ตอนที่ 533
ฆ่ากลับ!
“บ่อเลือดมังกร” ผู้เฒ่าเหนือมังกรมองโครงกระดูกมังกรด้านหน้าพลางเอ่ยเสียงเข้ม
“ที่นี่ก็มีบ่อเลือดมังกรงั้นหรือ” เหยาชิงไห่เอ่ยอย่างแปลกใจ
จีเหยาฮั่วขมวดคิ้วเอ่ยอย่างไม่เข้าใจว่า “เหตุใดในสุสานเทพถึงมีบ่อเลือดมังกรเยอะขนาดนี้ ฆ่าเผ่ามังกรเยอะขนาดนี้ไม่กลัวว่าเผ่ามังกรจะไปหาถึงบ้านหรือ อีกอย่างจัดวางบ่อเลือดมังกรเยอะขนาดนี้เอาไว้เพื่อปกป้องอะไรกัน”
“บ่อเลือดมังกรเป็นสถานที่โหดร้าย พวกเราอ้อมไปเถอะ” ซีเซียนเสวี่ยเสนอ
เวลานี้เองดวงตาของอิ๋งเจ๋อก็เปล่งประกายขึ้นในทันใด ชี้ไปที่อีกด้านหนึ่งแล้วพูดกับทุกคนว่า “พวกเจ้าดูว่านั่นคือใคร”
เมื่อพวกเขาได้ยินก็หันไปมองตามทิศทางที่เขาชี้ไป
อีกด้านหนึ่งของโครงกระดูกมังกรยักษ์ห่างจากพวกเขาไประยะหนึ่ง ในระยะสายตานั้นเห็นเป็นแค่กลุ่มจุดเล็กๆ แต่จุดเล็กๆ จุดหนึ่งกลับโดดเด่นเป็นพิเศษ ดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่สวมชุดสีแดงเลือดคนหนึ่ง
ในความทรงจำของพวกเขาคนที่ชอบชุดสีแดงและมักจะสวมชุดสีแดงตลอดก็มีเพียงแค่มู่ชิงเกอคนเดียวเท่านั้น
“เป็นชิงเกอหรือไม่!” ซีเซียนเสวี่ยเอ่ยอย่างตื่นเต้น
“ไม่สนว่าใช่หรือไม่ใช่ พวกเราไปดูก่อน!” จีเหยาฮั่วเสนอ
เหยาชิงไห่มองไปทางผู้เฒ่าเหนือมังกร
ฝ่ายหลังเข้าใจความหมายจึงพยักหน้าเอ่ยว่า “ในเมื่อคนที่ตามหาอาจจะปรากฎตัวแล้ว ก็ต้องไปดู”
เมื่อความคิดของทุกคนเป็นเอกฉันท์ก็พุ่งไปด้านนั้นในทันที
ในขณะเดียวกันคนอีกกลุ่มหนึ่งก็กำลังมุ่งหน้าไปยังมู่ชิงเกอ เพียงแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขานั้นแตกต่างออกไป พวกเขาตามหามู่ชิงเกอก็เพื่อ…
“บ่อเลือดมังกรหรือ เป็นบ่อเลือดมังกรอีกแล้ว ในสุสานเทพจัดวางบ่อเลือดมังกรไว้มากมายขนาดนี้เพื่ออะไรกัน” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเอ่ย
หวงฝู่ฮ่วนยืนอยู่ข้างกายนาง เมื่อได้ยินนางพูดประโยคนี้แล้วก็พูดว่า “ในสุสานมารก็มีบ่อเลือดมังกรเช่นกัน”
“สุสานมารก็มีอย่างนั้นหรือ” มู่ชิงเกอมองไปที่เขาอย่างแปลกใจ
หวงฝู่ฮ่วนพยักหน้าอย่างแน่ใจ เขาหันไปมองเฉินปี้เฉิง แล้วพูดกับมู่ชิงเกอว่า “ไม่ใช่แค่ข้าคนเดียวที่เจอ เจ้าบ้าเฉินก็เจอเช่นเดียวกัน ข้าคิดว่าผู้ฝึกวิถีมารที่เข้ามาในสุสานมารก็ล้วนแต่เจอกันหมด ที่ข้าเจอนั้นมีสามแห่ง”
“เป็นใครจัดวางพื้นที่แห่งความตายเช่นนี้เอาไว้ มีจุดมุ่งหมายอะไรกัน” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม
หวงฝู่ฮ่วนส่ายหน้า “ไม่ว่าจะเป็นสุสานเทพหรือสุสานมาร สำหรับเผ่ามารและเผ่าเทพบนแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารแล้วก็เป็นเพียงแค่สุสานพวกเขาไม่จำเป็นต้องหาสิทธิ์แห่งเทพหรือจิตมารที่นี่จึงไม่ได้สนใจที่นี่มากนัก”
มู่ชิงเกอพยักหน้า
เป็นเช่นนี้จริงๆ ความเข้าใจต่อสุสานบรรพบุรุษพวกเขา ของเผ่าเทพและเผ่ามารนั้นเกรงว่าคงไม่สู้คนในโลกอื่น ถึงแม้ว่าเมื่อนานมาแล้วจะมีคำอธิบายเกี่ยวกับบ่อเลือดมังกร แต่คงเป็นเพราะเวลาผ่านไปนานเกินไปจึงถูกลืมไว้อยู่มุมใดมุมหนึ่ง
“มู่ชิงเกอ ในที่สุดเจ้าก็ปรากฎตัวออกมาจนได้!” ด้านหลังมีเสียงที่ดูคุ้นเคยดังเข้ามาทำให้มู่ชิงเกอหันไปดู
ส่วนผู้ฝึกวิถีมารนับร้อยด้านหลังของนางก็พากันหันกลับ ใช้นัยน์ตาเย็นชามองคนหลายสิบคนที่มาปรากฎตัวอยู่ในสายตาพวกเขา
ผู้ฝึกวิถีมารนับร้อย และนักฆ่าของตำหนักเทพหลายสิบคน ข้อเปรียบเทียบนี้ทำให้นัยน์ตาของคนที่เป็นหัวหน้าหดตัวลง
ก่อนหน้านี้เขาสนใจเพียงแค่การค้นหาร่องรอยของมู่ชิงเกอ ไม่ได้สังเกตว่าคนที่มากับนางนั้นเป็นใคร ตอนนี้เมื่อมองเห็นชัดแล้วในใจเขาก็เกิดตื่นตระหนกขึ้น ไม่ใช่เพราะว่าที่นี่มีผู้ฝึกวิถีมารปรากฎตัวขึ้น แต่เป็นเพราะในบรรดาผู้ฝึกวิถีมารนับร้อยนั้นมีอยู่หลายคนที่มีกลิ่นอายเหนือกว่าเขา
‘เหตุใดมู่ชิงเกอถึงมากับผู้ฝึกวิถีมารได้’ คนที่เป็นหัวหน้ารู้สึกตกตะลึงในใจ
ใบหน้าของเขาตึงเครียด ดวงตาเต็มไปด้วยความระมัดระวัง
เมื่อมองเห็นเขา มู่ชิงเกอก็ยิ้มขี้เล่นขึ้นมา นางไพล่มือเอาไว้ด้านหลัง เดินไปหาเขาอย่างผ่อนคลาย “ข้ายังไม่มีเวลาว่างไปคิดบัญชีกับเจ้า แต่เจ้ากลับส่งตัวเองออกมา เอง หากไม่ฆ่าเจ้า ข้าก็คงรู้สึกไม่ดีแน่”
คำพูดของมู่ชิงเกอ ทำให้คนที่เป็นหัวหน้าเบิกตากว้าง ขืน
เขารู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ ความสงบนิ่งของมู่ชิงเกอ ทำให้ในใจของเขารู้สึกกระวนกระวายแปลกๆ ขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถูกผู้ฝึกวิถีมารนับร้อยใช้สายตาอันเย็นชาจ้องมอง ความรู้สึกเย็นยะเยือกก็ผุดขึ้นมาในหัวใจของเขาและลูกน้องที่เขานำมาด้วย
“ชิ อาศัยเจ้าก็คิดจะฆ่าข้างั้นหรือ ข้าแนะนำให้เจ้าวางมือลงตามข้ากลับไปดีกว่า” คนที่เป็นหัวหน้าข่มความรู้สึกไม่สบายใจลงหรี่ตามองมู่ชิงเกอแล้วพูดขึ้น
“บังอาจ!” แต่มู่ชิงเกอยังไม่ทันพูด ผู้ฝึกวิถีมารระดับข้ามผ่านคนหนึ่งก็ตะคอกด่าออกมา “เศษสวะมาจากที่ไหนถึงกล้ามาโอหังอยู่ที่นี่!”
เขาแสดงท่าทางดุดันใส่นักฆ่าของตำหนักเทพ แต่เมื่อสายตาเบนไปยังมู่ชิงเกอนั้น กลับเต็มไปด้วยความเอาใจ
มู่ชิงเกอรู้สึกขบขันในใจ มารทำอะไรตามใจชอบคำว่า ‘มาร’ นี้ มู่ชิงเกอดูแล้วอิสระกว่าเยอะไม่มีกรอบเหมือนเทพ
ที่ผู้ฝึกวิถีมารระดับข้ามผ่านตรงหน้ามาประจบสอพลอ เพราะสถานะของนางก็เป็นหนึ่งในนิสัยดั้งเดิมไม่ใช่หรือ วันนี้ถึงแม้ไม่มีผู้ฝึกวิถีมารนับร้อย มู่ชิงเกอก็มีความมั่นใจว่าจะโต้กลับได้ อย่าลืมล่ะว่านางยังมีหุ่นเทพมารสองร่าง ก่อนหน้านี้นางคิดจะเคี่ยวกรำตัวเองดังนั้นเมื่อไม่ถึงสุดทาง นางก็จะไม่ยอมเอาไพ่ตายออกมาแน่ แต่หากนางคิดจะฆ่าคนแน่นอนว่านางจะไม่เก็บเอาไว้แน่
ตอนนี้นางมีผู้ฝึกวิถีมารนับร้อยฟังคำสั่งอยู่ข้างกาย แน่นอนว่านางไม่จำเป็นต้องเปิดเผยไพ่ตายออกมา
คนที่เป็นหัวหน้าของตำหนักเทพถูกผู้ฝึกวิถีมารคนนั้นตะคอกใส่ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป เขาพูดเสียงเข้มว่า “ท่านผู้นี้ การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ทำให้พื้นที่ของสุสานเทพและสุสานมารเกิดการทับซ้อนกันขึ้น ทำให้พวกเราสามารถพบเจอกันได้ แต่นี่ก็ไม่ได้หมายถึงว่าพวกท่านผู้ฝึกวิถีมารจะสามารถสอดมือเข้ายุ่งเรื่องของพวกเราตำหนักเทพได้ถ้าหากท่านไม่ต้องการสร้างปัญหาที่ไม่จำเป็น ก็ขอให้ถอยไปอยู่ด้านข้างจะดีกว่า”
ใครจะรู้ว่าเมื่อคำพูดของเขาหลุดออกไป
ผู้ฝึกวิถีมารนับร้อยกลับไม่ได้ถอยออกไปแต่กลับก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว โอบล้อมอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอ มองพวกเขาหลายสิบคนอย่างเย็นชา
บรรยากาศนี้ทำให้เขาอดถอยออกไปก้าวหนึ่งไม่ได้ นัยน์ตาฉายแววร้อนใจ
เขามองมู่ชิงเกอแล้วตะคอกว่า “มู่ชิงเกอ เจ้ากล้าสมคบคิดกับผู้ฝึกวิถีมารหรือ!”
แต่มู่ชิงเกอกลับมอบเพียงรอยยิ้มยั่วยุให้แก่เขา ออกคำสั่งเสียงเข้มว่า “ฆ่าพวกเขาซะไม่ต้องเหลือไว้แม้แต่คนเดียว”
พระชายาสั่งลงมา ผู้ฝึกวิถีมารจะกล้าไม่ทำตามงั้นหรือ
ผู้ฝึกวิถีมารครึ่งหนึ่งพุ่งเข้าไปด้วยท่าทางที่ดุร้าย ดูเหมือนในที่สุดก็ได้ปลดปล่อยนิสัยดั้งเดิมออกมา ราวกับสัตว์อสูรป่าเถื่อนพุ่งเข้าไปในฝูงแกะอย่างบ้าคลั่ง
แม้จะเป็นนักฆ่าที่ฆ่าคนเป็นผักปลาก็ตกตะลึงชะงักอยู่ที่เดิม เกิดความกลัวขึ้น
ผู้ฝึกวิถีมารที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ คุ้มครองอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอ ความเคารพนบนอบเช่นนี้มาจากภายในไม่ใช่การใช้ผลประโยชน์เป็นตัวล่อ
คนที่เป็นหัวหน้าจากตำหนักเทพคนนั้นรู้สึกแปลกใจมาก เขาไม่เข้าใจว่ามู่ชิงเกอใช้วิธีอะไรกันแน่ถึงสามารถดึงให้พวกผู้ฝึกวิถีมารเหล่านี้ฟังคำสั่งนางได้
เขาถูกผู้ฝึกวิถีมารระดับข้ามผ่านสองคนรุมโจมตีจึงทำได้แค่ป้องกันเท่านั้น
เมื่อเกิดช่องว่างในการต่อสู้ เขาก็ตะคอกข่มขู่มู่ชิงเกอว่า “เจ้ากล้าสมคบคิดกับผู้ฝึกวิถีมาร หลังออกจากสุสานเทพไปแล้วจะต้องพบเจอกับการไล่ล่าจากตำหนัก
เทพอย่างแน่นอน”
มู่ชิงเกอยิ้มเยาะพูดอย่างดูแคลนว่า “ตำหนักเทพหรือ ไม่ช้าก็เร็วข้าก็ต้องทำลายตำหนักเทพ เผาให้ราบเป็นหน้ากลองอยู่แล้ว เพียงแต่น่าเสียดายที่เจ้าจะไม่ได้เห็น วันนั้น”
“มู่ชิงเกอ!” คนที่เป็นหัวหน้าตะโกนเสียงดังขึ้นมาคำหนึ่ง ร่างกายของเขาฉีกออกเป็นชิ้นๆ ตายลงอย่างอนาถ
นักฆ่าของตำหนักเทพถูกฆ่าล้าง ไม่ใช่เพราะพวกเขาอ่อนแอเกินไป แต่เป็นเพราะเผชิญหน้ากับผู้ฝึกวิถีมารมากเกินไปและบังเอิญว่าผู้ฝึกวิถีมารเหล่านี้ก็แข็งแกร่งมากด้วยเช่นกัน
เสียงร้องโหยหวนก่อนตายเหล่านี้ มู่ชิงเกอฟังแล้วก็เหมือนเสียงดนตรีจากสวรรค์
มู่ชิงเกอดื่มดํ่าไปกลับเสียงร้องโหยหวนเหล่านี้แล้วเผยท่าทีมีความสุขออกมา
หวงฝู่ฮ่วนพูดแหย่ว่า “ข้ารู้สึกว่าเจ้าเหมาะสมจะฝึกวิถีมารมากกว่า”
ประโยคนี้ถึงแม้จะเป็นแค่คำล้อเล่นแต่กลับสื่อถึงความหมายจริงๆ ในใจของเขา เขารู้สึกว่าอิงตามนิสัยของมู่ชิงเกอแล้วเหมาะสมกับวิถีมารมากกว่า
มู่ชิงเกอหัวเราะเอ่ยว่า “เทพก็ดี มารก็ดี เป็นเพียงแค่ความคิดเท่านั้น เกี่ยวกับการฝึกฝนตรงไหน”
พริบตาเดียวนักฆ่าของตำหนักเทพก็ถูกสังหารจนหมด
ในตอนนี้พวกจีเหยาฮั่วก็ไล่ตามมาทัน “ชิงเกอ”
ในตอนที่พวกเขามองเห็นมู่ชิงเกอยืนอยู่ในกลุ่มมารบนพื้นที่นองไปด้วยเลือดแล้วก็พากันตกตะลึง
มู่ชิงเกอเงยหน้ามองพวกเขาแล้วก็ยกมือห้ามผู้ฝึกวิถีมารที่กำลังจะลงมือ “พวกเจ้ามาแล้วเหรอ”
ท่าทีของนางไม่ได้มีท่าทีร้อนตัวใดๆ มีเพียงแต่ความเรียบสงบ
“นี่…เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” จีเหยาฮั่วเอ่ยถามอย่างตะลึง
ตอนนี้ซีเซียนเสวี่ยกลับพบสาเหตุของเรื่อง นัยน์ตาของนางหดตัวลงหลุดเสียงเอ่ยว่า “คนของตำหนักเทพ!”
“เป็นนักฆ่าที่ตำหนักเทพส่งมาจริงๆ” เว่ยมั่วลี่พูดอย่างเรียบเฉยหนึ่งประโยค ดูเหมือนเขาจะแน่ใจว่าหากเขาไม่ได้เดินทางอยู่กับคนอื่นๆ ตลอดเวลา เกรงว่าก็คงมีคนลงมือกับเขาเช่นเดียวกัน
“พวกเขาคิดจะฆ่าข้า ข้าถึงได้ฆ่าพวกเขา” มู่ชิงเกอใช้ประโยคที่เรียบง่ายอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้น
รอบด้านเงียบสงบลงในทันที
มู่ชิงเกอยืนอยู่ไกลออกไป ไม่ได้อธิบายมาก รอดูปฏิกิริยาของพวกเขา
คนที่เชื่อนาง ไม่จำเป็นต้องอธิบายก็จะเชื่อเอง คนที่ไม่เชื่อนางเหตุใดนางต้องอธิบายด้วย
ครู่หนึ่งจีเหยาฮั่วก็สูดลมหายใจลึกแล้วเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ชิงเกอ เหตุใดคนของตำหนักเทพถึงต้องการฆ่าเจ้า เจ้าไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร แต่เจ้าจำเอาไว้ว่า ไม่ว่าจะอย่างไรข้าก็จะอยู่ข้างเจ้า! ”
เขามองไปยังผู้ฝึกวิถีมารเหล่านั้นแต่ก็ไม่ได้ถามมาก
เป็นเหมือนกับที่มู่ชิงเกอคิด หากว่าเชื่อนางก็ไม่จำเป็นต้องถามมาก
“ชิงเกอ เจ้ามีแผนการอย่างไร” คนที่ถามประโยคนี้ออกมาเป็นเหยาชิงไห่ เพราะเขารู้ว่าเหตุใดคนของตำหนักเทพถึงได้กัดมู่ชิงเกอไม่ยอมปล่อย
มู่ชิงเกอยิ้มบางๆ “ทุกอย่างออกไปจากที่นี่แล้วค่อยพูด กัน”
พูดจบนางก็มองไปยังผู้เฒ่าเหนือมังกรแล้วยิ้มน้อยๆ
หลังจากผู้เฒ่าเหนือมังกรเดินเข้ามาแล้วก็นิ่งเงียบมาตลอด สายตาของเขาสบเข้ากับสายตาของมู่ชิงเกอ แววตานั้นซับซ้อนวุ่นวาย เขามองมู่ชิงเกอไม่ออก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…
“ชิงเกอ หน้าผากของเจ้า!” ในตอนนี้จีเหยาฮั่วถึงได้สติขึ้นมาจากฉากนองเลือด สังเกตเห็นหน้าผากของมู่ชิงเก
เมื่อถูกเขาสะกิดเตือน ซีเซียนเสวี่ย เหยาชิงไห่ อิ๋งเจ๋อ และเว่ยมื่วลี่ล้วนแต่มองไปที่หน้าผากของมู่ชิงเกอ
ในตอนที่พวกเขาเห็นลวดลายบนหว่างคิ้วชัดเจนนั้น นัยน์ตาก็หดตัวลง
ดอกบัวห้าสีอันงดงามทำให้พวกเขาเข้าใจอะไรได้ในพริบตา
แม้แต่สวี่สวี่ที่ยืนอยู่ข้างกายผู้เฒ่าเหนือมังกรเองก็ตกตะลึงใช้สองมือปิดปากของตนเองมองไปที่มู่ชิงเกออย่างไม่อยากจะเชื่อ
เวลานี้เองผู้เฒ่าเหนือมังกรก็คํ้าไม้เท้าหัวมังกร เดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ถอนหายใจเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “เจ้าช่างเป็นคนที่มีบุญจริงๆ รากวิญญาณห้าชนิดที่คนเป็นพันเป็นหมื่นก็ยากที่จะมีสักอัน เรื่องที่หลายหมื่นปีมานี้ก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนกลับปรากฎขึ้นบนร่างของเจ้า”