ตอนที่ 410
เจ้าเรียกใครว่าน้องสาว
‘วังซานไห่? นางถึงกลับกล้าพบนางที่วังซานไห่! คิดว่าตนเองเป็นนายหญิงแห่งพระราชวังไท่ฮวงและดินแดนมารจริงๆ แล้วหรือ?’
เยี่ยนหย่าเดินอยู่ด้านหลังองครักษ์มารที่นำทาง พยายามฝืนยิ้มออกมา ท่าทางดูไร้ที่ติแต่ในใจกลับถูกความอิจฉาและโมโหก่อกวนจนบ้าคลั่ง
เยี่ยนหย่าสูดหายใจเข้าลึกๆ ยกมือขึ้นจัดเครื่องประดับติดผมของตนเอง แล้วก็พูดขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจว่า “ถึงจะพูดว่าพระชายามีครรภ์แล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ยังไม่ได้เข้าพิธีอภิเษก เข้าไปในวังซานไห่เช่นนี้ เกรงว่าจะโดนครหาจนกระทบกระเทือนจิตใจได้”
พูดแล้วนางก็ถอนหายใจแสดงความกังวลของตนเองออกมา
คำพูดนี้นางพูดกับองครักษ์มาร องครักษ์มารเป็นองครักษ์ที่ขึ้นตรงต่อซือมั่ว ได้รับความไว้วางใจมาก เพียงแค่ทำให้พวกเขาเกิดความไม่พอใจต่อมู่ชิงเกอ เมื่อ คำพูดหลุดลอยไปถึงซือมั่วก็สามารถสร้างความร้าวฉานระหว่างทั้งสองคนได้
เยี่ยนหย่าลอบคำนวณในใจ มุมปากเผยรอยยิ้มได้ใจออกมา
แต่หลังจากนางพูดจบแล้ว องครักษ์มารที่นำทางก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรเลย เหมือนกับไม่ได้ยินอย่างนั้น
สิ่งนี้ทำให้เยี่ยนหย่าลอบขมวดคิ้วขึ้น รู้สึกไม่พอใจมาก
นางพยายามข่มความโมโหในใจและปลอบใจตนเองว่า ‘พวกคนใช้ต่ำต้อยเหล่านี้กล้าเมินข้างั้นหรือ? รอให้ข้าได้เป็นนายหญิงของพวกเจ้าเมื่อไหร่จะสั่งสอนพวกเจ้าให้หนัก!’
เมื่อได้ปลอบตนเองเช่นนั้นแล้ว เยี่ยนหย่าก็รู้สึกดีขึ้นมาก นางเงยหน้าขึ้นมองเส้นทางไปยังวังซานไห่ เกิดความคิดขึ้นในใจ ‘องค์ราชาเป็นของนาง ของนางเท่านั้น! ในครั้งแรกที่นางได้พบกับองค์ราชา ก็ได้มอบใจให้เขาแล้ว นางจะยอมให้ผู้หญิงไร้ที่มาคนหนึ่งมาแย่งทุกอย่างของนางไปได้อย่างไร?’
ในใจของนางไม่ยอมเชื่อว่ามู่ชิงเกอนั้นเป็นคนรักของซือมั่ว
นางยอมที่จะเชื่อว่านางเป็นเพียงคนที่กู่หยาและกู่เย่หามาเพื่อสยบพวกสั่วเซิ่งสี่คนมากกว่า
‘ไม่ว่าเจ้าจะเป็นคนในใจของเขาหรือไม่ ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไปง่ายๆ’ เยียนหย่าตัดสินใจอย่างอำมหิต จากตำหนักจื่อเฉินไปจนถึงประตูวังซานไห่ไม่ถือว่าไกล มาก แต่ก็ไม่ใกล้
เยี่ยนหย่าคิดอะไรมากมาย แต่ในที่สุดก็สรุปออกมาได้ข้อหนึ่ง นั่นก็คือจะไม่ยอมให้ทุกอย่างที่เป็นของนางถูก ผู้หญิงคนอื่นแย่งไปได้
แต่นางกลับลืมไปว่าของเหล่านี้ไม่เคยเป็นของนางมาก่อน!
ที่เรียกว่าวังซานไห่ก็เพราะภายในตำหนักนั้นมีภาพภูเขาและทะเลอันสวยงามอยู่มากมาย
พูดกันว่าภาพจำลองของทะเลภูเขาเหล่านี้จำลองออกมาจากบรรยากาศของโลกใหญ่เล็กนับพัน ภายในวังซานไห่มีภาพภูเขาทะเลนับล้านภาพ ซึ่งล้วนแต่งดงาม เป็นหนึ่งไม่มีสอง
มู่ชิงเกอเข้าไปเป็นครั้งแรกก็ตกตะลึงกับภาพตรงหน้า
ภาพภูเขาทะเลเหล่านี้ไม่รู้ว่าทุ่มเทและใช้งบประมาณไปมากแค่ไหน เมื่อค่อยๆ ชมไป นางก็อดถามขึ้นในใจไม่ได้ ว่า ‘คนที่วาดรูปภูเขาทะเลเหล่านี้ได้เดินทางไปครบทุกโลกแล้วจริงๆ น่ะหรือ?’
ยังมีอีกอย่าง โลกเดิมของนาง โลกสีฟ้าใบนั้นอยู่ที่ไหน?
“ภาพภูเขาทะเลในวังซานไห่นั้นเป็นราชามารองค์แรกวาดขึ้น” กู่หยาเห็นมู่ชิงเกอสนใจมากจึงพูดอธิบาย “พูดกันว่าราชามารองค์แรกแห่งดินแดนมาร หลัง จากรวมเมืองมารให้เป็นหนึ่งแล้วก็สร้างพระราชวังไท่ฮวง แต่เดิมนั้นวังซานไห่ไม่ได้เรียกว่าวังซานไห่ แต่ต่อมาเขาได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงคนนั้นชอบท่องเที่ยวมาก ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะรักกัน แต่นางกลับไม่ยอมถูกขังไม่เห็นเดือนไม่เห็นตะวันอยู่ในพระราชวังไท่ฮวง เพื่อที่จะทำให้นางหวั่นไหว เขาจึงใช้เวลาเป็นหมื่นปีออกเดินทางท่องเที่ยวเป็นเพื่อนนาง จากนั้นก็ใช้เวลาอีกนับหมื่นปี วาดภาพทิวทัศน์ที่พวกเขาเคยไปและผู้หญิงคนนั้นชอบเอาไว้ในวัง และวังนั้นจึงถูกเปลี่ยนชื่อเป็นวังชานไห่ แต่ก่อนวันแต่งงานหนึ่งวันอยู่ดีๆ ผู้หญิงคนนั้นก็หายตัวไป องค์ราชาองค์แรกบ้าคลั่ง ส่งทหารมารออกไปตามหาทั่วสารทิศ ร้อยปีหลังจากนั้น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดองค์ราชามารองค์แรกก็มอบบัลลังก์ให้แก่น้องชายของตนเอง แล้วก็หายตัวไป นับแสนปีที่ผ่านมาไม่มีใครรู้ถึงร่องรอยของเขา และก็ไม่รู้ว่าเขาตายแล้วหรือยัง ส่วนวังซานไห่นี้ก็คงอยู่ต่อมาและกลายเป็นเกียรติยศสูงสุดของผู้หญิงในเมืองมาร เจ้านายของวังซานไห่ก็หมายถึงนายหญิงแห่งดินแดนมาร และก็แสดงถึงความรักขององค์ราชาและพระชายาองค์ก่อนด้วย”
เรื่องเล่าไม่ถือว่ายาว แต่มู่ชิงเกอก็ฟังออกถึงความซาบซึ้งใจในนั้น
นางไม่ได้ถามถึงเรื่องราวขององค์ราชามารองค์แรกและผู้หญิงคนนั้นต่อ เพราะนางรู้ว่าไม่ว่าเรื่องที่เล่าจะเป็นเช่นไร สิ่งที่เหลืออยู่ในวังซานไห่แห่งนี้ก็คือหลักฐานความรักระหว่างพวกเขา
มู่ชิงเกอกวาดตามองรอบหนึ่ง แล้วก็เอ่ยถามกู่หยาและกู่เย่ว่า “องค์ราชามารของพวกเจ้าช่างงมงายในรักนัก”
“ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เช่นองค์ราชาคนก่อนก็ไม่ใช่” กู่หยาพึมพำออกมาประโยคหนึ่ง
แต่กู่เย่ก็ลอบกระทุ้งเขาเล็กน้อยให้เขาสงบปาก
มู่ชิงเกอได้ยินก็ยิ้มบางๆ ไม่ได้ถามอะไรมาก ตอนที่ซือมั่วพานางไปที่ลั่วซิงเฉิงนั้นก็เคยเล่าเรื่องๆ หนึ่งให้นางฟัง ตอนนั้นนางก็เดาออกแล้วว่าคนในเรื่องก็คือมารดาของเขา เขาก็คือนายน้อยที่แท้จริงของลั่วซิงเฉิง
ตอนนี้คำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจของกู่หยาก็ยิ่งยืนยันถึงการคาดเดาของนาง
สายตาของมู่ชิงเกอมองไปยังเครื่องประดับตกแต่งของวังซานไห่ ทันใดนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “วังซานไห่ไม่มีคนอยู่มานานแค่ไหนแล้ว?”
“อย่างน้อยก็น่าจะสักหลายแสนปีแล้ว ตอนที่องค์ราชาคนก่อนยังอยู่ก็ไม่มีใครได้อยู่ที่นี่” กู่เย่อธิบายอย่างรวดเร็ว
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น คำตอบนี้ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจ
‘วังซานไห่! วังซานไห่! ที่นี่เป็นความปรากณาของผู้หญิงทุกคนในเมืองมาร คาดหวังจะได้อาศัยอยู่ในนั้น กลายเป็นนายหญิงแห่งวังซานไห่!’
เยี่ยนหย่าเชิดหน้ามองขึ้นไปยังพระตำหนักอันงดงาม หัวใจเต้นเร็วขึ้น
ความงามที่แท้จริงของวังซานไห่ เกรงว่ามีแต่เพียงคนที่อยู่ด้านในเท่านั้นถึงจะได้เห็น แม้จะเป็นนางที่เป็นเจ้าเมืองย่อยหญิงเพียงหนึ่งเดียวของดินแดนมาร ก็แค่เคยได้ยินเท่านั้นไม่เคยได้เห็นมาก่อน
ชั่ววินาทีนี้ หัวใจของนางก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา แต่เพียงพริบตาอารมณ์ของนางก็เยียบเย็นขึ้นมาทันที เพราะนางนึกขึ้นได้ว่าที่ตนเองได้เข้ามาชมความงดงามของวังซานไห่ด้วยตาของตนเองก็เพราะผู้หญิงอีกคน!
“เจ้าเมืองย่อยเยี่ยนหย่า โปรดรอตรงนี้ก่อน” องครักษ์มารที่นำทางเยี่ยนหย่ามาถึงด้านนอกประตูวังซานไห่หันกายมาพูดกับนาง
นอกวังซานไห่ มีองครักษ์มารเฝ้าอยู่เช่นเดียวกัน
ทั้งร่างกายของพวกเขาถูกปกคลุมไว้ในชุดเกราะสีดำ เหลือไว้แค่เพียงดวงตาที่ไร้ความรู้สึกคู่นั้น เกรงว่านอกจากองค์ราชาแล้วคงไม่มีใครรู้จักรูปลักษณ์ที่แท้จริงของพวกเขา
กู่หยาและกู่เย่เป็นข้อยกเว้น
เยี่ยนหย่าไม่ขัดพยักหน้าตกลง
แม้ว่าในใจของนางจะรู้สึกไม่สบายใจ คิดไม่ออกว่าเหตุใดนางจะต้องก้มหัวให้กับผู้หญิงที่มีที่มาไม่ชัดเจนคนนี้ด้วย
องครักษ์หันกายเข้าไปในวังซานไห่ เดินมาถึงตรงหน้าของมู่ชิงเกอแล้วรายงานว่าให้เยี่ยนหย่ารออยู่นอกวัง มู่ชิงเกอวางชาในมือลงยิ้มบางๆ “ให้นางรอก่อน” องครักษ์เงาเข้าใจความหมาย ถอยออกจากตัวตำหนัก กลับไปนอกประตูวังแล้วเอ่ยกับเยี่ยนหย่าว่า “เจ้าเมืองย่อยเยี่ยนหย่า พระชายากำลังพักผ่อน ท่านจะรอต่อ หรือจะกลับไปก่อน?”
‘หญิงสารเลวผู้นี้ถึงกับกล้านอนอยู่!’ นัยน์ตาของเยี่ยนหย่าฉายแววดุดัน แต่นางก็รีบควบคุมอารมณ์ของตนเอง เผยรอยยิ้มสมบูรณ์แบบออกมา “ในเมื่อพระชายา กำลังพักผ่อนอยู่ เช่นนั้นข้าก็จะไม่เข้าไปรบกวน จะรอเข้าเฝ้าตรงนี้”
วันนี้นางจะต้องพบผู้หญิงคนนั้นให้ได้!
องครักษ์มารไม่ได้ขัดขวาง หลังจากบอกข่าวแล้วก็ถอยกลับไป
เยี่ยนหย่ารอจนไม่เห็นเงาร่างขององครักษ์เงาแล้ว ถึงได้เก็บรอยยิ้มที่มุมปากกลับไป
การรอคอยนี้เกือบจะเป็นเวลาหนึ่งวัน
เยี่ยนหย่ายืนจนขาชา ลอบใช้พลังมารนวดสองเท้าที่แข็งทื่อ นางมองไปที่วังซานไห่อย่างแค้นเคือง นางคิดจะยอมแพ้แล้ว นับตั้งแต่เล็กจนโตนางไหนเลยจะต้องรอคอยเช่นนี้มาก่อน?
แต่ในตอนที่นางจะยอมแพ้นั้น องครักษ์มารก็ปรากฎตัวขึ้นอีกครั้ง “เจ้าเมืองย่อยเยี่ยนหย่า พระชายาตื่นแล้ว เมื่อได้ยินว่าท่านยังรอเข้าเฝ้าอยู่จึงให้ข้ามาตามเข้าไป ในตำหนัก”
เยี่ยนหย่าลอบถอนหายใจ เผยรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง เอ่ยกับองครักษ์มารอย่างมีมารยาทว่า “รบกวนแล้ว”
องครักษ์มารยังคงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ หันกายไปนำทาง
ในที่สุดเยี่ยนหย่าก็ได้เข้าไปในวังซานไห่ วังซานไห่ในตำนานปรากฎขึ้นตรงหน้าของนาง นางมองเห็นภาพภูเขาทะเลในตำนาน ทุกๆ ภาพล้วนแต่ทำให้นางรู้สึกหลงใหล ภาพเหล่านี้มีอายุนับแสนปีแต่ยังคงดูสดใสเหมือนใหม่
เมื่อนางเดินเข้าไปในนั้นก็รู้สึกเหมือนว่าภาพเหล่านี้วาดขึ้นเพื่อนาง ทำให้นางรู้สึกมีความสุข
‘ข้าจะต้องอยู่ที่นี่ให้ได้! จะต้องเป็นนายหญิงของวังซานไห่ให้ได้! จะต้องเป็นผู้หญิงที่ผู้คนอิจฉาและเคารพที่สุดในดินแดนมาร! จะต้องเป็นพระชายาเอกเพียงคนเดียวขององค์ราชาให้ได้!’ เยียนหย่าพูดกับตนเองในใจ ดวงตาของนางฉายแววมุ่งมาดปรารถณา
องครักษ์มารพานางไปยังตรงหน้าของมู่ชิงเกอ
เยี่ยนหย่ามองออกไปก็พบผู้หญิงที่นางอิจฉาเอนตัวนอนอยู่บนเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน บนโต๊ะด้านข้างมีผลไม้และของว่าง ด้านหลังของนางมีกู่หยาและกู่เย่ยืนคุ้ม ครองอยู่ไม่ห่าง
ดูเหมือนกับว่านางต่างหากถึงจะเป็นนายหญิงของวังซานไห่!
ส่วนตนเองก็เป็นเพียงแค่คนมาเยี่ยมเท่านั้น!
ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เยี่ยนหย่ารู้สึกไม่พอใจมาก เกิดความอิจฉาและบ้าคลั่งขึ้นมา
เยี่ยนหย่าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ให้อารมณ์สงบแล้วถึงได้ทำความเคารพต่อมู่ชิงเกอ “เยี่ยนหย่าคารวะพระชายา”
คำว่า ‘พระชายา’ นี้นางไม่อยากจะพูดออกไปแต่ก็ไม่สามารถไม่พูดได้
“เจ้าเมืองย่อยเยี่ยนหย่าเกรงใจไปแล้ว เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไร? ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าเจ้ามาจึงจะสั่งให้คนนำเจ้าเข้ามา แต่กลับไม่คิดว่าจะถูกความง่วงจู่โจม…เจ้าก็รู้ ว่าคนที่มีครรภ์มักจะเหนื่อยง่าย ดังนั้นจึงหลับไปโดยไม่ตั้งใจ จนกระทั่งเมื่อครู่ถึงได้ตื่นขึ้นมา รับรองช้าไปแล้ว” เสียงของมู่ชิงเกอแฝงความเกียจคร้านและไม่ใส่ใจ
กู่หยาและกู่เย่ลอบหัวเราะอยู่ด้านหลัง หยิกเนื้อที่ต้นขาของตนเองอย่างแรง
คำพูดของมู่ชิงเกอทำให้รอยยิ้มที่มุมปากของเยี่ยนหย่าหายไป นางจิกเล็บเข้าไปในฝ่ามือจนทิ้งรอยแดงเอาไว้
“น้องสาวไม่จำเป็นต้องใส่ใจ” เยี่ยนหย่าพูดออกมา และเมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปใน ทันทีลอบเอ่ยในใจว่า ‘แย่แล้ว!’
มู่ชิงเกอหรี่ตาลง คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าเรียกใครว่าน้องสาว?”