Skip to content

พลิกปฐพี 304

ตอนที่ 304

บีบคั้นทุกฝีก้าว

หยาจื้อ!

เท้าที่ก้าวออกไปของมู่ชิงเกอถูกดึงกลับเข้ามา เอ่ยขึ้นในใจว่า ‘หยาจื้อที่เจ้าพูดถึงเป็นอสูรร้ายบรรพกาลที่มีชื่อเสียงเทียบเคียงกับเจ้าตนนั้นงั้นหรือ’

‘เฮอะ! ตัวข้านั้นเป็นถึงต้นกำเนิดแห่งอสูรร้าย หยาจื้อ สำหรับข้าแล้วยังห่างชั้นอยู่หน่อย แต่ว่ากลิ่นไอสองสายนี้บางเบามาก คาดว่าคงไม่ใช่ร่างจริงที่อยู่ที่นี่ ถ้าหาก เป็นร่างจริง… เหอะ เหอะ…’โห่วหัวเราะขึ้นอย่างสะใจ “เกรงว่าวันนี้ก็จะเป็นวันสุดท้ายของเจ้าแล้ว”

‘ขอบคุณที่เอ่ยเตือน แต่ถึงอย่างไรหากข้าตายเจ้าก็ต้องถูกฝังไปด้วยอยู่ดี ไม่ขาดทุน’ มู่ชิงเกอเย้ยกลับด้วยเสียงเรียบ

กระต่ายบางตัวสบถเสียงเย็นอย่างเย่อหยิ่งแล้วไม่กล่าววาจาอีก

มีการกำชับเตือนจากโห่ว ในใจของมู่ชิงเกอก็ยิ่งเพิ่มความระมัดระวังขึ้นมาอีกหลายส่วน นางยกเท้าก้าวออกไป ในตอนที่ก้าวลงไปยังตรงกลางของนํ้าแข็งสลักรูปหยาจื้อสองตนนั้น อยู่ๆ ก็มีเส้นแสงสีนํ้าเงินอมฟ้าประสานกันเป็นเส้นเดียวจากตรงกลางของนํ้าแข็งสลักทั้งสองพุ่งเข้ามาโจมตีนาง

มู่ชิงเกอถอนเท้ากลับอย่างรวดเร็ว ถอยไปด้านข้าง คนอื่นก็เร่งหลบตามกันไปติดๆ หลบจากการโจมตีสายนั้น แสงสีนํ้าเงินอมฟ้าเส้นนั้นพุ่งเข้าใส่เสานํ้าแข็งที่อยู่ไกล ออกไปเสียง ‘ตูม’ ดังขึ้น เสานํ้าแข็งแตกละเอียดกลายเป็นเศษซาก ตกกระจายลงไปบนพื้น

คนทั้งห้ามองดูฉากนี้แล้วตาก็กระตุกขึ้นพร้อมกัน

หยวนหยวนถอนสายตากลับ นัยน์ตาฉายแววลุกโชน มองไปยังนํ้าแข็งสลักสองตนนั้น จุดชาดที่เหมือนกับเปลวเพลิงตรงหว่างคิ้วเม็ดนั้นส่องประกายงดงามเป็น พิเศษ เขายิ้มอย่างชั่วร้าย หักนิ้วมือเดินไปทางนํ้าแข็งแกะสลัก

เดินไปพลาง พูดกล่าวไปพลางว่า “ถือว่ามีความ สามารถอยู่บ้าง! หากข้าเผาพวกเจ้าจนหมดแล้ว ดูชิว่าพวกเจ้ายังจะขวางทางไปของลูกพี่ข้าได้อย่างไร”

“หยวนหยวน” อยู่ๆ มู่ชิงเกอก็เข้ามาขวางตรงหน้าเขา ห้ามการกระทำของเขา

หยวนหยวนมองไปที่นางอย่างไม่เข้าใจพลางเอ่ยว่า “ลูกพี่ ข้าจะช่วยท่านเผาสุนัขเฝ้าประตูทั้งสองนี้ไม่ดีงั้นหรือ”

มู่ชิงเกอส่ายหน้า เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบๆ ว่า “ที่นี่เป็นถํ้าที่อดีตประมุขตระกูลมู่สร้างขึ้น ใช้เอาไว้เก็บเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางโดยเฉพาะ ไม่มีทางห้ามคนรุ่นหลังของตระกูลมู่เข้าไป”

นัยน์ตาของนางกวาดมองไปมาบนนํ้าแข็งแกะสลักรูป หยาจึ้อทั้งสอง “ถ้าหากข้าเดาไม่ผิดน่าจะต้องผ่านการทดสอบจำนวนหนึ่ง ถึงจะสามารถเข้าสู่ด้านในได้ กระมัง”

“คนรุ่นหลังของตระกูลมู่ พวกเราได้รอเจ้ามาหลายหมื่นปีแล้ว”

นํ้าเสียงของนางเพิ่งจะจบลงไม่นาน เสียงดุร้ายที่แฝงกลิ่นไอของยุคบรรพกาลก็ค่อยๆ ลอยดังออกมา

พร้อมกันนั้น นํ้าแข็งแกะสลักรูปหยาจื้อทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง พวกมันดูราวกับว่ามีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น…

นัยน์ตาทั้งสองข้างของมู่ชิงเกอหดเล็กลง ในส่วนลึกของแววตาเต็มไปด้วยความระแวดระวัง

เจียงหลีคิดอยากจะเดินออกมาช่วยเหลือ แต่กลับถูกมู่เฉินขวางเอาไว้ “นี่ถือเป็นการทดสอบของนายน้อย พวกเราไม่สามารถลงมือได้”

ในระหว่างที่พูดเขาก็ลอบส่งสัญญาณให้กลุ่มคนถอยออกไป ไม่ให้ส่งผลต่อการใช้พลังของมู่ชิงเกอ

หลังจากผ่านไปชั่วอึดใจหนึ่ง นํ้าแข็งแกะสลักรูปหยาจื้อ ก็กลายเป็นเหมือนมีชีวิตจริงๆ ขึ้นมา แต่ว่าร่างกายของพวกมันกลับโปร่งใส พร้อมกับเปล่งแสงสะท้อนวาววับ

พวกมันขยับลงมาจากแท่น ยืนอยู่ตรงหน้าของมู่ชิงเกอ ไหล่ทั้งสองข้างของมู่ชิงเกอเขม็งเกร็ง รอคอยด้วยท่าทางที่ดูจริงจัง

‘อดีตประมุขของตระกูลพวกเจ้าช่างมือเติบนัก เพื่อที่จะเฝ้าคุ้มกันที่นี่และทดสอบคนรุ่นหลังเช่นพวกเจ้าถึงกับดึงวิญญาณของหยาจื้อตอนที่มันยังมีชีวิตมาตรงๆ ทั้งยังแบ่งมันเป็นสอง’ โห่วเปิดปากขึ้นอีกครั้ง

มู่ชิงเกอได้ฟังแล้วจิตใจก็รู้สึกหนักอึ้ง ถ้าหากที่โห่วพูดเป็นความจริง เช่นนั้นวิญญาณของหยาจื้อตนนี้ก็คงถูกดึงออกมาทั้งเป็นและถูกกักขังไว้ที่นี่เป็นเวลาหมื่นปี คงไม่ใช่ว่าจะเคียดแค้นตระกูลมู่ทั้งตระกูลแล้วกระมัง พอเป็นเช่นนี้ การทดสอบครั้งนี้ก็เกรงว่าไม่ง่ายที่จะผ่านแล้ว

“รุ่นหลังของตระกูลมู่ จงบอกชื่อออกมา!” วิญญาณของหยาจื้อเปิดปากพูด มันมองไปทางมู่ชิงเกออย่างผู้อยู่เหนือกว่า ดวงตาคู่ใหญ่ดุจระฆังแฝงแววอำมหิตเย็นยะเยือก

“มู่ชิงเกอ” มู่ชิงเกอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอ่ยชื่อของตนออกไป

“หากชนะข้าก่อนเจ้าถึงจะเข้าไปได้หากแพ้ก็ต้องตาย” ตามที่คาดไว้หยาจื้อเอ่ยกฎการแข่งขันที่ง่ายๆ และป่าเถื่อนออกมา

“เด็กน้อย อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้า นี่เป็นเป็นวิญญาณหนึ่งดวงที่ถูกแบ่งเป็นสอง และก็สามารถกล่าวได้ว่าพวกมันสามารถสัมผัสถึงกันและกันได้ เสริมรับซึ่งกันและกัน ระดับความยากลำบากของเจ้าก็เพิ่มขึ้นมากไม่ใช่แค่ครึ่งส่วนหรือหนึ่งส่วน ข้าขอแนะนำเจ้า หากไม่มั่นใจก็ให้ถอยกลับไป รอจนภายหลังมีพลังมากพอค่อยมาเก็บกวาดพวกมันอีกครั้ง” โห่วเอ่ยเกลี้ยกล่อมมู่ชิงเกอ

จากไปแล้วค่อยเข้ามาใหม่งั้นหรือ

มู่ชิงเกอส่ายหน้า นางไม่ได้สังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงในนํ้าเสียงของโห่ว แต่เอ่ยตอบเขาไปว่า “ตอนนี้ไม่ได้มีเพียงข้าที่ต้องการสิ่งของด้านใน ครั้งนี้หากข้าถอยออกไปเกรงว่าคงจะไม่มีโอกาสครอบครองมันอีก”

“เฮอะ ทำเป็นเก่ง” โห่วเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ข้าจะบอกเจ้าว่านี่ก็เป็นบททดสอบที่อดีตประมุขตระกูลมู่จัดเตรียมไว้ให้คนรุ่นหลังที่สามารถตามหามาถึงที่นี่เช่น พวกเจ้า ไม่ว่าใครก็สอดมือไม่ได้ หากมีคนช่วยเหลือก็จะเท่ากับการทดสอบล้มเหลว เจ้าจะต้องคิดให้ดี หากเจ้าแพ้แล้วต้องตาย”

“นายน้อย!”

“ลูกพี่!”

“ชิงเกอ!”

ที่ข้างหูของมู่ชิงเกอมีเสียงของคนไม่กี่คนดังขึ้นมาพร้อมกันอย่างเป็นห่วง

มู่ชิงเกอใช้หางตากวาดมองไปบนร่างของคนทั้งสี่แล้ว เอ่ยขึ้นกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าใครก็ห้ามยื่นมือเข้ามาช่วย ข้าจะจัดการเอง”

“ระมัดระวังตัวด้วย”

“ลูกพี่ระวังตัวด้วย!”

“นายน้อยโปรดระมัดระวังตัวด้วย”

นี่ถือเป็นการประมือที่ห้ามสอดมืออย่างเด็ดขาด อาศัยได้เพียงกำลังของมู่ชิงเกอเพียงคนเดียวเพียงเท่านั้น

บนฝ่ามือข้างขวาของมู่ชิงเกอส่องประกายสีเงินไหววูบ ทวนหลิงหลงถูกกำอยู่ในมือ นางเอ่ยขึ้นกับโห่วว่า “เจ้าไม่สามารถลงมือช่วยเหลือก็ได้ แต่อย่างน้อยก็คงรู้ว่าจุดอ่อนของพวกมันอยู่ที่ไหนกระมัง”

โห่วนิ่งขรึมไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ เบาว่า “พวกมันเป็นเพียงวิญญาณ ทั้งยังถูกขังไว้ที่นี่มาหมื่นปีแล้ว มีพลังเหลือเพียงแค่หนึ่งในสิบไม่เหมือนแต่ก่อน นึกให้ดีถึงกฎการแข่งที่มันพูดเมื่อครู่”

กฎการแข่งขัน!

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเปล่งแสงวูบวาบ ‘หากชนะได้เข้าไป หากแพ้ต้องตกตายงั้นหรือ’

หากชนะได้เข้าไป!

ชั่วขณะนั้นมู่ชิงเกอก็พลันเข้าใจขึ้นมา มุมปากของนางยกสูงขึ้น เอ่ยขึ้นกับวิญญาณของหยาจื้อว่า “มู่ชิงเกอขอคำชี้แนะแล้ว!”

กล่าวจบ นางก็เริ่มโจมตีก่อนในทันใด ทวนหลิงหลงพุ่งเข้าไปพร้อมเสียงแหวกอากาศพุ่งแทง ไปยังหยาจื้อตัวหนึ่งในนั้น

ตูม!

หยาจื้อทั้งสองตัวร่างกายเกี่ยวรัดกัน กักขังมู่ชิงเกอไว้อย่างแน่นหนา

ในชั่วพริบตาไม่รู้ว่าผ่านไปกี่กระบวนท่าแล้ว

“สัตว์เทพเฝ้าประตูสองตนนี้เก่งมากเพียบพร้อมทั้งการโจมตีและการป้องกัน สอดประสานซึ่งกันและกันไร้ซึ่งช่องโหว่ นายน้อยเพียงคนเดียว ถูกพวกมันดักทางทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เกรงว่าคงยากนักที่ฝ่าวงล้อมไปได้!” มู่เผิงเอ่ยขึ้นอย่างร้อนใจ

มู่เฉินพยักหน้า หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความกังวลพลางเอ่ยขึ้น “นี่ก็ต้องดูที่ไหวพริบของนายน้อยแล้ว”

“เชื่อใจในตัวชิงเกอ” เจียงหลีเอ่ยขึ้นนํ้าเสียงที่ขึงขัง

หยวนหยวนพยักหน้า “ข้าเชื่อว่าลูกพี่จะต้องชนะ!”

ทุกครั้งที่ปลายทวนของมู่ชิงเกอวาดผ่าน ล้วนแต่เกิดแสงสีเงินวาดไปวาดมา ปะทะพัวพันอยู่กับหยาจื้อ สู้กันจนยากจะแยกออกได้ไม่ทันไรก็มองไม่ออกถึงเงาร่างของแต่ละฝ่ายแล้ว

ทันใดนั้นเอง ร่างของมู่ชิงเกอก็ถูกโจมตีใส่จนลอยออกมา ตกลงบนพื้น ทำเอาทั้งสี่คนที่เฝ้าดูการต่อสู้อยู่ด้านข้างพากันกังวลใจขึ้นมา

แต่มู่ชิงเกอกลับยกมือขึ้นเช็ดรอยเลือดที่หยดออกจากมุมปาก แววตาฉายแววสนุกสนานพลางเอ่ยขึ้นว่า “อีกรอบ!”

มู่ชิงเกอใช้ท่าก้าวดาราก่อกำเนิด เดินไหววูบไปมาระหว่างหยาจื้อทั้งสอง เงาร่างของนางเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งเงาเอาไว้ ฝ่ามือหนึ่งฟาดลงไปกลับพบ ว่าเป็นเพียงเงา

ชั่วพริบตามู่ชิงเกอก็ไปปรากฎอยู่ที่ด้านหลังของหนึ่งตัวในนั้น โจมตีกลับไปด้วยทวน ปลายทวนหลิงหลงพุ่งแทงไปยังท้ายทอยของมัน แต่ว่าหยาจื้อที่ถูกแทงตนนั้นกลับหายไปกลายเป็นหมอกควันสีนํ้าเงิน ลอยไปด้านข้าง ก่อนจะรวบรวมรูปลักษณ์ขึ้นมาใหม่ พร้อมกับร้องคำรามเกรี้ยวกราดพุ่งมาทางมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอจับปลายทวน ก่อนที่จะสะบัดวาดทวนหลิงหลงออกมา ขัดขวางการเข้ามาใกล้ของหยาจื้อ

พอหยาจื้อไม่สามารถเข้าใกล้มู่ชิงเกอได้ทันใดนั้นมันก็รวมกันเป็นหนึ่งตรงหน้านาง พุ่งทะยานเข้าใส่พร้อมเสียงร้องที่เกรี้ยวกราด

เสียงร้องคำรามนั้นก็แฝงไว้ด้วยคลื่นเสียงเป็นชั้นๆ พุ่งตรงไปทางมู่ชิงเกอ แรงสะเทือนทำให้ถํ้านํ้าแข็งสั่นไหวไปมา มู่ชิงเกอที่ต้องเผชิญหน้ารับกับการโจมตีโดยตรง ถูกบีบให้ถอยไปด้านหลังติดต่อกันถึงสามก้าว เลือดลมอึกหนึ่งแล่นไหลขึ้นมาจากลำคอ แต่กลับถูกนางฝืนกลืนมันกลับลงไป

สีหน้าของนาง ค่อนข้างซีดขาว ริมฝีปากเม้มแน่นเป็นเส้นตรง นัยน์ตากระจ่างใสคู่นั้นจับจ้องไปทางหยาจื้ออย่างเย็นยะเยือก

หยาจื้อคำรามเกรี้ยวกราดขึ้นอีกครั้ง มู่ชิงเกอเบิกดวงตาทั้งสองข้างขึ้น ตัวทวนสัมผัสกับพื้น ทั้งตัวคนสะบัดขึ้นกลางอากาศ หลบคลื่นเสียงตรงหน้า

นางโคจรพลังจิตในร่างของตนไปถึงขั้นสูงสุด ก่อนจะพุ่งไปทางหยาจื้อ

หยาจื้อจากแยกตัวจากหนึ่งเป็นสอง ฟาดกรงเล็บหน้าตบไปยังแผ่นหลังของมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอเบี่ยงกายหลบการโจมตีของหนึ่งในนั้น แต่กลับไม่สามารถสามารถหลบการโจมตีของอีกฝั่งหนึ่งได้หนึ่ง ฝ่ามือของหยาจื้อฟาดตบลงไปบนแผ่นหลังส่วนไหล่ของนาง แต่ส่วนไหล่ของนางก็ปรากฎแสงสีเงินส่องวูบขึ้น เกราะระดับเทวะสีเงินชุดหนึ่งปรากฎขึ้นบนตัวของนาง

จากนั้นมู่ชิงเกอก็อาศัยการโจมตีนี้ไถลผ่านกึ่งกลางของหยาจื้อไป ฝ่าเท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนแท่นบันไดด้านนอกประตู

หยาจื้อยังคงตามติดมา แต่มู่ชิงเกอนั้นก็เร่งรีบเอาเท้าอีกข้างเหยียบไปบนบันไดอย่างรวดเร็ว ยกทวนหลิงหลงขึ้นขวางไว้ตรงหน้าของตัวเอง แล้วเอ่ยเสียงเรียบขึ้นว่า “ข้าชนะแล้ว”

หยาจื้อหยุดลง ภายในแววตาดุดันที่จ้องมองมายังมู่ชิงเกอ ความอาฆาตยังไม่ลดลง

“ใครบอกว่าเจ้าชนะแล้ว!” หยาจื้อเปิดปาก ในนํ้าเสียงแฝงด้วยความชิงชังและไม่ยินยอมอย่างถึงที่สุด

มู่ชิงเกอยกมุมปากยิ้มเย็นขึ้น “เจ้าเฝ้าอยู่นอกประตูนั่นก็บอกชัดเจนว่าหน้าที่ของเจ้าก็คือไม่ให้ใครเข้าใกล้ที่นี่ ถ้าหากข้ามผ่านการป้องกันได้ ก็จะถือเป็นความบกพร่องของเจ้า ตอนนี้ เท้าทั้งสองข้างของข้าก็ได้อยู่บนบันไดทางเข้าประตูแล้ว เจ้าก็ได้ถือว่าบกพร่องต่อหน้าที่ นี้ยังไม่นับว่าแพ้อีกหรือ”

พอคำพูดนางจบลง ประตูด้านหลังก็เกิดเสียงขึ้นค่อยๆ เปิดช่องว่างออกสายหนึ่ง

‘คนรุ่นหลังตระกูลมู่ เข้ามาเถอะ’ เสียงแก่ชราเสียงหนึ่งดังออกมาจากด้านในประตู

พอเสียงนี้หลุดออกมา หยาจื้อที่เผชิญหน้ากับมู่ชิงเกอก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที ความชิงชังในแววตาปรากฎแววหวาดกลัว พวกมันไม่กล้าเอ่ยมากความอีก สลายกลายเป็นควันสองสาย ก่อนจะเปลี่ยนกลับเป็นนํ้าแข็งแกะสลักสองตนและไม่ขยับอีก

มู่ชิงเกอหมุนตัวกลับไปมองอย่างแปลกใจ มองไปยังประตูที่เปิดออกแล้วไม่พูดจา คนที่เอ่ยคำพูดอยู่ด้านในผู้นี้จริงๆ แล้วเป็นคนหรือวิญญาณกันแน่

“ยังนิ่งอยู่ทำไม ยังไม่รีบเข้ามาอีก” เสียงด้านหลังประตูเอ่ยเร่งขึ้นอีกครั้ง

มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว ตอนนี้มาถึงปากประตูแล้ว แต่นางกลับลังเลอยู่บ้าง เพราะนางไม่รู้ว่าคนที่เอ่ยวาจาผู้นี้จริงๆ แล้วคิดอันใดอยู่กันแน่ หากว่านางก้าวเข้าไปแล้ว ประตูปิดลงจนนางกลับออกมาไม่ได้ล่ะ จะไปร้องไห้กับใครกัน

“นายน้อย!”

อีกด้านหนึ่ง พวกมู่เฉินไม่กี่คนก็มองไปที่นางอย่างกังวลใจ

กล่าวได้ว่าเสียงที่อยู่ๆ กล่าวออกมานี้ ไม่เพียงทำให้มู่ชิงเกอเกิดความลังเลขึ้นมา ยังทำให้พวกเขารู้สึกกระวนกระวายใจตามไปด้วย

‘เด็กน้อย เข้าไปเถอะ ไม่เป็นไรหรอก’ อยู่ๆ โห่วก็เอ่ยขึ้นมา

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ ขบฟันลงแล้วก้าวเท้าขึ้นบันไดไป เดินเข้าไปในประตู

“นายน้อย!”

“ชิงเกอ!”

“ลูกพี่!”

พวกมู่เฉินทั้งสี่คนต่างพากันพุ่งตัวเข้าไปด้านหน้า แต่ทันใดนั้น เสียงสายนั้นก็พลันดังขึ้นอีกครั้งว่า “ที่นี่ อนุญาตให้เข้าเพียงผู้สืบทอดตระกูลมู่ ผู้อื่นที่ไม่เกี่ยว ข้องห้ามเข้ามาโดยพลการอย่างเด็ดขาด มิเช่นนั้นจักฆ่าไม่เว้น”

มู่ชิงเกอที่ยืนอยู่ที่ปากประตู หันกลับไปเอ่ยกับคนทั้งสี่คนว่า “พวกเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่เถอะ” เอ่ยจบแล้ว นางก็หลับตาทั้งสองข้างลงสงบนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเปิด เปลือกตาแล้วเอ่ยขึ้นประโยคหนึ่งว่า “พวกเขาหาทางเข้าเจอแล้ว แต่ยังไม่ได้เปิดออก ถ้าหากพวกเขามาจนถึงที่นี่ให้พวกเจ้าสนใจความปลอดภัยของตัวเองก่อน ไม่ต้องสนใจข้า”

พอนางกล่าวคำนี้จบ ประตูที่เปิดเองบานนั้นก็พลันปิดลงอีกครั้ง ขวางกั้นสายตาเป็นห่วงเป็นใยของคนอื่นๆ

“ลูกพี่เพียงคนเดียวอยู่ด้านในจะปลอดภัยหรือไม่ ไม่ใช่ว่าจะยังมีการทดสอบอะไรอีกนะ” หยวนหยวนเอ่ยขึ้นอย่างไม่วางใจ

มู่เฉินคิดแล้วคิดอีก ก่อนจะส่ายหน้าเอ่ยว่า “ที่นี่เป็นสถานที่ทดสอบที่อดีตประมุขตระกูลมู่สร้างเอาไว้ไม่ใช่เพื่อเอาชีวิตของคนรุ่นหลัง นางน้อยเข้าไปน่าจะไม่มีอะไร”

“เช่นนั้นพวกเราก็รอกันที่นี่เถอะ และก็ระวังความเคลื่อนไหวอื่นๆ ด้วย ไม่รู้ว่าพวกคนด้านบนจะมีปัญญาเปิดเส้นทางนี้หรือไม่ หวังว่าพวกเขาจะช้าหน่อย ให้ เวลามู่ชิงเกอได้ช่วงชิงเคล็ดวิชาเทวะ” เจียงหลีเอ่ยขึ้น พลางขมวดคิ้ว

ทั้งสี่คนที่อยู่ด้านนอกประตู มองหน้ากันและกัน ล้วนต่างเข้าใจความรู้สึกของกันและกันดี

เดิมหวังว่าหลังจากหาเคล็ดวิชาเทวะพบแล้ว ก็จะไปจากที่นี่อย่างไร้ร่องรอย ทำการหลีกเลี่ยงคนของแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารอย่างสุดความสามารถ หลีกเลี่ยงการปะทะ แต่ว่าตอนนี้ ฝ่ายตรงข้ามเองก็หาสถานที่แห่งนี้เจอแล้ว การพบกันก็เป็นเรื่องที่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น ตอนนี้พวกเขาก็ได้แต่หวังว่าก่อนที่คนจากฝั่งแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารจะมาถึง มู่ชิงเกอจะสามารถหาเคล็ดวิชาเทวะพบแล้ว ด้านบนดินแดนหิมะ อารมณ์ของมู่เทียนอินเต็มไปด้วยความหงุดหงิด

เขาแน่ใจว่าเคล็ดวิชาเทวะซ่อนอยู่ที่นี่ แต่กลับหาทางเข้าไม่ได้สักที

เวลาก็ได้ล่วงเลยมานานมากแล้ว เขากลับคว้านํ้าเหลว

ไม่เพียงหาเคล็ดวิชาเทวะไม่เจอ ยังสูญเสียคนไปคนหนึ่ง

“นายน้อย พวกเราหามานานแล้ว ที่นี่ก็ได้ค้นอย่างละเอียดมาหลายรอบแล้ว แต่ยังคงไม่พบร่องรอยใดๆ เลย” บ่าวคนหนึ่งเข้ามารายงานความคืบหน้ากับเขาอีก

แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีเนื้อหาที่ควรค่าให้เขาดีใจ

“เจ้าพวกไร้ประโยชน์!” มู่เทียนอินเอ่ยขึ้นเสียงเย็น

เขาเดินไปยังแผ่นนํ้าแข็งสูงตรงหน้าเพียงลำพัง ทำการค้นหาขึ้นใหม่อีกครั้งอย่างไม่พอใจ

บ่าวทั้งสามคนของเขายืนอยู่ด้านหลัง มองหน้ากันและกัน พวกเขาหาไม่พบถือเป็นพวกไร้ประโยชน์เป็นเศษสวะ แต่ว่านายน้อยของพวกเขาก็ไม่ใช่ว่าหาไม่พบเช่นเดียวกันหรอกหรือ

“ไม่มี! ทำไมถึงไม่มีกัน!” มู่เทียนอินชกหมัดไปยังแผ่นนํ้าแข็ง เขาใช้พลังเต็มแรงเพื่อระบายโทสะในใจ

ชั่วขณะนั้น เกล็ดหิมะจำนวนหนึ่ง ก็ค่อยๆ ลอยพลิ้วตกลงมาจากยอดของธารนํ้าแข็ง ตกลงบนตัวของเขา พอถูกความเย็นของนํ้าหิมะที่ละลายมาจากเกล็ดหิมะ สัมผัสเข้า เขาก็นิ่งสงบลง เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังปลายยอด ก่อนจะค่อยๆ ถอย ออกไปด้านหลัง ภายในสายตาเต็มไปด้วยเกล็ดหิมะที่ค่อยๆ พลิ้วตกลงมา เขายื่นแขนทั้งสองข้างออก รับเอาเกล็ดหิมะ แรกเริ่มยังไม่รู้สึกอันใด แต่การค้นพบอย่างกะทันหันอย่างหนึ่งก็ทำให้เขาเบิกตาทั้งสองข้างขึ้นในทันใด ในแววตาส่องแสงประกายเจิดจ้าสะท้านใจคน เขามองเห็นเกล็ดหิมะที่สัมผัสกับมือข้างซ้ายของตนหาย ไป ส่วนเกล็ดหิมะที่ตกลงไปในจุดอื่นๆ กลับละลายกลายเป็นนํ้าหิมะ

การค้นพบนี้ ทำให้ดวงตาทั้งสองข้างของเขาค่อยๆ หรี่เล็กลง ยิ้มเย็นขึ้นในใจ

เขาดึงมือขวากลับ ยกไว้เพียงมือข้างซ้าย ยื่นไปสัมผัสเกล็ดหิมะอย่างต่อเนื่อง เขาค่อยๆ เดินไปด้านหน้าตามเส้นทางที่ไม่คงอยู่สายหนึ่งอย่างช้าๆ…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version