ตอนที่ 35
เข้าวัง ห้ามยั่วหญิงสาว
มู่ชิงเกอที่ถูกมู่เหลียนหรงบังคับให้ขึ้นรถม้าขององค์หญิงฉางเล่อไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดีในตอนนี้
อะไรคือการคลุมถุงชน นางเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว
โชคดีที่องค์หญิงฉางเล่อเหมือนจะไม่ค่อยเต็มใจนักกับงานแต่งงานครั้งนี้ เพราะฉะนั้นในรถม้าอันกว้างใหญ่ ทั้งสองจึงนั่งห่างกันมากและไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย ใช่ เท่าที่มู่ชิงเกอสังเกต องค์หญิงฉางเล่อจะต้องไม่เห็นชอบกับการแต่งงานครั้งนี้เป็นแน่
เพราะผู้หญิงปกติทั่วไปก็คงไม่หวังให้สามีเป็นผู้ชายเสเพลเจ้าชู้ เป็นคนที่ไร้ประโยชน์บุ๊นบู๊ไม่ได้สักอย่าง ถึงแม้ว่าจะได้รับขนานนามว่างดงามที่สุดในลั่วตู แต่ความงามนี้ก็ไม่อาจลบล้างความจริงที่ว่านางเป็นเพียงคนไร้ค่าไปได้
อีกอย่าง ได้ยินมาว่าองค์หญิงฉางเล่อเป็นองค์หญิงฟ้าประทานผู้โด่งดังแห่งแคว้นฉิน ไม่เพียงแต่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ยังมีความสามารถที่โดดเด่น ทั้งยังมีรูปโฉมงดงาม
ที่นี่เป็นโลกที่บูชานับถือพลังในการต่อสู้ หากไม่แข็งแกร่ง ก็จะเป็นอะไรไม่ได้เลย
มู่ชิงเกอเอาหัวพิงกับเสาบนรถม้าหลับตาแกล้งหลับ
ในวันนั้น ก่อนที่จะจากกัน นางถามชายหนุ่มที่ว่ากันว่าเก่งกาจที่สุดในหลินชวนอย่างไม่อายว่าจะมีเวทลึกลับใดที่จะสามารถปิดบังกระแสพลังและซ่อนเร้นไอการต่อสู้บนร่างนางได้บ้าง
และเขาก็ไม่ทำให้มู่ชิงเกอผิดหวังจริงๆ เขาบอกวิธีง่ายๆ แต่ได้ผลวิธีหนึ่งให้กับนาง ทำให้สามารถปิดบังระดับความสามารถของนางในตอนนี้เอาไว้ใด้ ตอนนี้ในสายตาของคนรอบข้าง นางก็ยังคงเป็นคนไร้ค่าที่ทำอะไรไม่เป็นเลยเช่นเดิม
นอกจากว่านางจะต้องต่อสู้กับใครสักคน จนทำให้กลิ่นอายของพลังเกิดขึ้น จึงจะทำให้คนอื่นๆ ล่วงรู้ระดับของนางได้
“ถึงแล้ว” เสียงแผ่วเบาที่เยือกเย็นเสียงหนึ่งดังขึ้นในรถม้า
มู่ชิงเกอค่อยๆ ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น เปิดผ้าม่านบนรถม้า แล้วมองออกไปข้างนอก ที่แท้ก็มาถึงหน้าประตูวังแล้ว
วันนี้งานเลี้ยงในวังคงไม่ใช่งานเล็กๆ ด้านนอกประตูวังก็มีชนชั้นสูงลูกท่านหลานเธอจำนวนไม่น้อยหยุดรถม้าเพื่อตรวจตราก่อนเข้าไปภายในวัง แต่รถม้าของฉินฉินอี้เหยาสามารถเข้าไปได้โดยไม่จำเป็นต้องมาจอดที่นี้ พอผ่านด่านตรวจตรงบริเวณประตูวัง รถม้าก็เข้าไปยังกำแพงเมืองที่สูงประมาณ 3 เมตร
เมื่อม่านรถถูกปล่อยลง มู่ชิงเกอก็หันมาถามว่า “งานเลี้ยงวันนี้เชิญคนใหญ่คนโตที่ใดมารึ?”
น้ำเสียงของนางไม่มีความเคารพอยู่เลยและเหมือนจะไม่เห็นองค์หญิงอยู่ในสายตา นี่อาจจะเป็น ‘อาการค้าง’ ของวิญญาณที่มาจากยุคปัจจุบันอย่างนาง แต่เมื่อยู่ในสาตาของฉินอี้เหยากลับยิ่งทำให้นางรู้สึกว่ามันเข้ากับชื่อเสียงจอมเสเพลของนางนัก
ไม่เรียน ไร้ความสามารถ ไร้มารยาท ไม่รู้จักที่ตํ่าที่สูง หยิ่งยโส มีเพียงเปลือกนอกที่งดงามแต่ข้างในนั้นว่างเปล่า..
ทันใดนั้นคำวิจารณ์ทั้งหมดที่คนภายนอกมีให้กับมู่ชิงเกอแห่งตระกูลมู่ก็ลอยเข้ามาในหัวของฉินอี้เหยา ฉินอี้เหยาพยายามเก็บอาการ แล้วพูดอย่างเยือกเย็น “มหาปราชญ์แห่งอาณาจักรเซิ่งหยวนมาเยือนแคว้นฉิน”
ที่แท้ก็เป็นเจ้านั่น!
สายตาของมู่ชิงเกอดูเปลี่ยนไป ในใจไม่ตื่นเต้นกับงานเลี้ยงในวังนี้อีกต่อไป
ในใจของนางปฏิเสธการจะต้องเจอกับไอ้เฒ่าตายยากนั่นเป็นอย่างมาก ความรังเกียจแบบนี้ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเพราะเขาเป็นกันเองกับนางเกินไปหรือเป็นเพราะทุกครั้งที่เจอกันเขามักจะเห็นตอนที่นางกำลังบาดเจ็บจนไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ และอาจจะเพราะว่านางรู้สึกว่าเวลาที่อยู่กับเขา ตัวนางเองเหมือนไม่สามารถเก็บความลับอะไรไว้ใด้เลย
“ข้าได้ยินมาว่า ระหว่างทางที่เจ้ากลับมาจากที่ราบลั่วรื่อ ได้พบกับองค์มหาปราชญ์หรือ? เขาเคยบอกว่าจะมาที่แคว้นฉิน มาเยี่ยมเจ้าที่ตระกูลมู่ใช่ไหม” เสียงของฉินอี้เหยาดังขึ้นอีกครั้ง
มู่ชิงเกอยักคิ้วมองนางมุมปากเผยรอยยิ้มมีเลศนัย ถามกลับว่า “แล้วองค์หญิงท่านคิดว่าเป็นอย่างไรเล่า?”
เหอะ ได้ยินมาว่า ได้ยินจากใครหรือ?
วันนั้น คนที่อยู่ในเหตุการณ์นอกจากทหารของมู่ซงก็มีแค่รุ่ยอ๋องฉินจิ่นห้าว และองค์หญิงฉางเล่อคนนี้ก็เป็นพี่น้องฝาแฝดกับรุ่ยอ๋องฉินจิ่นห้าว………………..
เกรงว่า คำถามเมื่อครู่นี้จะเป็นการมาสืบข่าวให้พี่ชาย
สายตาของมู่ชิงเกอฉายแววคมปลาบ
นางรู้ว่าคำพูดที่ไอ้แก่ตายยากนั้นทิ้งท้ายเอาไว้ต้องทำให้หลายคนเกิดคำถามและการที่ฉินอี้เหยาทำเป็นถามอย่างไม่ใส่ใจแบบนี้ มากสุดก็แค่อยากรู้ความจริง และอยากจะแอบสังเกตปฏิกิริยาของนาง ว่านางอาจจะมีความสัมพันธ์กับมหาปราชญ์แห่งอาณาจักรเซิ่งหยวน
“ถ้าเจ้าไม่อยากเล่า ก็ช่างเถอะ” ฉินอี้เหยาเม้มปากและหันหลังกลับไปและเงียบลงอีกครั้ง
ยอมแพ้ง่ายๆ แบบนี้เลยรึ?
มู่ชิงเกอรู้สึกแปลกใจ เมื่อสังเกตว่าฉินอี้เหยาไม่ได้พูดอะไรอีก นางถึงแอบคิดในใจว่า ช่างเป็นสายลับที่ขาด คณสมบัติเสียจริง
รถม้าขององค์หญิงเคลื่อนไปได้สักพักก็หยุดลงอีกครั้ง
“ลงรถเถอะ” ฉินอี้เหยาพูดอย่างเยือกเย็นและลงรถไปก่อน
มู่ชิงเกอเดินตามลงไป และเพิ่งสังเกตเห็นว่าพวกเขามาถึงสถานที่จัดงานเลี้ยงในวังแล้ว
งานเลี้ยงจัดขึ้นในศาลาที่อยู่ท่ามกลางดอกไม้แบบนี้ก็ แสดงว่าขุนนางทั่วไปก็สามารถเข้าได้ เพราะไม่ได้เป็นพื้นที่ตำหนักส่วนลึกในวัง
นางกำนัลและองครักษ์ฝ่ายในต่างก็เดินไปมาอยู่ในสวนดอกไม้ เพื่อจัดเตรียมของจำเป็นในงานเลี้ยง
ตอนนี้บริเวณที่มู่ชิงเกอยืน อีกไม่อีกก้าวก็จะถึงงานเลี้ยงแล้ว
ฉินอี้เหยาที่อยู่ในชุดสีฟ้าทั้งชุด เยือกเย็นราวกับเซียนนํ้าแข็ง พอพามู่ชิงเกอมาถึงที่ นางก็พูดนิ่งๆ ว่า “ข้าจะไปรายงานตัวกับเสด็จย่า คุณชายรออยู่ที่นี่สักครู่ อีกหนึ่งชั่วยามงานเลี้ยงจึงจะเริ่ม”
พูดจบฉินอี้เหยาก็พานางกำนัลของตนเองเดินจากไป
“…” มู่ชิงเกอเงยหน้าถอนหายใจ พูดเบาๆ ว่า “ยอมล่วงเกินบัณฑิตดีกว่าล่วงเกินคนตํ่าช้าและผู้หญิงจริงๆ”
ที่ไทเฮาให้องค์หญิงฉางเล่อไปรับนางเข้ามาในวัง เห็นได้ชัดว่าอยากให้ทั้งสองได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน ทำความรู้จักกัน ตอนอยู่บนรถม้า ตนเองทำให้องค์หญิงฉางเล่อปวดหัวไม่น้อย ตอนนี้เลยกรรมตามสนอง
กว่างานเลี้ยงจะเริ่มในอีกตั้งหนึ่งชั่วยาม นางต้องยืนตากลมอยู่ตรงนี้ มู่เกอมองไปรอบๆ ยังไม่มีแขกคนใดมาถึงเลย ชุดสีแดงราวกับพระอาทิตย์ที่ส่องแสงเจิดจ้า ดูสะดุดตาเป็นอย่างมาก
ช่างเถิด ตอนมาพระราชวังครั้งที่แล้วยังไม่ทันได้เดินเล่น ก็ถือโอกาสนี้ในการเดินดูรอบๆ แล้วกัน
คิดว่าองค์หญิงฉางเล่อผู้เพียบพร้อมไปด้วยความสามารถ ตอนที่จะทิ้งมู่ชิงเกอไว้ที่นี่ ก็คงจะคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าคนอย่างคุณชายตระกูลมู่มีหรือจะยอมยืนอยู่กับที่