Skip to content

พลิกปฐพี 537

ตอนที่ 537

บุกเข้าใจกลางสุสาน

ครืน!

ใต้พื้นดินสั่นสะท้านขึ้นมาขัดจังหวะความตึงเครียดระหว่างสองฝ่าย

และก็ทำให้คนส่วนมากไม่ได้สังเกตเห็นว่าผู้ฝึกวิถีมารที่ปรากฎตัวก่อนหน้าพวกเขาเหล่านี้นั้นดูมีท่าทีเคารพต่อมู่ชิงเกอ

มีเพียงแค่หานฉายไฉ่เท่านั้นที่กำลังมองผู้ฝึกวิถีมารข้างกายมู่ชิงเกอ ในตอนที่มองเห็นหวงฝู่ฮ่วนและเฉินปี้เฉิงนั้นเขาก็พอจะเดาออกแล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

ชั่วขณะที่เขาถูกความเคลื่อนไหวด้านล่างดึงดูดความสนใจไปก็ยังอดถอนหายใจในใจไม่ได้ ‘เขากลับวางแผนจัดการเพื่อเจ้าอย่างละเอียดลออเช่นนี้เชียวรึ’

ทันใดนั้นใต้เท้าของเขาก็สั่นไหวอย่างรุนแรง หานฉายไฉ่เลิกคิดมองไปยังบริเวณที่พังทลายเหล่านั้น

เงาร่างเป็นสายๆ กระโดดขึ้นมาจากใต้ดินตกลงบนพื้น เมื่อพวกเขาเหยียบลงบนพื้นแล้วพื้นที่เคยพังทลายก็กลับคืนสู่สภาพเดิมในพริบตา

ฉากนี้ทำให้ทุกคนตะลึงและโอบล้อมเข้าหากัน เบิกตากว้างมองเงาที่ปรากฎตัวขึ้นอย่างกะทันหัน

มู่ชิงเกอก็เช่นเดียวกัน นางถูกผู้ฝึกวิถีมารนับร้อยคุ้มครองเอาไว้ตรงกลาง

ภายในดวงตาอันสดใสของนางสะท้อนรูปร่างเงาเหล่านั้นอย่างชัดเจน

ร่างคนหัวอสูร ร่างกายสวมเกราะ มือถืออาวุธ เรือนร่างผอมสูงใหญ่ สูงกว่าพวกเขาถึงหนึ่งหรือสองช่วงตัว ในบรรดาพวกเขาเกือบพันคนนี้ เกรงว่าคนที่สูงที่สุดเมื่อยืนต่อหน้าตัวประหลาดเหล่านี้แล้วก็สูงถึงเพียงแค่หน้าอก หรือไหล่เท่านั้น

ดวงตาของตัวประหลาดเหล่านี้ล้วนแต่ปิดสนิท แต่มองไปกลับมีกลิ่นอายสังหารดูน่ากลัวมาก

เพียงแค่ปรากฎตัวก็มอบความรู้สึกหวาดกลัวและตกตะลึงให้กับทุกคนแล้ว ความหวาดกลัวค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้น เมื่อมองออกไปตัวประหลาดเหล่านี้มีเกือบพัน ยืนเรียงกันอย่างเป็นระเบียบตรงพื้นที่พังทลายและกลับคืนสู่ สภาพเดิมก่อนหน้านี้ ราวกับกองทหารที่ดูน่าเกรงขาม

“พวกนี้เป็นตัวประหลาดอะไรกัน!” กลุ่มคนที่รวมตัวเข้าด้วยกันส่งเสียงตกตะลึงออกมา ภายในนํ้าเสียงมีความหวาดกลัวและสั่นสะท้าน

“พวกเขาตายแล้วหรือว่ายังมีชีวิตอยู่กันแน่”

“ที่นี่ดูผิดปกติมาก พวกเรารีบออกไปกันเถอะ!” ความหวาดกลัวเริ่มเพิ่มขึ้นในกลุ่มคน

แต่การเพิ่มพูนของความหวาดกลัวกลับมีเพียงแค่ในฝั่งของผู้ฝึกวิถีเทพเท่านั้น ฝั่งผู้ฝ็กวิถีมารกลับเงียบสงบมากเพราะมู่ชิงเกอ

ถึงแม้พวกเขาเองก็ตกตะลึงกับฉากที่เห็นตรงหน้า แต่ก็เป็นเพราะการเอ่ยเตือนของมู่ชิงเกอก่อนหน้านี้ทำให้พวกเขาไม่สับสนวุ่นวายเกินไป

พวกเขาลอบระมัดระวังรอบด้าน

ทันใดนั้นตัวประหลาดนับพันก็ลืมตาขึ้นพร้อมกัน ดวงตาสีแดงกํ่าดุจเลือดฉายแวววาววาบ ดุจดั่งดวงตาที่มีเปลวไฟเผาผลาญอยู่ปรากฎขึ้นตรงหน้าของทุกคน

ชั่วขณะนั้นทุกคนล้วนตื่นตกใจ

หลังจากมู่ชิงเกอตกตะลึงในใจแล้ว ลมหายใจก็หนักอึ้งในทันใด เอ่ยในใจว่า ‘หุ่นเชิด!’

หลังจากตัวประหลาดเหล่านี้ลืมตาขึ้นแล้วนางจึงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คล้าย คลึงกันกับที่นางเคยสัมผัสมาก่อน

นางไม่ได้รู้สึกแปลกใหม่ไปกับกลิ่นอายชนิดนี้ เพราะในช่องว่างของนางเองก็มีอยู่สองร่าง

แต่สิ่งมีชีวิตตรงหน้ากลับไม่ใช่เผ่าเทพและมาร

‘หรือว่าเป็นเผ่าๆ หนึ่งในสมัยแรกเริ่มที่สาบสูญไปแล้ว’ มู่ชิงเกอสงสัยอยู่ในใจและก็ลอบเพิ่มการระมัดระวังขึ้นมา

หลังจากที่หุ่นเทพมารของนางสร้างสำเร็จก็สามารถรักษาระดับพลังเดิมไว้ได้ถึงแปดส่วน เช่นนั้นหากตัวประหลาดตรงหน้าเหล่านี้ใช้วิธีการสร้างเช่นเดียวกันก็ จะสามารถรักษาระดับพลังในตอนที่มีชีวิตอยู่ได้เกินครึ่ง ตัวประหลาดที่มีหัวเป็นสัตว์อสูรและร่างกายเป็นคนเหล่านี้ไม่รู้ว่าตอนมีชีวิตอยู่นั้นมีความสามารถแปลก ประหลาดอะไร ตอนนี้เมื่อตายแล้วถูกหลอมเป็นหุ่นเชิดเฝ้าที่นี่มีความสามารถอะไร

“พวกนี้ล้วนแต่เป็นหุ่นเชิด จะต้องมีไว้เพื่อคุ้มครองสุสานบรรพเทพอย่างแน่นอน!” ผู้เฒ่าเหนือมังกรที่อยู่ข้างกายมู่ชิงเกอพูดเบาๆ ออกมา

มู่ชิงเกอพยักหน้า นัยน์ตาฉายแววหนักอึ้ง

นางยกมือขึ้น หวงฝู่ฮ่วนและเฉินปี้เฉิงรีบก้าวเข้ามารับคำสั่งทันที ความสัมพันธ์นายบ่าวที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนนี้ดึงดูดความสนใจจากพวกจีเหยาฮั่ว เหยาชิงไห่ และคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างกายในทันที

เพียงแต่ถึงแม้วาพวกเขาจะรู้สึกสงสัยอยู่ในใจก็ไม่ได้เอ่ยถามออกมาในเวลานี้

“สั่งการลงไปว่าพวกนี้คือหุ่นเชิด ยากที่จะต่อกร ตอนที่ต้านรับศัตรูนั้นให้ระมัดระวังและให้ร่วมมือกัน” มู่ชิงเกอเอ่ยกับหวงฝู่ฮ่วนและเฉินปี้เฉิงเบาๆ

ทั้งสองคนพยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วถอยไปกระจายคำสั่งของนาง

ซือมั่วมอบคนเหล่านี้ให้มาสนับสนุนนาง แต่นางก็ไม่อาจให้คนเหล่านี้ไปตายได้จริงๆ

“เหตุใดพวกเขาถึงลืมตาขึ้นแล้ว”

“พวกเหล่านี้เป็นอะไรกันแน่!”

“พวกเขาขึ้นคืนชีพอย่างนั้นหรือ”

หุ่นเชิดลืมตาขึ้น ดวงตาที่แดงดุจเลือดทำให้คนจำนวนไม่น้อยสับสนวุ่นวายขึ้นมา

มู่ชิงเกอหันไปมองพวกจีเหยาฮั่ว ซีเซียนเสวี่ย แล้วพูดว่า “ระมัดระวังตัวด้วย” เพิ่งจะสิ้นเสียงบรรดาหุ่นเชิดนับพันก็เริ่มเคลื่อนไหว

พวกเขาเงยหน้าขึ้นกู่ร้อง

เสียงนี้สะเทือนจนแก้วหูเจ็บแปลบ ปวดหัวเหมือนจะระเบิด ทำให้คนจำนวนไม่น้อยเกือบจะต้านทานไม่ไหว ทรุดตัวลงทันที

แต่นี่ไม่ใช่จุดจบ แต่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

หลังจากเสียงกู่ร้องจบลง คนทางฝั่งผู้ฝึกวิถีเทพและผู้ฝึกวิถีมารยังไม่ทันได้ตั้งตัว หุ่นเชิดหัวอสูรร่างคนนับพันก็ชูอาวุธขึ้นฟันลงมาที่พวกเขา

สัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอดทำให้พวกเขาต้านรับศึกจนเกิดความวุ่นวายขึ้นชั่วขณะ

หุ่นเชิดหัวอสูรร่างคนเหล่านี้มีพละกำลังมากมาย กระดูกแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะโจมตีอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้พวกเขาล้มลงได้ ดวงตาสีแดงเลือดเหล่านั้นฉายแวว โหดเหี้ยมอำมหิตบีบเข้ามาใกล้พวกเขาเรื่อยๆ

ทวนหลิงหลงในมือของมู่ชิงเกอโจมตีจนเหล่าหุ่นเชิดถอยร่นไปอย่างต่อเนื่อง

แม้จะเป็นทวนหลิงหลงของนางก็ไม่สามารถแทงทะลุร่างกายของหุ่นเชิดเหล่านี้ได้ทุกครั้งที่ปลายทวนแหลมคมแทงลงบนร่างกายของหุ่นเชิด ก็เหมือนกับปะทะเข้ากับกำแพงเหล็ก เหลือไว้เพียงรอยบางๆ สายหนึ่งเท่านั้น

โฮก!

มังกรเพลิงและมังกรสายฟ้าประสานกันออกมาวนรอบร่างกายของมู่ชิงเกอคำรามด้วยความโมโหแล้วพุ่งเข้าใส่หุ่นเชิดที่ถลันเข้ามาใกล้เหล่านั้น

นี่เป็นครั้งแรกที่นางใช้ความสามารถสายฟ้าต่อหน้าผู้คนอย่างเป็นทางการ

ในเมื่อรากวิญญาณได้ถูกเปิดเผยแล้ว นางก็ไม่จำเป็นต้องแอบซ่อนอีก จึงออกกระบวนท่าฆ่าล้างของตนเองในทันที

มังกรเพลิงสีแดงดุจเปลวเพลิง มังกรสายฟ้าสีม่วงเปล่งประกาย

ในตอนที่มังกรทั้งสองปรากฎขึ้นข้างกายของมู่ชิงเกอและร่วมต้านศัตรูไปกับทวนหลิงหลงนั้นก็ทำให้คนจำนวนไม่น้อยที่กำลังต่อสู้อย่างวุ่นวายตกตะลึงไป

ในตอนนั้น นางเป็นเหมือนดั่งเทพแห่งสงครามผู้กล้าหาญในสายตาของผู้คน สลักภาพเข้าไปในส่วนลึกของจิตใจ

เมื่อเทียบกับนางแล้วซีเซียนเสวี่ยที่ใช้นํ้าสู้ศึก สร้างคลื่นนํ้าเป็นชั้นๆ เข้าโจมตีหุ่นเชิดกลับดูจืดจางลงมาก ไม่ได้บอกว่านางไม่ร้ายกาจ แต่ความรู้สึกแข็งแกร่งที่มู่ชิงเกอมอบให้แก่ผู้คนนั้นน่าตกตะลึงเกินไปต่างหาก ความงดงามของมังกรเพลิงและมังกรสายฟ้าทำให้นางกลายเป็นศูนย์รวมสายตาไป

ไม่เพียงดึงดูดสายตาของคนอื่นๆ แต่ยังรวมถึงหุ่นเชิดที่มีหัวอสูรร่างคนเหล่านั้นอีกด้วย

มีหุ่นเชิดพุ่งเข้าหานางมากขึ้น บนอาวุธที่พวกเขาชูขึ้นสูงมีกลิ่นอายสีดำที่แฝงความเย็นยะเยือกโผล่ออกมา

มู่ชิงเกอถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าว มังกรคู่ปรากฎอยู่ตรงหน้าของนาง

มู่ชิงเกอปักทวนหลิงหลงลงบนพื้น ประสานสองมือไว้ข้างหน้า สิบนิ้วแยกกันควบคุมพลังสายฟ้าและเปลวเพลิงให้หลอมรวมกัน

ดวงตาของนางค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีทอง กลิ่นอายที่แตกต่างจากคนธรรมดาค่อยๆ แผ่กระจายออกมา

จิตวิญญาณอันแข็งแกร่งที่ผ่านการเคี่ยวกรำจากเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางควบคุมให้พลังสองชนิดของนางหลอมรวมเข้าด้วยกัน

มังกรสายฟ้าสีม่วงกับมังกรเพลิงสีแดงหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกลายเป็นร่างมังกรยักษ์อันดุร้าย ร่างกายเป็นเพลิงรัดพันด้วยสายฟ้านับไม่ถ้วน ดวงตาของมังกร ข้างหนึ่งเป็นเปลวเพลิง อีกข้างหนึ่งเป็นสายฟ้า

เลียงคำรามของมันสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งช่องว่าง

ชั่วขณะนั้นก็ราวกับมันหลุดออกจากการควบคุมของมู่ชิงเกอ พุ่งเข้าใส่เหล่าหุ่นเชิดที่พุ่งเข้ามาหามู่ชิงเกอ มั เคลื่อนที่ผ่านพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว ทุกที่ที่มันผ่านก็จะเกิดแสงสายฟ้าและเปลวเพลิงฉีกทำลายร่างกายของหุ่นเชิด ทำให้พวกเขาแตกออกเป็นชิ้นๆ

หัวมังกรกู่ร้องก้องฟ้า หางมังกรเกี่ยวพัน กรงเล็บมังกรดุดัน…

มังกรที่มู่ชิงเกอใช้พลังเปลวเพลิงกับสายฟ้าสร้างขึ้นมาระเบิดขึ้นกลางกลุ่มหุ่นเชิด ชั่วขณะนั้นพลังอันแข็งแกร่งก็กระจายออกมารอบทิศ ทำให้ผู้คนและหุ่นเชิดล้มลงกับพื้น

พลังและการสั่นสะเทือนนี้ทำให้ช่องว่างเริ่มมีก้อนหินตกลงมา เริ่มมีร่องรอยของการพังทลาย

ไม่รู้ว่าที่นี่อยู่มากี่ปี ไม่รู้ว่ามีค่ายกลมากเท่าไหร่คอยปกป้อง ไม่รู้ว่าสามารถต้านทานพลังได้มากน้อยแค่ไหน แต่มาวันนี้กลับถูกกระบวนท่าอันน่ากลัวของมู่ชิงเกอโจมตี จนเกิดรอยแตกและมีชิ้นส่วนหินตกลงมา

มู่ชิงเกอสีหน้าซีดขาว ถอยหลังไปอย่างต่อเนื่อง

กระบวนท่าเช่นนี้ทำให้สูญเสียพลังจิตและจิตวิญญาณมากเกินไป

แต่หุ่นเชิดที่ถูกนางโจมตีก่อนหน้านี้กลับถูกระเบิดจนกลายเป็นผงสาดกระจายลงบนพื้น

แต่นางยังไม่ทันได้โล่งใจ หุ่นเชิดที่ถูกระเบิดจนกลายเป็นผงเหล่านี้ก็รวมตัวกันขึ้นมาใหม่ จากเท้าถึงหัวค่อยๆ ปรากฎตัวขึ้นใหม่ในสายตาของนาง

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหดตัวลง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง

พลังเช่นนั้นยังฆ่าไม่ตายหรือ!

“เป็นเช่นนี้ไม่ดีแน่! ความสามารถของหุ่นเชิดเหล่านี้คือ ไม่ตายไม่ยอมเลิกรา! หากพวกเราเสียเวลาอยู่ที่นี่ต่อ สุดท้ายคนที่แพ้ก็ต้องเป็นพวกเราและพวกเราก็ไม่มีเวลามากพอที่จะเสียด้วย” ผู้เฒ่าเหนือมังกรพาสวี่สวี่ไปยังข้างกายมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยกับนาง

เวลานี้จีเหยาฮั่วและเหยาชิงไห่ก็เข้ามาใกล้มู่ชิงเกอภาย ใต้การปกป้องของอิ๋งเจ๋อและเว่ยมั่วลี่

หวงฝู่ฮ่วนก็ถอยมาข้างกายนาง แม้แต่หายฉายไฉ่ก็เบียดเข้ามาโอบล้อมรอบกายนาง

สถานะของพวกเขาไม่เหมือนกัน จุดยืนก็ไม่เหมือนกัน แต่สายตาในตอนนี้กลับเหมือนกัน พวกเขาล้วนแต่กำลังรอการตัดสินใจของมู่ชิงเกอ ดูเหมือนเชื่อว่านางจะต้องหาทางออกที่ดีที่สุดออกมาได้

“ที่นี่จะต้องเป็นค่ายกลอันหนึ่งอย่างแน่นอน หากจะออกจากที่นี่ก็ต้องทำลายค่ายกลออกไป” ผู้เฒ่าเหนือมังกรเอ่ยเตือน

เวลานี้ข้างหูของพวกเขาก็เกิดเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

บรรดาคนที่ร้องโหยหวนมีทั้งผู้ฝึกวิถีเทพและผู้ฝึกวิถีมาร แต่เสียงเหล่านี้ก็ล้วนแต่กำลังเร่งพวกเขาให้รีบแก้ไขเรื่องทุกอย่าง มิเช่นนั้นพวกเขาทุกคนอาจต้องตายอยู่ที่นี่ หุ่นเชิดที่ไม่มีวันตายเหล่านี้เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถจัดการได้

ทำลายค่ายกล!

ทำลายค่ายกล!

ทำลายค่ายกล!

มู่ชิงเกอเม้มปากแน่น ใบหน้าที่เคร่งเครียดเต็มไปด้วยความหนักอึ้ง นางใช้ความคิดอย่างหนัก ดวงตากวาดมองไปในช่องว่างแห่งนี้อย่างรวดเร็ว

“พวกเราจะคุ้มครองเจ้าเอง!” หานฉายไฉ่ตะโกนออกมา

เขารู้ว่าตอนนี้มู่ชิงเกอกำลังคิดหาวิธีแก้ไขปัญหา ไม่อาจถูกรบกวนได้ ตอนนี้ไม่ว่าระหว่างพวกเขาจะรู้จักกันหรือมีไมตรีต่อกันหรือไม่ ก็พากันตกลงพยักหน้าหลังจากที่เขาพูดประโยคนี้ออกไป

พวกเขากำลังถ่วงเวลาให้มู่ชิงเกอ ส่วนมู่ชิงเกอก็ไม่กล้าชักช้ารีบคิดหาวิธีในทันที

นางกุมทวนหลิงหลง ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ เปลวไฟบนร่างกายลุกโชนทำให้นางดูเหมือนกับเทพสงครามที่เปล่งประกายสะท้อนสายตา

ทันใดนั้นดวงตาของนางก็หดตัวลง สายตามองไปบนประตูหินที่อยู่ด้านในสุด

ประตูหินนั้นดูไม่มีอะไรแตกต่างจากประตูหินทั่วไป

แต่บนประตูหินมีก้อนหินก้อนหนึ่งนูนขึ้นมาดึงดูดความสนใจของนาง

‘สิ่งนั้น…’ มู่ชิงเกอคิดอยู่ในใจ

ของสิ่งนั้นดึงดูดนาง เหมือนในใจนางจะเกิดเสียงหนึ่งที่บอกนางอย่างต่อเนื่องว่า นั้นเป็นจุดสำคัญของการ ทำลายค่ายกล เพียงแค่กดก้อนหินก้อนนั้นลงไปก็จะ สามารถกำจัดหุ่นเชิดเหล่านี้ได้

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหรี่เล็กลง สะบัดทวนหลิงหลงพุ่งไปด้านหน้า

ข้างซ้ายและขวาของนางปรากฎเงาร่างขึ้นสองเงาร่าง

นั้นเป็นหุ่นเทพมารของนางที่คอยติดตามอยู่ด้านซ้ายและขวาของนาง คอยฆ่าบรรดาหุ่นเชิดหัวอสูรร่างคนคุ้มครองนางทะลวงออกไปเป็นเส้นทางไปสู่ประตูหินบานนั้น

หุ่นเทพมารที่ปรากฎขึ้นข้างกายของมู่ชิงเกออย่างกะทันหันทำให้คนจำนวนนับไม่ล้วนตกใจ

พวกเขาไม่รู้ว่ามียอดฝีมือสองคนโผล่ออกมาข้างกายของมู่ชิงเกออย่างกะทันหันได้อย่างไร ถึงกับสามารถสังหารหุ่นเชิดแปลกประหลาดที่พวกเขาไม่สามารถต้านทานได้ให้ถอยหลังออกไปได้อย่างต่อเนื่อง คุ้มครองมู่ชิงเกอตลอดทางจนไปถึงประตูหินอย่างรวดเร็ว

ความคิดของมู่ชิงเกอนั้น พวกเหยาชิงไห่ดูออกแล้ว

เมื่อพวกเขาได้สติกลับมาก็เอ่ยกับคนอื่นๆ ว่า “เร็ว พวกเราต้องพยายามดึงดูดความสนใจของหุ่นเชิดเหล่านี้ ลดความกดดันให้ชิงเกอ”

ครู่หนึ่งผ่านไป ในที่สุดมู่ชิงเกอก็พุ่งไปถึงด้านหน้าประตูหิน นางยกมือขึ้นอย่างไม่ลังเลทำตามความรู้สึก ออกแรงกดลงไปบนก้อนหิน

แต่ดวงตาของนางก็หดลงในทันใด เผยสีหน้าตกตะลึง นางออกแรงตั้งมากแต่กลับไม่สามารถกดก้อนหินลงไปได้!

‘หรือว่าข้าเดาผิด’ มู่ชิงเกอเอ่ยในใจ ตอนนี้เองด้านหลังของนางเกิดเสียงร้องโหยหวนขึ้นมาอีกครั้ง

“ลองใช้พลังของรากวิญญาณดู!” ผู้เฒ่าเหนือมังกรต้านทานหุ่นเชิดพร้อมกับตะโกนไปยังมู่ชิงเกอ

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ เข้าใจในทันที นางขับเคลื่อนพลังรากวิญญาณของตนเองให้ไหลจากแขนไปสู่ก้อนหิน แล้วออกแรงกดลงไปอีกครั้ง

ยังคงไม่ขยับ

นัยน์ตาของนางฉายแววดุดันเอ่ยในใจว่า ‘ชนิดเดียวไม่ได้ เช่นนั้นก็เพิ่มอีกชนิด!’ พลังของรากวิญญาณชนิดที่สองไหลตามแขนเข้าไป

ชนิดที่สาม!

ชนิดที่สี่!

ชนิดที่ห้า!

ในตอนที่มู่ชิงเกอใส่พลังของช่องว่างเข้าไปในก้อนหินนั้น ทันใดนั้นเอง ในที่สุดนางก็รู้สึกว่าแรงที่กลางฝ่ามือคลายลง ก้อนหินที่ขยับอย่างไรก็ไม่ไปนั้นกดตัวลงไปเองในที่สุด

แครก! ครืน!

สองเสียงดังออกมา แสงสว่างสายหนึ่งโผล่ออกมาโอบคลุมมู่ชิงเกอ แล้วก็คนอื่นๆ ให้หายไปจากที่เดิม

ส่วนบรรดาหุ่นเชิดหัวอสูรร่างคนก็เป็นเพราะไม่มีคู่มือทำให้ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมแล้วกลับลงไปใต้พื้นอีกครั้ง…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version