ตอนที่ 419
สนามรบเมืองมาร
มู่ชิงเกอ ยิ้มเย็นอยู่ในใจ
ทหารมารทั้งหนึ่งแสนสองหมื่นตรงหน้าล้วนแต่เป็นลูกน้องของสั่วเซิ่งและเซ่อฉิน นางไม่สามารถสั่งการพวกเขาได้เลยแม้แต่คำเดียว ทำได้เพียงแต่ทำให้พวกเขายอมรับเท่านั้น
ดังนั้นนางจึงขี้เกียจจะพูด ปล่อยให้ความจริงเป็นคนพูดจะดีกว่า
“เจ้าเมืองย่อยสั่วเซิ่ง เจ้าเมืองย่อยเซ่อฉิน ข้ามีหน้าที่ที่สำคัญมากเรื่องหนึ่งจะมอบหมายให้พวกเจ้า” ทันใดนั้น มู่ชิงเกอก็เปลี่ยนประเด็น นํ้าเสียงดูจริงใจขึ้นหลายส่วน
“พระชายาเชิญพูด” สั่วเซิ่งข่มความโกรธในใจแล้วพูดเสียงทุ้ม
เขาไม่ตอแยมู่ชิงเกอต่อเพราะถึงอย่างไรหลังจากศึกครั้งนี้แล้ว ทหารของเขาก็ยังคงเชื่อฟังเขาอยู่ดี จะไปสนใจพระชายาที่ไม่รู้เรื่องอะไรได้อย่างไร?
มู่ชิงเกอยิ้มกว้างพูดว่า “หน้าที่สำคัญนี้เกี่ยวพันถึงความปลอดภัยขององค์ทายาท นอกจากเจ้าเมืองย่อยสั่วเซิ่งและเจ้าเมืองย่อยเซ่อฉินแล้วข้าก็ไม่ไว้ใจในความ สามารถของคนอื่น”
มู่ชิงเกอค่อยๆ พูดออกมา แต่สั่วเซิ่งกับเซ่อฉินกลับรู้สึกไม่ดีขึ้นมา ในตอนที่ทั้งสองคนกำลังครุ่นคิดถึงความไม่สบายใจอยู่นั้น มู่ชิงเกอก็พูดต่อและเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาโกรธจนแทบอยากจะกระอักเลือด
“ดังนั้นข้าจึงมอบความปลอดภัยของข้าให้แก่ทั้งสองท่าน ขอให้ทั้งสองท่านคุ้มครองข้าให้ดี” มู่ชิงเกอพูดยิ้มๆ
สั่วเซิ่งกับเซ่อฉินเบิกตากว้างมองนาง เหมือนถูกโจมตีเข้าที่ใจ
“แค่ก” ชิงเหยียนอดหัวเราะไม่อยู่ ไอออกมาเบาๆ หัน ไปมองทางจี่ฝู
จี่ฝูเข้าใจในพริบตา
‘ทำไมพระชายาถึงพูดว่าจะไม่มอบโอกาสให้พวกเขาได้วางแผนร้าย!’ นัยน์ตาของเขาฉายแวววาววาบ มุมปากโค้งยิ้มขึ้นอย่างเงียบๆ เขาเริ่มที่จะนับถือพระชายาผู้นี้ขึ้นมาเสียแล้ว
“เจ้าว่านางเป็นผู้หญิงขององค์ราชาจริงไหม?” ทันใดนั้นชิงเหยียนก็กระซิบที่ข้างหูของจี่ฝู
จี่ฝูหันไปมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
ชิงเหยียนหัวเราะขึ้นมา นัยน์ตาฉายแววชื่นชม ไฝใต้ตาของเขาดูมีเสน่ห์มากขึ้น “ตอนนี้ข้าหวังจะให้นางเป็นเพียงผู้หญิงที่กู่หยาและกู่เย่หามาตบตาจริงๆ ไม่ใช่ ผู้หญิงขององค์ราชา”
จี่ฝูขมวดคิ้ว เข้าใจความหมายในคำพูดของเขา กำลังคิดจะเอ่ยเตือน ชิงเหยียนกลับยิ้มอย่างขี้เล่นแล้วพูดว่า “วางใจเถอะ ในใจของข้านั้นองค์ราชาสำคัญที่สุด ถ้าหากว่านางเป็นผู้หญิงขององค์ราชาจริงๆ เมื่อองค์ราชากลับมาแล้ว ข้าก็จะถามเขาว่าเขาพบหญิงสาวที่ไม่เหมือนใครคนนี้ที่ไหน ไม่แน่ว่าข้าอาจจะลองไปเสี่ยงโชคดูบ้าง”
น่าตายนัก! น่าตายนัก! น่าตายนัก!
เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร?
สั่วเซิ่งและเซ่อฉินเหมือนกำลังจะระเบิด!
แผนการที่วางไว้ถูกคำพูดประโยคเดียวของมู่ชิงเกอทำลายไปสิ้น คิดจะโจมตีก็ทำไม่ได้ พวกเขายังต้องคุ้มครองนางให้ปลอดภัยอีก!
คิดถึงเลือดเนื้อเชื้อไขขององค์ราชางั้นหรือ!
หากเจ้าเป็นห่วงขนาดนั้นก็ไม่ต้องไปสิ! รออยู่ในพระราชวังไท่ฮวงก็ดีอยู่แล้ว?
สีหน้าของสั่วเซิ่งและเซ่อฉินดำทะมึนมาก
ตอนนี้พระชายามอบความปลอดภัยของตนเองให้แก่พวกเขา หากว่าพระชายาเป็นอะไรไป ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับพวกเขาหรือไม่ พวกเขาก็หนีความรับผิดชอบไม่พ้น และก็หมายถึงหากพระชายาเป็นอะไรไป แม้ว่าจะใช่พวกเขาทำหรือไม่ พวกเขาก็ต้องรับผิดชอบ รับความผิดนี้อยู่ดี
ดังนั้นเพื่อที่จะไม่ต้องรับความผิด พวกเขาก็ต้องตั้งใจคุ้มครองพระชายาให้ปลอดภัย ไม่ให้นางได้รับบาดเจ็บ
สั่วเซิ่งกัดฟันยิ้มเย็นออกมา พูดเสีดยสีกับมู่ชิงเกอว่า “พระชายาวางอุบายได้ลํ้าเลิศจริงๆ”
ตอนนี้ตัวเขาไม่สนใจแล้วว่าแผนการก่อนหน้านี้จะถูกเปิดโปง เขาเพียงคิดจะระบายความแค้นในใจออกมาเท่านั้น
แต่มู่ชิงเกอกลับหน้าหนากว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก นางไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำพูดแทงใจดำนี้ของเขาเลยและก็ไม่ได้แกล้งโง่ เพียงแต่พยักหน้ายิ้มเอ่ยว่า “เจ้าเมืองย่อยชมเกินไปแล้ว”
ในที่สุดกองทัพใหญ่ก็ออกเดินทางไปยังแม่นํ้าเมิ่งหลาน
สั่วเซิ่งและเซ่อฉินอึดอัดไปตลอดเส้นทาง แต่มู่ชิงเกอกลับอารมณ์ดีมาก สิ่งเดียวที่ทำให้นางเป็นกังวลก็คือยังไม่มีข่าวของซือมั่วจากองครักษ์มารที่ไปสืบข่าวที่เหวหนอนโบราณ
ซือมั่วไปอยู่ที่ไหนกันแน่?
สำหรับการศึกในแม่นํ้าเมิ่งหลานนั้น นางไม่ได้กังวลใจมากนัก ไม่ใช่ว่ามั่นใจในตนเองและก็ไม่ใช่ว่าดูแคล ศัตรู แต่เพราะนางเข้าใจว่าในเมื่อเผ่าอี้และเผ่ามารต่อสู้กันมาตั้งนานแล้วก็ยังไม่มีใครแพ้ใครชนะ เช่นนั้นก็หมายถึงว่าการศึกในครั้งนี้ก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากสักเท่าไหร่
ทันใดนั้นนัยน์ตาของมู่ชิงเกอที่ขี่อยู่บนเสี่ยวไฉ่ก็ฉายแวววาววาบออกมา หันไปถามกู่หยาที่อยู่ข้างๆ ว่า “การหายไปของเขาจะเกี่ยวข้องกับเผ่าอี้หรือไม่?”
กู่หยาและกู่เย่ชะงักแล้วก็ส่ายหน้าเงียบๆ
กู่หยาเอ่ยว่า “เป็นไปไม่ได้ องค์ราชาออกไปเพียงลำพังเพราะได้รับสาล์นลับ ส่วนเผ่าอี้ก็ไม่เคยไปเหวหนอนโบราณ และทุกทางที่เผ่าอี้จะเข้ามายังแดนมารได้นั้นก็ มีแม่ทัพมารเฝ้าเอาไว้หมดแล้ว ไม่มีทางเล็ดรอดผ่านเข้ามาได้แน่นอน ยิ่งไม่มีทางคุกคามไปถึงองค์ราชาได้”
การหายไปของซือมั่วไม่เกี่ยวกับเผ่าอี้
ข่าวนี้ทำให้มู่ชิงเกอสบายใจและกังวลใจไปพร้อมกัน
ความเป็นไปได้ถูกกำจัดไปทีละข้อ เช่นนั้นแล้วเกิดอะไรขึ้นกับซือมั่ว? วันนั้นเขาไปเหวหนอนโบราณเพื่อพบใครกัน?
เขาไม่กลับมาและไม่มีข่าวคราว หรือว่าติดกับดักงั้นหรือ?
ใครกันที่คิดจะฆ่าเขา?
มีความสงสัยมากมายที่มู่ชิงเกอยังไม่ได้รับคำอธิบาย
นางถอนหายใจในใจ ตอนนี้ก็ทำได้เพียงแต่อดทนรอผลลัพธ์ นางพูดกับกู่หยาและกู่เย่ว่า “หลังจากศึกที่แม่นํ้าเมิ่งหลานจบ ไม่ว่าจะมีข่าวอะไรมาหรือไม่ ข้าก็จะไปเหวหนอนโบราณด้วยตนเอง”
หากนางไม่ได้ไปหาเองก็จะไม่สบายใจ
เพียงแค่รอศึกครั้งนี้จบ ทำให้ทหารเมืองมารยอมรับสถานะพระชายาของนางแล้ว เมืองมารก็จะสงบลงชั่วคราว นางถึงจะมีเวลาออกตามหาซือมั่ว
มู่ชิงเกอมองไปยังกองทัพเมืองมารที่ล้วนแต่ขี่สัตว์อสูรวิญญาณมุ่งหน้าไปยังแม่น้ำเมิ่งหลาน
เสบียงถูกขนไปก่อน ทำให้พวกเขาเดินทางได้อย่างรวดเร็ว
ภายในกองทัพเมืองมารสีดำทะมึน มู่ชิงเกอและเสี่ยวไฉ่ของนางดูโดดเด่นมาก
เซ่อฉินที่นำอยู่หน้ากองทัพเงยหน้ามองดูเสี่ยวไฉ่ แล้วหันมาพูดกับสั่วเซิ่งว่า “หากข้าไม่ได้มองผิดไปละก็ นั่นคือชคตัวเมียใช่ไหม?”
สั่วเซิ่งสบถไปคำหนึ่ง ในตอนนี้นั้นเขารู้สึกอึดอัดมาก เพราะตกหลุมพรางของมู่ชิงเกอ
ได้ยินเขาตอบแล้ว เซ่อฉินก็พูดออกมาว่า “ข้าจำได้ว่าโชคนั้นเป็นขององค์ราชา โชคตัวผู้อยู่กับองค์ราชา แต่กลับไม่เห็นโชคตัวเมีย”
สั่วเซิ่งหันไปมองเขาแสดงความคิดของเขาออกมาจากดวงตา
พระชายาผู้นี้พวกเขาเคยสงสัยสถานะของนาง แต่กาลเวลากลับค่อยๆ พิสูจน์ว่าความสัมพันธ์ของนางกับองค์ราชานั้นไม่ธรรมดา สั่วเซิ่งนิ่งเงียบเล็กน้อยแล้วก็พูดกับเขาว่า “หากว่าองค์ราชาสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัยก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี เพราะอย่างไรเขาก็คือองค์ราชา และพวกเราก็คือขุนนาง ถ้าหากว่า…พวกเราเคยให้คำสาบานเอาไว้ว่าจะสวามิภักดิ์ต่อองค์ราชาแค่คนเดียวไม่ได้รวมถึง ภรรยาและลูกของเขา หากถึงตอนนั้นแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ไม่อาจโทษพวกเราได้”
เซ่อฉินค่อยๆ พยักหน้า เห็นด้วยกับความคิดของสั่วเซิ่ง
“เช่นนั้นครั้งนี้พวกเราก็ไม่มีโอกาสแล้ว” เซ่อฉินพูดอย่างไม่ยอม
สีหน้าของสั่วเซิ่งดำทะมึนขึ้น “นางขุมหลุมพรางให้พวกเราตกลงไปแล้ว ตอนนี้ยังจะทำอะไรได้อีก?”
“เช่นนั้น…” ทันใดนั้นแววตาของเซ่อฉินก็สว่างวาบ เหมือนคิดแผนการอะไรขึ้นมาได้
สั่วเซิ่งมองเขา รอให้เขาพูด
เซ่อฉินยิ้มเยาะออกมา “นางต้องการนำทัพไม่ใช่หรือ? พวกเราก็ปล่อยให้นางทำไป เมื่อรบแพ้ขึ้นมาก็จะทำให้ความเชื่อถือของนางหมดลง ทั้งจะทำให้บรรดาทหารรังเกียจ ถึงตอนนั้นแล้วชื่อเสียงของนางในแดนมารก็จะเน่าเฟะ ทุกคนรังเกียจ แล้วพระชายาที่ไม่ได้ใจประชาชนยังจะน่ากลัวอยู่อีกหรือ?”
ดวงตาของสั่วเซิ่งทอประกาย พยักหน้าเอ่ยว่า “ไม่เลว! ความคิดนี้ไม่เลว!”
แต่เขาก็ลังเลในทันที “แต่ข้าคิดว่านางไม่ธรรมดา”
เซ่อฉินพูดอย่างไม่พอใจว่า “เพียงแค่ผู้หญิงคนเดียวเท่านั้น คิดว่าตนเองจะนำทัพออกศึกได้จริงๆ น่ะหรือ? ในวังนั้นนางดูพูดจาเฉียบคมก็จริง แต่ต่อหน้าเผ่าอี้นั้น มันไร้ประโยชน์ ข้าคิดว่านางคงจะได้ยินเรื่องราวการศึกจากองค์ราชามาบ้างถึงได้คิดว่าตนเองสามารถทำศึกได้”
พูดแล้วนัยน์ตาของเซ่อฉินก็ฉายแววดูแคลนออกมา
กองทัพมารเคลื่อนที่ได้เร็วมาก ผ่านประตูมิติและเดินทางเพียงสองวัน มู่ชิงเกอก็มองเห็นแม่นํ้าเมิ่งหลานแล้ว
ริมฝังแม่นํ้าเมิ่งหลานมีกำแพงก่อสูงเกือบร้อยจั้ง
สายตาของมู่ชิงเกอถูกกำแพงสูงบดบัง แม้ว่านางจะขี่เสี่ยวไฉ่แต่ก็ยังเห็นเพียงความกว้างใหญ่ของแม่นํ้าเมิ่งหลาน แม่นํ้าเต็มไปด้วยนํ้าโคลนดำสนิทดุจนํ้าหมึก
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น “เหตุใดแม่นํ้าถึงมีสีอย่างนี้?”
กู่เย่อธิบายว่า “ทุกครั้งที่เกิดศึกแม่นํ้าเมิ่งหลานจะกลายเป็นสีดำและขุ่น เมื่อสงครามสิ้นสุดลงแล้วแม่นํ้าก็จะกลับกลายเป็นสีฟ้าใสสวยงามมาก”
“แปลกจริงๆ” มู่ชิงเกอยิ้ม
“ชิ้ว!”
เสี่ยวไฉ่ส่งเสียงออกมาพาคนทั้งสามบนหลังร่อนลงพื้น
หลังจากลงสู่พื้นแล้ว มู่ชิงเกอ กู่หยาและกู่เย่ก็กระโดดลงจากหลังของเสี่ยวไฉ่ แล้วก็มองเห็นชิงเจ๋อและหลิงจิวเดินเข้ามาหาก่อนใคร
ด้านหลังของพวกเขามีแม่ทัพที่มีรูปร่างแข็งแกร่งคนหนึ่งเดินตามมาด้วย
มู่ชิงเกอกวาดมองไป ก็คิดในใจว่า ‘นี่น่าจะเป็นแม่ทัพมารที่เฝ้าแม่นํ้าเมิ่งหลาน’
เวลานี้เอง สั่วเซิ่งและเซ่อฉินก็เดินมาทางพวกเขา
“ชิงเจ๋อคำนับพระชายา!”
“หลิงจิวคำนับพระชายา!”
“ข้าน้อยหยวนฟงคำนับพระชายา!”
ทั้งสามคนมาถึงตรงหน้าของนางแล้วก็คำนับ
มู่ชิงเกอโบกมือเอ่ยกับทั้งสามคนว่า “ทั้งสามท่านล้วนแต่สวมชุดเกราะ อีกทั้งอยู่ในค่ายทหาร ไม่จำเป็นต้องทำตามกฎระเบียบในวัง ทุกอย่างให้ทำตามกฎของกองทัพ”
มู่ชิงเกอเข้าใจกฎของกองทัพที่เมื่อสวมชุดเกราะแล้วไม่ต้องคุกเข่าทำความเคารพ ทำให้ทั้งสามคนแปลกใจ แม้แต่สั่วเซิ่งและเซ่อฉินที่ตามมาก็อึ้งงันไป
มีเพียงกู่หยาและกู่เย่ที่มีสีหน้าเรียบเฉย เพราะพวกเขารู้ดีว่ามู่ชิงเกอมีที่มาอย่างไร เรื่องในกองทัพมีหรือจะทำอะไรนางได้?
“เล่าสถานการณ์ในตอนนี้มาเถอะ” มู่ชิงเกอพูดตรงๆ เจ้าเมืองย่อยทั้งสี่ที่ตามนางมา บวกกับแม่ทัพมารที่เฝ้าที่นี่ล้วนแต่ไม่มั่นใจในตัวมู่ชิงเกอ ซึ่งเรื่องนี้นางเองก็รู้ดี แน่นอนว่านางไม่ได้ใส่ใจความสงสัยของพวกเขาที่มีต่อนาง
เพราะไม่มีใครยอมไว้ใจและเชื่อใจคนที่ไม่รู้จัก ทุกอย่างล้วนแต่ต้องการเวลาทั้งนั้น