมู่แต่กลับไม่เคยได้กลับไปตระกูลมู่เลย ถือว่าไม่กตัญญูจริงๆ”

ในใจของพวกเขาไม่เคยลืมเรื่องที่สัญญาไว้กับมู่ชิงเกอ ว่าต้องกลับไปยังหลินชวนภายในเวลาปีครึ่ง

“พวกเจ้า…” ซางซุ่นหวางถอนหายใจ พยักหน้าเอ่ยว่า “พวกเจ้าอยากจะกลับก็กลับเถอะ”

“ขอบคุณท่านพ่อที่ส่งเสริม” ซางหลันรั่วก็คุกเข่าลงตาม นัยน์ตาฉายแววซาบซึ้งใจ

“ประมุขตระกูล ท่านจะยอมให้เสวี่ยอู่กลับไปจริงๆ น่ะหรือ?” ผู้อาวุโสรองรีบเอ่ย

มู่เสวี่ยอูรีบเอ่ยในทันทีว่า “ผู้อาวุโสรองวางใจได้ เสวี่ยอู่เพียงแค่กลับไปเยี่ยมท่านปู่เท่านั้น ยังจะกลับมาตระกูลซางอยู่ เสวี่ยอู่ไม่เคยลืมสถานะอาจารย์หลอมศาสตราตระกูลซางของตนเอง”

ผู้อาวุโสรองนิ่งไปครู่หนึ่ง ในที่สุดถึงได้เอ่ยว่า “อา นี่เป็นเรื่องภายในครอบครัวของประมุขตระกูล ข้าก็จะไม่ขอเข้าไปยุ่งแล้วกัน”

พูดจบแล้วเขาก็ออกไปจากตึกคุมกฎ

ภายในตึกคุมกฎเหลือเพียงครอบครัวของพวกเขา

ซางซุ่นหวางถอนหายใจ “กลับไปแล้ว ฝากพวกเจ้าบอกปู่พวกเจ้าทีว่า หากมีโอกาส ให้พวกเราครอบครัวญาติสนิทพบกันถึงจะดี ความสัมพันธ์เกี่ยวดองมา 20 ปีแล้ว ยังไม่เคยพบกันไม่ค่อยจะดีนัก”

“ขอรับ ท่านตา!”

“เจ้าค่ะ ท่านตา!”

มู่เสวี่ยอู่และมู่อี้เฉินรับคำพร้อมกัน

ซางซุ่นหวางให้พวกเขาลุกขึ้น แล้วก็ถามว่า “ประตูมิติ ของตระกูลซางก็พังไปแล้ว พวกเจ้าจะกลับไปอย่างไร? ยังมี…” เขามองไปยังซางหลันรั่ว เอ่ยถามว่า “เจ้า… อยากจะกลับไปกับพวกเขาหรือไม่?”

ร่างของซางหลันรั่วสั่นสะท้านเบาๆ กัดฟันแล้วส่ายหน้าเอ่ยว่า “ข้าจะรอจนกว่าเหลียนเฉิงกลับมา มิเช่นนั้นก็ไม่มีหน้ากลับไปพบพ่อสามี ให้พวกเขากลับไปก่อนเถอะ”

“พวกเราจะใช้เส้นทางที่ลูกพี่มากลับไป ไปภาคใต้ก่อน แล้วก็ค่อยออกจากภาคใต้ไปยังหลินชวน” มู่อี้เฉินเอ่ย

ซางซุ่นหวางตกใจเอ่ยว่า “ทางสายนั้นไม่น่าเดินทาง อีกทั้งยังไกลมาก!”

“ไม่จำเป็นแล้ว” อยู่ดีๆ มู่ชิงเกอก็เอ่ยปากขึ้น นางมองไปทางมู่อี้เฉินและมู่เสวี่ยอู่ “ข้าจะพาพวกเขาไปด้วยตัวเองสักครั้งและจะกลับมาภายในหนึ่งเดือน”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version