Skip to content

พลิกปฐพี 34

ตอนที่ 34

องค์หญิงมาเยี่ยม

หลังกลับมาจากป่าก็ผ่านไปสองวันแล้ว

สองวันมานี้ มู่ชิงเกอไม่ได้ฝึกเวทพลังเลย เพราะกำลังทำความเข้าใจกับความทรงจำที่เพิ่มเข้ามาในหัวอย่างละเอียด

นักปรุงยาเป็นอาชีพสูงส่งมีเกียรติและเป็นที่ต้องการอาชีพหนึ่ง เพราะว่า การที่จะเป็นนักปรุงยาได้นั้นต้องมีคุณสมนัติที่สูงส่ง พูดได้ว่าในหมื่นคน แทบจะไม่มีผู้สำเร็จเลยสักคน และการจะสำเร็จเป็นปรมาจารย์ขั้นสูงและได้รับการยอมรับนั้นก็มีโอกาสที่น้อยมาก

การที่จะเป็นนักปรุงยานั้น ก็หมายถึงการที่จะต้องสร้างเส้นสายให้กว้างขวาง

สำหรับผู้กล้าทั้งหลาย การจะผูกสัมพันธ์กับนักปรุงยาสักคน จะขอยาต่อชีวิตสักเม็ด หรือกระทั่งยาขั้นเลวที่สุดก็ยังถือเป็นเรื่องที่ยากเย็นมาก

และหากต้องติดหนี้บุญคุณนักปรุงยา ยิ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการ

เท่าที่มู่ชิงเกอรู้ในแคว้นฉิน จำนวนของนักปรุงยามีแทบจะนับนิ้วได้อีกทั้งระดับของพวกเขาก็ไม่ได้สูงมากนัก

วันนั้น ยาเม็ดที่มู่ซงใช้ช่วยชีวิตนาง ไม่ใช่ยาที่นักปรุงยาในแคว้นฉินจะสามารถปรุงออกมาได้ ยาเม็ดนั้น เป็นยาที่มู่ซงในวัยหนุ่มได้มาจากแคว้นอวี๋ตอนออกไปท่องเที่ยว ขณะที่เดินทางผ่านแคว้นอวี๋เขาได้บังเชิญช่วยชีวิตคนผู้หนึ่งไว้ คนผู้นั้นเลยมอบยาเม็ดนั้นให้เป็นการตอบแทน แม้ตอนนั้นมู่ซงจะไม่ได้ถาม แต่ก็พอดูออกว่าเขาเป็นนักปรุงยาขั้นสูงท่านหนึ่ง

แต่ว่า มู่ซงก็มีศักดิ์ศรีในตนเองและไม่ได้ต้องการสิ่งตอบแทน หากอีกฝ่ายไม่อยากเปิดเผยฐานะที่แท้จริง เขาก็คร้านจะถาม แต่สุดท้ายก็ต้องรับยาเม็ดมานั้นมาตามความต้องการของอีกฝ่าย

เขาเก็บรักษายาเม็ดนั้นมาทั้งชีวิต แต่สุดท้ายก็มาใช้กับมู่ชิงเกอ และตอนนี้ มู่ชิงเกอได้รับการถ่ายทอดตำรายาจากเทพแห่งยานางเองก็ไม่รู้ว่าเทพแห่งยาจะอยู่ในฐานะอะไรในบรรดานักปรุงยา แต่ก็มั่นใจว่ามันคงจะสุดยอดมาก ไม่อย่างนั้นจะกล้าเรียกว่าเทพได้อย่างไร?

อีกอย่างตำรายาที่สืบทอดมานั้นมีจำนวนมหาศาล นางเรียบเรียงมาสองวันสองคืนแล้วก็ยังไม่หมด และที่เรียบเรียงมานั้นก็เป็นเพียงหนึ่งในสิบของตำรายาทั้งหมดเท่านั้น

โชคดีที่ยาและรูปภาพพร้อมสรรพคุณพวกนั้น ราวกับสลักไว้ในหัวของมู่ชิงเกออย่างไรอย่างนั้น หากจะให้นางท่องตำรายาทั้งหมดคงต้องใช้เวลาครึ่งชีวิต

ตำรายาที่สืบทอดมานี้เหมือนสลักอยู่ในหัวของนางและตอนนี้สิ่งที่นางต้องทำก็คือเรียบเรียงทำความเข้าใจและนำไปใช้

“นี่ ! ฮวาเยวี่ย! ฮวาเยวี่ย!” มู่ชิงเกอเอามือนวดขมับพร้อมตะโกนเรียกเสียงดัง

พอสิ้นเสียง ก็เห็นเงาร่างสีชมพูดั่งผีเสื้อบินเดินเข้ามา และทันใดนั้นใบหน้าเล็กๆ เย้ายวนของฮวาเยวี่ยก็ปรากฏขึ้นในสายตาของมู่ชิงเกอ

“คุณชาย ฮวาเยวี่ยมาแล้ว ท่านมีอะไรจะสั่งเจ้าคะ?” ฮวาเยวี่ยก้มหน้าลงแล้วมองไปทางชายหนุ่มชุดแดงที่นอนอยู่บนเก้าอี้โยกในสวน ตาทั้งคู่หลับอยู่และดูไม่ค่อยผ่อนคลายนัก

มู่ชิงเกอลืมตาขึ้นด้วยความเกียจคร้าน ทั้งร่างราวกับไร้กระดูกพูดว่า “ข้าปวดไหล่แล้วก็ปวดหัว”

ฮวาเยวี่ยหัวเราะคิกคัก พร้อมขยับกายและเดินมาอยู่ด้านหลังมู่ชิงเกอ มือทั้งคู่วางลงบนศีรษะมู่ชิงเกออย่างเป็นธรรมชาติ แล้วกดให้นางเบาๆ

มู่ชิงเกอหลับตาเสพสุข “โย่วเหอเล่า?”

“โย่วเหอไปเตรียมสำรับให้คุณชายเจ้าค่ะ” ฮวาเยวี่ยนวดให้มู่ชิงเกอไปด้วยพลางตอบคำถามไปด้วย

มู่ชิงเกอตอบว่า “อืม” คำเดียวและไม่พูดอะไรต่อเหมือนกำลังจะหลับ

ในสวนสระเมฆา อบอวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้

ดอกมู่จิ่นในสวนปลิวไปมากับสายลม เกสรสีชมพูลอยอยู่กลางสายลม แล้วค่อยๆ ร่วงหล่นลงบนพื้น ท่ามกลางดอกไม้ที่ปลิวไสว ชายในชุดแดงผู้หนึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้โยกด้วยความเกียจคร้าน ด้านหลังมีสาวใช้รูปโฉมงดงามกำลังบีบนวดให้

สิ่งที่ฉินอี้เหยาเห็นตอนเดินเข้ามาพร้อมมู่เหลียนหรงก็คือภาพนี้

สีแดงสดราวกับกองเพลิงที่ลุกโชนอยู่กลางสวนนั้น เทียบกับดวงอาทิตย์ที่เจิดจ้าแล้วยังดูงดงามยิ่งกว่า ใบหน้าที่งดงาม แม้จะยังดูเยาว์วัย แต่ก็ยังแฝงไปด้วย ความสุขุมบางอย่างที่ยากจะอธิบายโดยเฉพาะรอยยิ้มโอหังน้อยๆ ที่มุมปากนั้น ราวกับไม่เห็นโลกนี้อยู่ในสายตาอย่างนั้น

อาจเป็นเพราะภาพตรงหน้าสวยงามเกินไป จึงทำให้ฉินอี้เหยาหลงใหลจนลืมจุดประสงค์ที่มาไปเสียสนิท มู่เหลียนหรงที่เดินเข้ามาพร้อมกับนางก็ตกใจกับภาพตรงหน้า ในใจก็นึกตำหนิว่า เจ้าเด็กบ้านี่ เจ้าชู้เสียจริง อีกหน่อยก็ไม่รู้ว่าจะทำร้ายผู้หญิงอีกมากน้อยเพียงใด

พอนางได้สติก็พบว่าองค์หญิงฉางเล่อที่อยู่ข้างๆ นาง ว่าที่หลานสะใภ้ในอนาคตของตระกูลมู่เวลานี้ยืนอึ้งอยู่ที่เดิม

ทันใดนั้น มู่เหลียนหรงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกภาคภูมิใจว่า หลานชายของตนเองนั้นช่างสุดยอดเสียจริง!

“อะแฮ่ม องค์หญิง?” มู่เหลียนหรงยกยิ้มอย่างอดไม่ได้ ร้องเรียกฉินอี้เหยา ทำให้ฉินอี้เหยาที่เหม่อลอยอยู่ได้สติ ฉินอี้เหยาที่ถูกดึงสติกลับมา เห็นสายตามองประเมินที่แฝงด้วยท่าทีมีเลศนัยของมู่เหลียนหรง ใบหน้าขาวผุดผาด จึงค่อยๆ แดงระเรื่ออย่างห้ามไม่ได้ แต่ก็กลับคืนสู่ท่าทีเย็นชาสูงส่งเหมือนปกติในทันที

เห็นท่าทางขององค์หญิงฉางเล่อกลับไปเป็นดังเดิม มู่เหลียนหรงก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ

มู่เหลียนหรงก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปหามู่ชิงเกอ ไม่ได้รู้สึกผิดเลยสักนิดที่ต้องไปทำร้ายฝันดีของใครเข้า “ไอ้เด็กบ้า กลางวันแสกๆ แบบนี้ยังจะมาแอบหลับอยู่ที่นี่ ดูชิว่า ใครมาหาเจ้า”

คำพูดนี้ก็มีความหมายแอบแฝงเช่นกัน

ประโยคนี้ทำให้นัยน์ตาของฉินอี้เหยาเปลี่ยนไป แต่สุดท้ายก็กลับเป็นเรียบเฉยดังเดิม

นางบอกกับตนเองในใจตลอดเวลาว่า ที่ตนเองมาเยือนจวนมู่ในวันนี้ก็เพราะได้รับคำสั่งจากเสด็จย่าให้มาถ่ายทอดพระเสาวนีย์เท่านั้น

มีคนมารบกวนฝันอันแสนหวาน ทำให้มู่ชิงเกอลืมตาขึ้นอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก

เมื่อนางลืมตาขึ้นใบหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ของมู่เหลียนหรงก็สะท้อนเข้าสู่ดวงตากระจ่างใสของนาง มู่เหลียนหรงอึ้งกับสายตาของมู่ชิงเกอ สายตาสุกใสแบบนี้เหมือนกับคนที่เพิ่งตื่นนอนเสียที่ไหนกัน?

“ท่านอา” มู่ชิงเกอลุกขึ้นยิ้มบางๆ ให้กับมู่เหลียนหรง

ตอนนี้เองนางจึงเพิ่งจะเห็นร่างอันสง่างามขององค์หญิงฉางเล่อที่ยืนอยู่ข้างประตูตำหนักผ่านไหล่ของมู่เหลียนหรง

นางเกิดมาพร้อมกับความสูงส่งแห่งราชวงค์ แม้อายุไม่มากแต่กลับมีรูปโฉมหยาดฟ้า อาภรณ์ไหมสีฟ้าทำให้นางยิ่งดูเยือกเย็น

มู่ชิงเกอกะพริบตา แล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “องค์หญิงก็เสด็จมาด้วย”

มู่เหลียนหรงเดินห่างออกไปเพื่อให้หนุ่มสาวทั้งสองคุยกันเอง

ในเมื่อมู่ชิงเกอเห็นนางแล้ว ฉินอี้เหยาเองก็ไม่ได้ขัดเขินอะไร ค่อยๆ เดินหน้าไปสองสามก้าวแล้วพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “เสด็จย่าให้ข้ามาเชิญท่านไปเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังคืนนี้”

งานเลี้ยงในวัง? เหตุใดนางต้องเข้าร่วมด้วย? มู่ชิงเกอมองหน้ามู่เหลียนหรงอย่างสงสัย มู่เหลียนหรงรู้ได้ในทันทีว่านางมีข้อสงสัย จึงยิ้มพร้อมพูดว่า “ข้ากับท่านปู่ก็จะไป”

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดยังต้องให้องค์หญิงฉางเล่อมาเชิญนางด้วยองค์เองแบบนี้ มู่ชิงเกอมองฉินอี้เหยาและเข้าใจจุดประสงค์ของไทเฮาในทันที

ดูเหมือนว่าหญิงชราผู้นี้กำลังคิดสร้างโอกาสในการบ่มเพาะความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาอยู่ตลอดเวลา

เพียงแต่ว่า…สุดท้าย เกรงว่าแผนการของหญิงชราผู้นี้ คงต้องสูญเปล่าเสียแล้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version