ตอนที่ 538
แรกปรากฎฮุ้นตุ้น
แสงสีขาวปรากฎ ทุกคนรู้สึกเพียงว่าแสบตา หลังจากพริบตาเดียวผ่านไปก็กลับคืนสู่สภาพปกติ รอจนแสงสีขาวหายไปแล้ว พวกเขาถึงได้มองเห็นสถานที่ที่ตัวเองยืนอยู่อย่างชัดเจนว่าไม่ใช่ห้องโถงใหญ่อันแปลกประหลาดเมื่อครู่อีกแล้ว บรรดาหุ่นเชิดหัวอสูรร่างคนก็หายไปหมด
“ที่นี่คือที่ไหนกัน!”
“ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหนกัน”
“หุ่นเชิดเหล่านั้นล่ะ”
“สถานที่นี้แปลกประหลาดเกินไปแล้ว!”
กลุ่มคนที่แต่เดิมมีเกือบพันคน มาตอนนี้เหลือเพียงแค่ห้าหกร้อยคน คนอื่นๆ ล้วนแต่ฝังร่างไว้ในการศึกกับหุ่นเชิดแล้ว พวกเขาในตอนนี้ไม่มีการแยกฝ่าย ไม่ว่าผู้ฝึกวิถีมารหรือผู้ฝึกวิถีเทพล้วนแต่ยืนอยู่ด้วยกัน
สถานที่ที่พวกเขายืนอยู่ดูเหมือนจะเป็นห้องสุสานขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง รอบด้านว่างเปล่า ไม่มีของอะไรฝังเอาไว้ด้วยเลย สิ่งเดียวที่แตกต่างก็คือบนกำแพงของสุสานนั้นแขวนภาพลวดลายและแถบแปลกประหลาดเอาไว้ทำให้คนไม่เข้าใจว่ามีหมายความอะไรกันแน่
บนยอดโดมมีไข่มุกขนาดเท่าหัวคนก้อนหนึ่งกระจายแสงสว่างเย็นตาออกมา
“ชิงเกอล่ะ” พวกจีเหยาฮั่วยืนอยู่ด้วยกัน คนแรกที่พบว่ามู่ชิงเกอหายไปนั้นก็คือซีเซียนเสวี่ย
นางมองไปรอบด้าน ก็ไม่เห็นเงาร่างของมู่ชิงเกอ จึงเอ่ยถามอย่างแปลกใจออกมาในทันที
เมื่อนางเอ่ยถามก็ทำให้บรรดาคนข้างกายรู้สึกว่าในใจหนักอึ้ง
ใช่แล้ว…มู่ชิงเกอล่ะ
จีเหยาฮั่วยืดคอมองไปรอบๆ ไม่เห็นเงาร่างของมู่ชิงเกอจริงๆ
ไม่เพียงเท่านี้ เขายังมองไม่เห็นเงาร่างของผู้เฒ่าเหนือมังกรและสวี่สวี่อีกด้วย จึงอดด่าออกมาไม่ได้ว่า “ตาเฒ่าคนนั้นกับสวี่สวี่ฉวยโอกาสหนีไปแล้ว!”
หนี? หนีอย่างไรเล่า
พวกเขาล้วนแต่ถูกนำมายังสถานที่นี้อย่างมึนงง แล้วผู้เฒ่าเหนือมังกรพาสวี่สวี่หนีไปได้อย่างไร
“หรือที่นี่จะเป็นกับดักที่ผู้เฒ่าเหนือมังกรวางไว้” เหยาชิงไห่ขมวดคิ้วคาดเดา
“หรือที่นี่จะไม่ใช่สุสานบรรพเทพตั้งแต่แรก” อิ๋งเจ๋อก็เงยหน้าเอ่ยขึ้น
เว่ยมั่วลี่ก็ยิ่งเอ่ยคำที่ทำให้คนตกตะลึงออกมา “มู่ชิงเกอจะถูกเขาจับไปหรือไม่”
“อย่าเพิ่งร้อนใจไป คุณชายน่าจะไม่เป็นอะไร” หวงฝู่ฮ่วนเดินเข้ามาปลอบพวกเขา
เมื่อเขาเอ่ยปาก สายตาของคนทั้งห้าก็มองไปที่เขา ส่วนด้านหลังของหวงฝู่ฮ่วนก็มีเฉินปี้เฉิงตามมาติดๆ กลิ่นอายของเฉินปี้เฉิงดูคล้ายกับอิ๋งเจ๋อและเว่ยมั่วลี่มาก สามคนนี้เป็นนักสู้ที่พูดน้อย แต่ระหว่างทั้งสามคนก็มีความแตกต่างกันอยู่ เขาตามติดอยู่ที่ข้างกายหวงฝู่ฮ่วนและพูดน้อยมาก ส่วนความรู้สึกที่หวงฝู่ฮ่วนมอบให้คนอื่นก็คือความละเอียดอ่อนและก็เป็นคนมีความคิดลุ่มลึก ทั้งสองคน หนึ่งเงียบ หนึ่งขยับ หนึ่งบุ๋น หนึ่งบู๊ เข้ากันได้เป็นอย่างดีมาก
“เหตุใดเจ้าถึงพูดเช่นนั้น” นัยน์ตาของเหยาชิงไห่ฉายแวววาววาบเอ่ยปากถาม
นัยน์ตาของหวงฝู่ฮ่วนกวาดมองบนตัวของเขา เผยรอยยิ้มอย่างมีมารยาทแล้วเอ่ยว่า “ก่อนที่คุณชายจะหายไป ได้ถ่ายทอดเสียงให้ข้าบอกทุกท่านว่านางไม่เป็นอะไร”
“นางถ่ายทอดเสียงให้เจ้าหรือ” จีเหยาฮั่วเอ่ยอย่างสงสัย “เหตุใดนางถึงไม่ถ่ายทอดเสียงแก่พวกเรา แต่กลับถ่ายทอดเสียงให้เจ้า”
หวงฝู่ฮ่วนหัวเราะ เหลือบมองไปทางผู้ฝึกวิถีมารที่อยู่ไกลๆ แวบหนึ่ง “ข้ายังมีภารกิจอื่น คำพูดของคุณชายก็คือ…รอนางกลับมา”
รอนางกลับมา?
พวกจีเหยาฮั่วห้าคนนิ่งเงียบ
พวกเขาไม่ใช่คนโง่เขลา สัญญาณที่หวงฝู่ฮ่วนให้มานั้น ได้แสดงอย่างชัดเจนแล้ว พวกเขาจะไม่รู้ได้อย่างไร แต่เหตุใดมู่ชิงเกอถึงเลือกจะถ่ายทอดคำพูดให้หวงฝู่ฮ่วนกัน
นั้นก็หมายความว่า พริบตาเดียวในตอนที่นางจะหายไป นางมีเวลาเลือกถ่ายทอดคำพูดให้คนเพียงแค่คนเดียว ซึ่งจะเห็นได้จากการที่นางถ่ายทอดเสียงออกมาเพียงสี่คำ ส่วนที่เลือกหวงฝู่ฮ่วนก็เพราะนางรู้ว่าหากนางไม่อยู่ ผู้ฝึกวิถีมารยังต้องให้หวงฝู่ฮ่วนจัดการ และก็รู้ว่าหวงฝู่ฮ่วนจะปลอบใจผู้คนได้
“พวกเจ้ามีความสัมพันธ์อย่างไรกับชิงเกอกันแน่” ซีเซียนเสวี่ยถามออกไปอย่างเย็นชา
หวงฝู่ฮ่วนมองนาง นัยน์ตาฉายแววขบขัน “ธิดาเทพวางใจได้พวกเราจะไม่ทำร้ายคุณชายอย่างแน่นอน สำหรับความสัมพันธ์ของพวกเรานั้น…หากธิดาเทพสนใจจริงๆ ก็สามารถรอคุณชายกลับมาก่อนแล้วจึงถามนางเอง”
“…” ซีเซียนเสวี่ยนิ่งเงียบ เพียงแต่ในดวงตาอันงดงามฉายแววครุ่นคิด
หวงฝู่ฮ่วนพูดขึ้นว่า “สำหรับเรื่องปู่หลานคู่นั้นหายไปได้อย่างไร ศิษย์พี่คนนี้ของข้ามองเห็นด้วยตาตนเอง”
พูดจบแล้ว เขาก็มองไปที่เฉินปี้เฉิง ชั่วขณะนั้นสายตาของทั้งห้าคนก็ตกไปอยู่บนร่างของเฉินปี้เฉิง เฉินปี้เฉิงเดินออกมาท่ามกลางสายตาของทั้งห้าคนใน ตอนนี้เองหานฉายไฉ่ก็เดินเข้ามาหาพวกเขา เขาไม่ได้มองคนอื่นแต่กลับมองไปที่หวงฝู่ฮ่วนและเฉินปี้เฉิง
“นางล่ะ” หานฉายไฉ่เอ่ยถาม
ท่าทางของเขาทำให้พวกจีเหยาฮั่วห้าคนสงสัย เขาเป็นใครน่ะ จีเหยาฮั่วกับอิ๋งเจ๋อนั้นรู้จัก ในตอนที่ก่อตั้งเมืองลั่วซิงเฉิงนั้น พวกเขาเคยรวมตัวกินเลี้ยงเล็กๆ กันอยู่ในจวนเจ้าเมืองครั้งหนึ่ง
จีเหยาฮั่วเองก็รู้ว่าหานฉายไฉ่คือประมุขน้อยตระกูลหาน ส่วนหอสรรพสิ่งก็คือกิจการของตระกูลหานแห่งภาคเหนือ
หานฉายไฉ่กับมู่ชิงเกอนั้นรู้จักกัน อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา
ส่วนท่าทีที่เขามีต่อสองคนนี้…
นัยน์ตาของจีเหยาฮั่วฉายแวววาววาบ คาดเดาในใจว่า ‘หรือพวกเขาก็รู้จักกัน’
“ประมุขน้อยหาน” หวงฝู่ฮ่วนมองหานฉายไฉ่อย่างสุภาพแล้วยิ้ม
“นางล่ะ” หานฉายไฉ่เอ่ยถามอีกครั้ง
“คุณชายไม่เป็นอะไร” หวงฝู่ฮ่วนเอ่ยอีกครั้ง
หานฉายไฉ่มองเขา ครู่หนึ่งถึงได้พยักหน้าหันกายจากไป เขามาแล้วไปเช่นนี้ทำให้คนรู้สึกมึนงง แต่หวงฝู่ฮ่วนกลับหรี่ตาลงครุ่นคิด มุมปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ หลังจากใช้สายตาส่งหานฉายไฉ่จากไปแล้ว เฉินปี้เฉิงถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “หญิงสาวข้างกายชายแก่คนนั้นดูเหมือนจะมีความสามารถในการควบคุมช่องว่าง ช่วงชุลมุนนางฉีกทางสายหนึ่งออกแล้วทั้งสองคนก็จากไป”
ควบคุมช่องว่าง
ประโยคนี้ทำให้พวกจีเหยาฮั่วห้าคนตกตะลึง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนอกจากเหยาชิงไห่อีกสี่คน เวลาที่พวกเขาอยู่กับสวี่สวี่นั้นไม่น้อยเลย แต่กลับไม่เห็นว่าสาวน้อยคนนี้จะเผยอะไรที่แตกต่างจากคนทั่วไปออกมาเลย
“น่าตายนัก! กลับซ่อนไว้แนบเนียนเสียขนาดมัน!” จีเหยาฮั่วกัดฟันพูดออกมาอย่างแค้นเคือง
เมื่อรู้ว่าการหายตัวไปของมู่ชิงเกอไม่เกี่ยวกับพวกผู้เฒ่าเหนือมังกรแล้ว พวกเขาก็สบายใจลงได้หน่อย
หลังจากจีเหยาฮั่วนิ่งเงียบไปแล้วก็เอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ ชิงเกอทำสัญญากับผู้เฒ่าเหนือมังกรว่าเขาจะพาชิงเกอเข้าสุสานแล้วจะจากไป”
“เช่นนั้นตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไร” จีเหยาฮั่วแบมือเอ่ย
เหยาชิงไห่กับหวงฝู่ฮ่วนล้วนแต่มองรอบๆ พร้อมกัน พูดขึ้นพร้อมกันว่า “ที่นี่ค่อนข้างแปลก”
พูดแล้วทั้งสองคนก็สบตากันอย่างแปลกใจแวบหนึ่ง ยิ้มบางๆ แล้วหวงฝู่ฮ่วนก็เอ่ยว่า “เชิญ”
เหยาชิงไห่เองก็ไม่กระบิดกระบวน เขาพยักหน้าแล้วเอ่ยกับคนอื่นๆ ว่า “ที่นี่ดูเหมือนจะเป็นห้องๆ หนึ่งในสุสานบรรพเทพ ในเมื่อมีที่นี่อยู่ก็ต้องมีความหมายในตัวมันเอง แต่ที่นี่ไม่มีของฝังร่วมอยู่ด้วย แสดงว่าไม่ได้มีเอาไว้เก็บของ สิ่งเดียวที่แปลกก็คือภาพลวดลายบนผนัง”
“ภาพลวดลายบนผนังเหล่านี้มีความหมายอะไรกัน” ซีเซียนเสวี่ยเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
เหยาชิงไห่ส่ายหน้าแล้วก็มองหวงฝู่ฮ่วน ฝ่ายหลังก็ส่ายหน้าเหมือนกัน
เขาเอ่ยต่อไปอีกว่า “ถึงแม้ว่าในตอนนี้พวกเราจะยังไม่รู้ว่าภาพลวดลายเหล่านี้มีความหมายอะไร แต่ก็สามารถแน่ใจได้ว่าไม่ใช่ของที่ไร้ประโยชน์ในขณะที่พวกเรากำลังหาทางออกก็สามารถปลดภาพลวดลายเหล่านี้ลงมาแล้วนำไปด้วย ไม่แน่ว่าต่อไปอาจจะหาคำตอบได้”
หวงฝู่ฮ่วนพยักหน้า “ข้าก็คิดเช่นนี้”
ในช่องว่างแห่งหนึ่งภายในสุสาน ปรากฎปากทางสายหนึ่งฉีกออก เงาร่างของคนสองคนออกมาจากด้านใน
“ไอ้หยา!” เสียงหญิงสาวร้องขึ้นอย่างตกใจ
จากนั้นก็มีเสียงชายแก่คนหนึ่งดังขึ้นตามมาว่า “ระวังหน่อย!”
หลังจากยืนดีแล้ว ก็เห็นได้ว่าเป็นผู้เฒ่าเหนือมังกรและสวี่สวี่สองคนปู่หลาน
“ท่านปู่พวกเราจากมาโดยไม่พูดอะไรสักคำเช่นนี้จะดีงั้นหรือ” สวี่สวี่ปัดๆ เสื้อของตนเอง แล้วพูดออกมา
แต่ผู้เฒ่าเหนือมังกรกลับพูดกับนางว่า “มีอะไรไม่ดี เรื่องที่รับปากกับนางไว้ข้าก็ทำได้แล้ว ข้าพานางไปถึงสุสานบรรพเทพ เรื่องจะสามารถเอาสิทธิ์แห่งเทพฮุ้นตุ้มาได้หรือไม่นั้นไม่เกี่ยวอะไรกับข้า อีกอย่าง ตอนนี้เหลือเวลาไม่มากแล้วข้าจะต้องรีบไปเอาสิทธิ์แห่งเทพเจ็ดสีมาไว้ในมือ รอออกไปแล้วพวกเราปู่หลานก็ค่อยปิดประตูบำเพ็ญ อีกไม่นานก็จะสามารถเข้าไปสู่แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารได้แล้ว”
พูดถึงแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารแล้ว นัยน์ตาของผู้เฒ่าเหนือมังกรก็ปรากฎความคาดหวัง
สวี่สวี่พูดอย่างไม่เข้าใจว่า “ไม่รู้จริงๆ ว่าแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารนั้นมีอะไรดี ท่านถึงได้อยากจะไปนัก”
ผู้เฒ่าเหนือมังกรกลับหรี่ตาลง ถอนหายใจ “เจ้าเด็กคนนี้ ไม่รู้สึกว่าสถานที่ที่ไม่เคยไปดึงดูดใจคนงั้นหรือ”
“เช่นนั้นหากเกิดว่าแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิดเอาไว้ล่ะ จะเสียใจหรือไม่” สวี่สวี่เอ่ยถาม
ผู้เฒ่าเหนือมังกรเอ่ยด้วยท่าที่ยากจะเข้าใจว่า “หากว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆก็ทำได้แต่ดูไปทีละก้าวแล้ว”
จากโลกแห่งยุคกลางเข้าไปในแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารก็ยากมากแล้ว แต่จากแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารกลับมาสู่โลกแห่งยุคกลางนั้นยากยิ่งกว่ายาก กำแพงระหว่างช่องว่างนั้นยากที่จะทำลาย นอกจากจะมีวิธีพิเศษ
ผู้เฒ่าเหนือมังกรค่อยๆ ส่ายหน้า ยิ้มอย่างขมขื่นในใจ “คิดเรื่องพวกนี้ตอนนี้ถือว่าเร็วเกินไปหน่อยไหม”
“ไปเถอะ พวกเราไปหาสิทธิ์แห่งเทพเจ็ดสี” ผู้เฒ่าเหนือมังกรพูดกับสวี่สวี่
สวี่สวี่พยักหน้า เงาร่างของปู่หลานสองคนพากันเสาะหาภายในสุสานเทพต่อ ส่วนสุสานบรรพเทพที่ปรากฎในบริเวณทับซ้อนระหว่างสุสานมารและสุสานเทพนั้นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาอีกแล้ว
‘ที่นี่เป็น…ใจกลางสุสาน? ห้องสุสานหลัก!’ มู่ชิงเกอยืนอยู่ในช่องว่างที่แปลกประหลาดแห่งหนึ่ง มองรอบด้านอย่างสงบ
ห้องสุสานหลักนั้นกว้างใหญ่มาก ยอดโดมนั้นวาดเป็นรูปจักรวาล รอบด้านวาดลวดลายภูเขา บนพื้นเป็นพื้นหินหยกที่นางไม่เคยพบเห็นมาก่อน
หินหยกนี้ใสเหมือนไขมันแพะ เรียบลื่น ด้านในเหมือนมีเมฆลอยวนอยู่
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว นางรู้สึกว่าภายในพื้นนั้นซ่อนพลังมหาศาลเอาไว้ ดูคล้ายกับพลังของศิลาวิญญาณ แต่ก็มีความแตกต่างอยู่
นางเงยหน้าขึ้น ตรงใจกลางสุสานมีบัลลังก์ว่างเปล่าหลังหนึ่ง ด้านหลังบัลลังก์นั้นมีโลงศพขนาดใหญ่วางอยู่ ที่ทำให้นัยน์ตาของนางหดตัวลงและฉายแววยินดีออกมาก็คือ บนโลงศพและบัลลังก์นั้นมีของที่ลอยอยู่เหมือนดวงดาว สาดแสงสว่างจางๆ โอบคลุมโลงศพและบัลลังก์อยู่
“สิทธิ์แห่งเทพ!” มู่ชิงเกอหลุดเสียงเอ่ย
ที่นี่เป็นสุสานของบรรพเทพ ส่วนที่ที่นางอยู่ หากว่าเดาไม่ผิดก็น่าจะเป็นใจกลางของสุสานบรรพเทพ
เช่นนั้นสิทธิ์แห่งเทพที่เห็นก็น่าจะเป็น…
“สิทธิ์แห่งเทพฮุ้นตุ้น!’’ นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเปล่งประกายงดงาม