Skip to content

พลิกปฐพี 420

ตอนที่ 420

ยังมีใครไม่ยอมอีก

นางไม่ได้ขอพักผ่อนเลยเมื่อมาถึงแม่นํ้าเมิ่งหลาน และก็ไม่ได้แสดงท่าทีไม่คุ้นเคย สิ่งนี้ทำให้ชิงเจ๋อ หลิงจิวแล้วก็ยังมีหยวนฟงสามคนรู้สึกแปลกใจ

เพียงประโยคแรกก็ถามถึงสถานการณ์การรบแล้ว ยิ่งทำให้พวกเขาประหลาดใจมากขึ้นไปอีก

“พาข้าไปกระโจมวางกลยุทธ์ เดินไปพูดไป” มู่ชิงเกอพูดออกมาตรงๆ อารมณ์บนใบหน้าของนางได้หลอมรวมเข้าไปในการศึกแล้ว ไม่มีความรู้สึกเขินอายหรือไม่หมาะสมเลยสักนิด

หยวนฟงชะงักแล้วก็รีบนำทาง “พระชายา เชิญทางนี้”

มู่ชิงเกอตามไป กู่หยาและกู่เย่ก็ตามมาอยู่ด้านหลัง

สั่วเซิ่งและเซ่อฉินสบตากันแวบหนึ่งแล้วก็ตามไป

ชิงเจ๋อคิดเองก็จะตามไปด้วย แต่กลับถูกหลิงคิวดึงแขนเสื้อเอาไว้ เขาหันกลับมามองหลิงจิว

หลิงจิวมองแผ่นหลังมู่ชิงเกออย่างแปลกใจ พึมพำว่า “นางรู้จริงๆ หรือว่าเสแสร้งกันแน่?”

มุมปากของชิงเจ๋อกระตุก ดึงแขนเสื้อของตนเองกลับมา “ไม่สนว่าจะเสแสร้งหรือไม่ สรุปแล้วการศึกในครั้งนี้ต้องชนะทั้งยังต้องคุ้มครองพระชายา”

หลิงจิวส่ายหน้าถอนหายใจ “ที่ลำบากมากที่สุดก็คือเรื่องนี้! ต่อสู้กับเผ่าอี้ก็ถือว่าแล้วไป แต่ยังต้องทำให้เห็นว่านางนำทัพได้ดีถึงได้รบชนะอีก”

“เจ้าได้ข่าวจากพระราชวังไท่ฮวงแล้วนี่? พระชายาผู้นี้ไม่ธรรมดา” ชิงเจ๋อพูดอย่างสงบนิ่ง

สีหน้าของหลิงลิวแข็งค้างไป พยักหน้าอย่างจริงจัง “ทำให้ข้าแปลกใจจริงๆ”

ตอนที่พวกมู่ชิงเกอออกเดินทางนั้น ชิงเหยียนได้ส่งสาล์นลับมาบอกพวกเขาแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะการชื่นชมของชิงเหยียนในสาล์นลับทำให้พวกเขารู้สึกว่ามู่ชิงเกอไม่ธรรมดาขึ้นมา

แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็ยังไม่เชื่อว่ามู่ชิงเกอจะสามารถนำทัพออกศึกได้

พวกเขากังวลใจว่ามู่ชิงเกอจะไม่เข้าใจสัญลักษณ์และสัญญาณลับที่ใช้ในกองทัพ

ทั้งสองคนพูดคุยกันครู่หนึ่งแล้วก็ตามไป

เมื่อทั้งสองคนเข้ามาในกระโจมวางกลยุทธ์แล้ว ก็เห็นมู่ชิงเกอนั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธาน ส่วนหยวนฟงก็มองมาทางพวกเขาด้วยสีหน้าที่ดูอึดอัด ดูเหมือนกำลังถามว่า ‘พระชายาผู้นี้จะนำทัพได้ไหม?’

ชิงเจ๋อส่งสายตาให้เขาไม่ต้องเป็นกังวล แล้วเดินไปข้างกายมู่ชิงเกอ

หลิงจิวก็ยิ้มออกมาเดินไปนงยังที่นั่งของตนเอง

เมื่อชิงเจ๋อมาถึงด้านข้างของมู่ชิงเกอก็มองเห็นนางกำลังพลิกดูบันทึกประจำวันของกองทัพ ของเหล่านี้ล้วนแต่ใช้อักษรลับเขียนขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูเข้าใจหากได้ไป

เนื้อหาที่ซ่อนอยู่ในนั้นล้วนแต่เป็นสถานการณ์ประจำวัน จำนวนคนบาดเจ็บล้มตาย จำนวนเสบียงรวมถึงข้อมูลสถิติอื่นๆ

ของเหล่านี้นั้นแต่เดิมสั่วเซิ่งและเซ่อฉินก็ต้องการจะดู กลับคิดไม่ถึงว่ามู่ชิงเกอจะแย่งรับจากมือของหยวนฟงไปก่อน

เมื่อคิดไปถึงแผนการที่ทั้งสองคนวางไว้ระหว่างทางแล้ว ทั้งสองคนจึงไม่ได้คัดค้าน เพียงแต่มองมู่ชิงเกออย่างเยาะเย้ย

‘นางเข้าใจงั้นหรือ?’ ชิงเจ๋อแปลกใจ

เขาคิดจะลอบถ่ายทอดเสียงเตือนมู่ชิงเกอเพื่อไม่ให้นางต้องอับอายต่อหน้าทุกคน แต่กลับพบว่านางดูจริงจังมากเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่บันทึกไว้จริงๆ

ชิงเจ๋อลอบมองไปยังกู่หยาที่ยืนอยู่ด้านหลังมู่ชิงเกอ แต่อีกฝ่ายกลับส่งสายตาเหมือน ‘ได้ใจ’ กลับมาให้

คุณชายจะอ่านบันทึกประจำวันของกองทัพไม่เข้าใจได้อย่างไร? ล้อเล่นอะไรกัน!

ตลอดเส้นทางมาคุณชายก็ได้เรียนรู้สัญญาณและอักษรลับในกองทัพมารจากพวกเขาแล้ว เพียงพูดรอบเดียว นางก็จำได้ เมื่อรวมกับประสบการณ์การออกศึกของนางแล้ว บันทึกประจำวันของกองทัพจะไปยากอะไร? กู่หยาไม่ได้อธิบายให้ชิงเจ๋อฟังอย่างชัดเจน เพราะเขากับกู่เย่พบว่าสีหน้าที่พวกเขาใช้มองคุณชายนั้นน่าสนใจมาก!

หลังจากมู่ชิงเกออ่านบันทึกประจำวันจบ นางก็วางเอาไว้บนโต๊ะ มือของนางกดลงบนบันทึกประจำวันแล้ว เคาะเบาๆ ดูเหมือนไม่ได้คิดจะให้ใครดู

นางเม้มริมฝีปาก มองลงไปบนกระบะทรายบนโต๊ะ บนนั้นมีภูมิประเทศโดยรอบของแม่นํ้าเมิ่งหลานและสถานการณ์ปัจจุบันของสองกองทัพ

วันนี้เผ่าอี้ยังไม่ได้บุกเข้าโจมตีทำให้ดูผิดปกติไปบ้าง ท่าทางนิ่งเงียบครุ่นคิดของนางกลับทำให้คนอื่นคิดว่า นางเสแสร้งแกล้งทำ สั่วเซิ่งกับเซ่อฉินสบตากันแวบหนึ่ง ลอบหัวเราะเยาะในใจ

‘ดูเถอะ จะต้องอ่านไม่ออกอย่างแน่นอน แต่ยังไม่ยอมเสียหน้าจึงมาเสแสร้งอยู่ที่นี่’

‘ไม่เป็นไร พวกเรารอดูความสนุกก็พอ’

ทั้งสองหัวเราะในใจ

หลิงจิวขมวดคิ้วร้อนใจ พยายามส่งสายตาไปให้ชิงเจ๋อ

แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าให้เขาไม่ต้องกังวล

อีกครู่หนึ่งผ่านไป ชิงเจ๋อเห็นมู่ชิงเกอไม่พูดอะไรก็เริ่มกังวลใจขึ้นมา

ขณะที่กำลังคิดจะพูดหาทางลงให้มู่ชิงเกอ นางก็พูดขึ้นมาในทันทีว่า

“หยวนฟง สายสืบที่ส่งออกไปวันนี้กลับมาหรือยัง?”

หือ?

หือ หือ?!

คำถามที่มู่ชิงเกอถามออกมานี้ทำให้ทุกคนตะลึง

ใบหน้าของหยวนฟงเต็มไปด้วยความแปลกใจ ชิงเจ๋อกับหลิงจิวก็ตะลึง

หลิงจิวมองชิงเจ๋อแล้วถ่ายทอดเสียงไปถามว่า ‘เจ้าบอกพระชายาหรือว่าวันนี้พวกเราส่งสายสืบออกไป?’

ชิงเจ๋อข่มอาการตะลึงลงแล้วค่อยๆ ส่ายหน้า

หากไม่ใช่เขาเป็นคนบอกและมู่ชิงเกอก็ไม่ได้ใกล้ชิดกับคนอื่น แล้วนางรู้ได้อย่างไร?

หยวนฟงพูดอย่างแปลกใจว่า “รายงานพระชายา พวกเขายังไม่ทันได้กลับมา แต่ว่า…พระชายาเพิ่งมาถึงที่นี่ แล้วรู้ได้อย่างไรว่าข้าน้อยได้ส่งคนออกไปยังแม่นํ้าฝั่ง ตรงข้ามเพื่อสืบข่าว?”

เรื่องนี้ไม่ได้เขียนไว้บนบันทึกประจำวัน

มู่ชิงเกอเคาะนิ้วบนบันทึกประจำวันเบาๆ พูดขึ้นว่า “เปิดศึกมาหลายวัน ทุกๆ วันเผ่าอี้จะบุกโจมตีตอนเช้า เวลาก็พอดีกับก่อนที่พวกเรามาถึง แต่หลังจากพวกเรา มาถึงแล้วกลับไม่มีร่องรอยของการผ่านศึก นี่ก็หมายความว่าวันนี้ไม่มีการต่อสู้ ดูผิดปกติไม่เหมือนกับทุกวัน เจ้าผู้เป็นแม่ทัพหากว่าไม่สงสัยส่งสายสืบออกไปสืบ ข้าก็คงต้องสงสัยว่าเจ้าได้ตำแหน่งนี้มาได้อย่างไรแล้ว”

พูดแล้วนางก็มองไปยังหยวนฟง

เมื่อถูกนางจ้องมองหยวนฟงก็รู้สึกตะลึงในใจ ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น แต่คนอื่นๆ ก็อ้าปากค้างมองดูมู่ชิงเกอเช่นเดียวกัน ถูกคำพูดนี้ของนางทำให้ชะงักไป

นี่ดูเหมือนคนที่ไม่รู้เรื่องการศึกอย่างนั้นหรือ?

ดูเหมือนพระชายาที่มาเล่นสนุกอย่างนั้นหรือ?

ดูเหมือนพระชายาที่เอาแต่ใจตัวเองอย่างนั้นหรือ?

เพียงแค่บันทึกประจำวันเล่มเดียวก็สามารถมองความแตกต่างออกแล้ว ผู้นำทัพธรรมดาก็ยังหาได้ยากที่จะมีความสามารถนี้?

กู่หยาและกู่เย่เห็นทุกคนตกตะลึงแล้วก็พอใจมากจนปัดเป่าความมืดมนที่หาซือมั่วไม่พบออกไปได้ พวกเขาชอบเห็นมู่ชิงเกอตบหน้าคนด้วยสีหน้านิ่งๆ เช่นนี้!

มู่ชิงเกอไม่สนใจสีหน้าของแต่ละคน ถามต่อว่า “เจ้าส่งคนออกไปเมื่อไหร่?”

หยวนฟงได้สติขึ้นมาจึงเอ่ยตอบในทันทีว่า “ครึ่งชั่วยามก่อน”

คำตอบนี้ทำให้มู่ชิงเกอหลุบตาลงอย่างเศร้าใจ ค่อยๆ ส่ายหน้าแล้วเอ่ยกับหยวนฟงว่า “ส่งคนไปรับพวกเขากลับมาเถอะ”

“เอ๋?” หยวนฟงมึนงง

ชิงเจ๋อกลับตอบสนองในทันที เอ่ยเตือนหยวนฟงว่า “รีบส่งคนออกไปริมฝั่งรับพวกเขา หากพวกเขา…กลับมาก็รีบพากลับมา ห้ามให้เกิดเรื่อง”

หยวนฟงพยักหน้าแล้วก็วิ่งออกไปจากกระโจมกลยุทธ์อย่างรวดเร็ว หลังจากเขาออกไปแล้ว ชิงเจ๋อก็มองมู่ชิงเกอด้วยนัยน์ตาที่ดูพิเศษ ตอนนี้เขายอมรับในคำพูดที่พี่ชายพูดในสาล์นลับแล้ว พระชายาผู้นี้ของพวกเขาไม่ธรรมดา!

มู่ชิงเกอค่อยๆ ยืนขึ้นมา แล้วก็มองไปยังเจ้าเมืองย่อยทั้งสี่แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “นับตั้งแต่การศึกครั้งแรก ฝ่ายตรงข้ามล้วนแต่ลองเชิงมาโดยตลอด ทุกครั้งก็ส่ง ทหารออกมาเพียงหลักพัน แต่ทัพใหญ่นับแสนกลับหยุดอยู่ที่ริมแม่นํ้าไม่เคลื่อนที่ แต่วันนี้ไม่มีการลองเชิง พวกเจ้าคิดว่าพวกมันกำลังรออะไร?”

รออะไร?

หลิงจิวและชิงเจ๋อขมวดคิ้วพร้อมกัน ปัญหานี้พวกเขาก็ครุ่นคิดมาก่อนแต่ก็ยังหาคำตอบไม่เจอ เผ่าอี้คิดจะทำอะไรนั้นพวกเขาไม่เข้าใจจริงๆ!

ส่วนสั่วเซิ่งและเซ่อฉินเพิ่งจะมาถึงก็ยิ่งไม่รู้อะไรเลย

มู่ชิงเกอพูดต่อว่า “ก่อนจะมาข้าได้อ่านรายงานการศึกระหว่างพวกเจ้าและเผ่าอี้ ในนั้นระบุว่าเผ่าอี้มักจะบุกโจมตีเป็นช่วงสั้นๆ เท่านั้น พวกมันเหมือนกับสัตว์ป่าที่หลังจากบุกโจมตีแล้วก็จะฆ่าแย่งเสบียงกลับไป แต่ที่สำคัญก็คือทุกๆ ครั้งที่พวกมันบุกโจมตีล้วนแต่เป็นจันทรุปราคา ส่วนตอนนี้พระจันทร์เต็มดวงอยู่ พวกมันมาล่วงหน้าถึงสี่เดือนเต็ม นี่เพื่ออะไร?”

“นี่…”

เมื่อสองคำถามถูกถามออกมาทำให้บรรยากาศในกระโจมกลยุทธ์ตึงเครียดขึ้นมา

ก่อนหน้านี้หลิงจิวและชิงเจ๋อไม่ได้สังเกตถึงช่วงเวลาในการต่อสู้ว่าผิดปกติ ตอนนี้เมื่อได้มู่ชิงเกอเตือนขึ้นมาถึงได้พบว่าการบุกโจมตีของเผ่าอี้ในครั้งนี้นั้นแปลกไป

“หรือพวกมันมีแผนการอะไรอื่นอีก? หรือไม่ก็มีจุดมุ่งหมายอื่น?” เซ่อฉินขมวดคิ้วเอ่ยออกมา

“ไร้สาระ!” หลิงจิวด่าออกไป

สีหน้าของเซ่อฉินดำทะมึนกำลังจะระเบิดอารมณ์แต่ชิงเจ๋อก็ขัดจังหวะได้ทัน “เรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้ว แต่ปัญหาในตอนนี้ก็คือเผ่าอี้มีจุดมุ่งหมายอะไร? เพียงแค่รู้ถึงจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของพวกมัน พวกเราถึงจะสามารถชนะได้”

“เรื่องนี้…ใครจะรู้?” สั่วเซิ่งพูดอย่างหนักใจ

มู่ชิงเกอเคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบาๆ ค่อยๆ พูดขึ้นว่า “พวกเจ้าลองคิดๆ ดูว่ามีอะไรที่คุ้มค่าให้เผ่าอี้ทำเช่นนี้?”

นางไม่ค่อยคุ้นเคยกับเผ่าอี้ ทั้งการศึกในครั้งนี้ก็มาอย่างเร่งรีบมาก นางเตรียมตัวทำการบ้านมาไม่ทัน ดังนั้นจำเป็นต้องอาศัยบรรดาเจ้าเมืองย่อยที่เคยต่อสู้กับเผ่าอี้ แต่ตอนนี้ดูจากท่าทีแล้วคงจะหาคำตอบออกมาไม่ได้ในเร็วๆ นี้

มู่ชิงเกอส่ายหน้าอย่างผิดหวัง มองลงไปบนกระบะทรายตรงหน้าต่อ

“พระชายา!” ทันใดนั้น ด้านนอกก็มีเสียงร้องอย่างตกใจของหยวนฟงดังเข้ามา

มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นแล้วก็มองเห็นหยวนฟงเดินเข้ามา เพียงแค่เขาเข้ามาถึงก็คุกเข่าลงตรงหน้าของมู่ชิงเกอด้วยสีหน้าที่ย่ำแย่

“พวกเขาถูกเผ่าอี้ฆ่าตายอย่างสยดสยอง!”

คำพูดของหยวนฟงแฝงไปด้วยความเจ็บปวดเพราะบรรดาทหารที่ตายไปล้วนแต่เป็นลูกน้องของเขา

“หยวนฟงพูดให้ชัดเจนหน่อย” หลิงจิวขมวดคิ้วเอ่ยออกมา

หยวนฟงกัดฟันแล้วถึงเอ่ยว่า “ข้าทำตามคำสั่งของพระชายาส่งคนออกไปรับพวกเขา คนที่ไปเพิ่งจะถึงแม่นํ้า เมิ่งหลานก็เห็นว่ามีของอะไรลอยมา เมื่อเข้าไปดูถึงได้ พบว่าเป็นพี่น้องที่ส่งออกไปสืบข่าวตอนเช้า พวกเดรัจฉานเหล่านั้นไม่เหลือซากที่สมบูรณ์ไว้เลย!”

พูดแล้วกลิ่นอายของเขาก็แฝงไปด้วยไอสังหาร

คนในกระโจมกลยุทธ์สีหน้าเปลี่ยนไปในทันที

มู่ชิงเกอพูดอย่างเย็นชาว่า “ซากศพของพวกเขาอยู่ที่ไหน?”

หยวนฟงเงยหน้ามองนางแล้วตอบว่า “อยู่ด้านนอก”

มู่ชิงเกอก้าวยาวๆ ออกไปด้านนอกทันที เพียงแค่นางขยับคนอื่นๆ ก็ตามมา ตอนนี้พวกเขาได้ลืมความสงสัยและไม่ยินยอมไปหมดแล้ว ทั้งยังถูกการเคลื่อนไหวของ มู่ชิงเกอดึงดูดโดยไม่รู้ตัว

เพิ่งจะเดินออกไปถึงด้านนอกประตู ชิงเจ๋อก็ขวางตรงหน้าของมู่ชิงเกอแล้วพูดด้วยลีหน้าที่ดูเคร่งขรึมว่า “พระชายา ตอนนี้ท่านตั้งครรภ์อยู่ อย่าดูเลย”

แต่มู่ชิงเกอกลับเดินอ้อมเขา ไปด้านหน้าซากศพที่ถูกปกคลุมด้วยผ้าสีขาวแล้วก็ดึงผ้าสีขาวออก

อุบ!

เมื่อเห็นฉากสยดสยองนองเลือด แม้แต่หลิงจิวก็อยากอาเจียนขึ้นมา

แต่มู่ชิงเกอกลับไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เลย ค่อยๆ ก้มลงไปตรวจซากศพอย่างละเอียด…ไม่ใช่สิ น่าจะพูดว่าเศษชิ้นส่วนซากศพมากกว่า!

หลิงจีวกุมปากแน่นชี้ไปที่แผ่นหลังของมู่ชิงเกอ แล้วเบิกตากว้างมองชิงเจ๋อเหมือนกำลังพูดว่า ‘นาง นาง นาง…สงบนิ่งถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน?’

ชิงเจ๋อก็พยายามข่มกลั้นความรู้สึกไม่สบายในลำคอแล้วส่ายหน้า

เขามองไปทางสั่วเซิ่งและเซ่อฉิน แล้วก็ยังมีกู่หยาและกู่เย่ สีหน้าของพวกเขาก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ แม้พวกเขาจะเป็นเผ่ามาร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะชอบฉากสยดสยองนองเลือด?

ฉากสยดสยองนองเลือดเช่นนี้ทำให้พวกเขารู้สึกไม่ค่อยสบายตัวนัก

ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยเห็นซากศพ แต่ซากศพที่เคยพบไม่ได้ทำให้คนรู้สึกอยากอาเจียนเช่นนี้! ซากศพเหล่านี้ เปลี่ยนเป็นเศษชิ้นส่วนจนแยกไม่ออกว่าใครเป็นใครอีก ทั้งยังถูกแช่อยู่ในนํ้าทำให้มีแมลงซากศพปรากฎขึ้นเร็วกว่าที่ควร…

ชายฉกรรจ์หลายคนล้วนแต่ทนไม่ไหว มีเพียงแค่มู่ชิงเกอที่ก้มอยู่ข้างซากศพอย่างสงบ…ตรวจสอบชิ้นส่วนเนื้อตรงหน้าอย่างละเอียด ฉากนี้ช่างดู…

กลิ่นที่ยากจะทานทนทำให้หลิงจิวมองไปยังมู่ชิงเกอ อย่างนับถือ

ส่วนสายตาของคนอื่นๆ ก็ไม่ต่างกันมากนัก

“พวกเขาถูกกัดจนตายทั้งเป็น” ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็คลุมผ้าสีขาวเอาไว้ดังเดิมแล้วยืนขึ้น

“อะไรนะ?” หยวนฟงตะลึง

‘ทั้งเป็น!’

เจ้าเมืองย่อยทั้งสี่คนมองนางอย่างตกใจ กู่หยาและกู่เย่ สบตากัน ท่าทางดูเคร่งเครียดมาก

มู่ชิงเกอพูดต่อว่า “บนชิ้นส่วนที่ฉีกขาดยังมีรอยฟันอยู่ อีกทั้งรอยแผลก็ไม่เรียบ ส่วนมากล้วนแต่ถูกฉีกขาด…”

พูดไปนางก็ขมวดคิ้วขึ้นมา เหตุใดนางถึงรู้สึกว่ารอยฟันเหล่านี้มันคุ้นๆ?

นางค่อยๆ คิดแล้วพึมพำออกมาว่า “แมลงซากศพเหล่านี้…”

ขณะที่นางไม่เข้าใจว่าทำไมบนซากศพที่เพิ่งตายถึงมีแมลงซากศพปรากฏขึ้น

ชิงเจ๋อก็พูดว่า “หากพวกเขาถูกเผ่าอี้กัดตายจริงๆ แมลงเหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องเหนือ ความคาดหมาย”

มู่ชิงเกอเลิกคิ้วมองเขา

ชิงเจ๋ออธิบายว่า “หากเป็นศพที่ถูกเผ่าอี้กัดจะมีแมลงซากศพปรากฎขึ้นอย่างรวดเร็ว”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version