ตอนที่ 539
เครื่องเซ่น ทางเลือกของมู่ซิงเกอ
“สิทธิ์แห่งเทพฮุ้นตุ้น!” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเปล่งประกายออกมา
สิทธิ์แห่งเทพที่สาดกระจายแสงอ่อนๆ ออกมาดุจดั่งสาวงามที่กำลังดึงดูดนาง ทำให้นางไม่อาจวางมือได้
มู่ชิงเกอก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่รู้ตัว
และในตอนที่นางก้าวลงไปก้าวหนึ่งนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น บัลลังก์ที่เคยว่างเปล่ากลับปรากฎเงามายาขึ้นมาสายหนึ่ง เหมือนกับคนกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์เงาร่างของคนคนนั้นสูงใหญ่มาก มู่ชิงเกอเมื่อยืนอยู่ต่อหน้าเขานั้นทำได้แค่เงยหน้ามองดุจดั่งมดตัวหนึ่ง
มู่ชิงเกอลอบตกตะลึงในใจ นางมองเห็นรูปโฉมของคนคนนั้นได้ไม่ชัด สัมผัสได้เพียงพลังอำนาจที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเขา
ความรู้สึกเช่นนี้นั้นไร้รูป เหมือนเมื่อนางอยู่ต่อหน้าของคนผู้นี้แล้วถึงจะหยิ่งผยองหรือมั่นใจแค่ไหนก็ยังรู้สึกว่าตัวเล็กอยู่ดี สองเข่าของนางเกิดความรู้สึกว่าอยากจะคุกเข่าขึ้น สิ่งนี้ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกตกตะลึงในใจ ความรู้สึกนี้มากกว่าครั้งแรกที่นางพบซือมั่วอีก เงาร่างนี้คือใครกัน เหตุใดจึงดูทรงอำนาจขนาดนี้ ทันใดนั้นความคิดที่น่ากลัวก็แวบเข้ามาในหัวของนาง ‘บรรพเทพ!’ ในใจของมู่ชิงเกอหลุดเสียงพูดออกไป
ความคิดนี้โผล่ออกมา แล้วก็เพิ่มขึ้นในใจของนางอย่างรวดเร็วจนน่ากลัว บรรพเทพนั้นเป็นบรรพบุรุษของเทพและมาร ยิ่งใหญ่แค่ไหนถึงสามารถเปิดโลกใหญ่น้อยได้
ตอนนี้แม้ว่าร่างกายจะกลับคืนฮุ้นตุ้นวิญญาณกลับคืนทะเลแห่งดวงดาวไปแล้วแม้จะมีเพียงแค่เศษเสี้ยวจิตวิญญาณก็เพียงพอแล้วที่จะบดขยี้นาง
สีหน้าของมู่ชิงเกอเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในใจลอบเอ่ยว่า ‘หากต้องการสิทธิ์แห่งเทพของบรรพเทพ ดูแล้วคงต้องผ่านการทดสอบที่หนักหน่วงก่อน ส่วนจิตวิญญาณของบรรพเทพนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไร’
“สามารถมาถึงที่นี่ได้ ดูแล้วเจ้าคงเป็นคนมีโชควาสนา” เงาร่างมายาเอ่ยปากพูด
เสียงนั้นดูเหมือนธรรมดาแต่กลับแฝงไว้ด้วยพลังอำนาจ ทุกประโยคทุกเสียงเหมือนกับฟ้าผ่าดังขึ้นในใจของมู่ชิงเกอ ทำให้นางรู้สึกว่าความเกรงกลัวในใจกำลังขยายวงกว้างอย่างต่อเนื่อง
นางตกใจ ‘เป็นแบบนี้ไม่ได้!’
มู่ชิงเกอกัดลิ้นใช้ความเจ็บปวดจากลิ้นข่มตนเองไม่ให้ตกอยู่ในอิทธิพล นางอาศัยความตั้งใจของตนเองห้ามไม่ให้ตนเองคุกเข่าลงไป
เงาร่างมายาพูดเพียงแค่ประโยคเดียวก็ไม่พูดอีก
มู่ชิงเกอเม้มริมฝีปากแน่น ใช้ฟันกัดลิ้น ไม่พูดอะไรเช่นกัน สองขาของนางสั่นสะท้าน แต่กลับยังคงยืดตรงไม่ได้งอลงไปแม้แต่นิดเดียว
“เอ?”
ครู่หนึ่ง เสียงนั้นก็ส่งเสียงประหลาดใจออกมา ความรู้สึกนี้ดูเหมือนที่นั่งอยู่ตรงหน้าของมู่ชิงเกอนั้นเป็นคนที่มีชีวิตคนหนึ่ง ไม่ใช่เงาร่างมายาสายหนึ่ง
มู่ชิงเกอกัดฟันแน่น เส้นเลือดตรงขมับนูนออกมา สีหน้าซีดขาว กระดูกทั้งร่างของนางเหมือนถูกกดจนดัง แครก ขึ้นอย่างชัดเจนในห้องสุสานที่ว่างเปล่า นางพยายามเหยียดคอที่หนักอึ้ง เบิกดวงตากว้างมองเงาร่างนั้น
ในที่สุดเสียงของเงาร่างนั้นก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง “ไม่เลว ไม่เลว คนธรรมดากระดูกคงถูกบดไปนานแล้ว แต่เจ้ากลับยังสามารถยืนไม่ขยับได้ เห็นได้ชัดว่าร่างกายของเจ้าถูกเคี่ยวกรำจนสมบูรณ์แบบแล้ว”
ทุกคำของเขา มู่ชิงเกอรู้สึกเหมือนว่ามีกำปั้นชกตรงเข้ามาบนหัวใจของนาง ดุจดั่งเข็มเหล็กแทงเข้ามาในหัวของนาง
ความเจ็บปวดนั้น ทุกๆ ครั้งล้วนแต่เกือบจะทำให้นางทรุดลงไป
แต่นางก็ยังฝืนเอาไว้ ตอนนี้แผ่นหลังของนางชื้นเหงื่อไปทั้งแถบ เสื้อผ้าที่ชื้นแนบไปกับผิวของนางทำให้รู้สึกเย็นยะเยือก
จิตใจที่ไม่ยอมแพ้ ความดื้อดึงไม่ยอมอดสูถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา ดวงตากลมโตสดใสของมู่ชิงเกอจ้องเขม็งไปที่เงาร่างนั้นแล้วเอ่ยด้วยนํ้าเสียงที่สั่นสะท้านแต่แน่วแน่ว่า “ยัง…มี…อะไร…อีก!”
เงาร่างคนส่งเสียงหัวเราะดังออกมา หัวเราะแล้วเขาก็เอ่ยว่า “เจ้าสามารถเดินมาถึงตรงนี้ได้ก็หมายถึงเจ้าผ่านเงื่อนไขที่จะเข้ามาที่นี่ ตอนนี้ไม่ตายก็หมายถึงความตั้งใจและร่างกายของเจ้าแข็งแกร่งเหนือคนธรรมดา”
เงื่อนไขที่จะเข้ามาที่นี่?
มู่ชิงเกอเข้าใจแล้ว จะต้องหมายถึงรากวิญญาณทั้งห้าที่นางมีอย่างแน่นอน หากไม่ใช่คนที่มีรากวิญญาณหลายรากในคนเดียวแล้วก็จะไม่สามารถเข้าสู่ประตูสุสานของที่นี่ได้
ส่วนความตั้งใจและร่างกาย…
ไม่ต้องให้เงาร่างมายาพูดตัวนางก็รู้ดี ไม่ว่าจะเป็นชาติก่อนหรือชาตินี้นางไม่เคยหย่อนการฝึกฝนร่างกายแม้แต่วันเดียว รวมถึงการฝึกฝนความตั้งใจด้วย
“เจ้ามาเพื่อฮุ้นตุ้นหรือ” เงาร่างนั้นเอ่ยถาม
ฮุ้นตุ้นหรือ?
ฮุ้นตุ้นคืออะไร? นางมาเพื่อสิทธิ์แห่งเทพฮุ้นตุ้น
“ข้ามาเพื่อสิทธิ์แห่งเทพฮุ้นตุ้น!” มู่ชิงเกอกัดฟันพูดคำตอบของตนเองออกไป
แต่เงาร่างคนนั้นกลับสงสัย “สิทธิ์แห่งเทพฮุ้นตุ้นหรือ?”
ครู่หนึ่งเขาถึงได้เอ่ยอย่างเข้าใจว่า “ตอนนี้พวกเจ้าเรียกมันว่าสิทธิ์แห่งเทพแล้วหรือ”
พูดแล้วเขาก็ยกแขนที่ดูเลือนรางขึ้น สิทธิ์แห่งเทพฮุ่นตุ้นที่ลอยตัวตกมาลอยอยู่ ในใจกลางฝ่ามือของเขา
เมื่อมองเห็นสิทธิ์แห่งเทพอันนั้นแล้ว นัยน์ตาของมู่ชิงเกอก็เปล่งประกาย
“ไม่ว่าเจ้าจะมาเพื่อสิทธิ์แห่งเทพ หรือว่ามาเพื่อฮุ้นตุ้น ดูแล้วจุดมุ่งหมายของเจ้าก็คือมัน” เงาร่างของคนคนนั้นชี้ไปที่สิทธิ์แห่งเทพในใจกลางมือของตนเอง
สิทธิ์แห่งเทพอันนั้น เมื่อมองใกล้ๆ แล้วถึงพบว่าดูไม่เหมือนกับที่เคยๆ เห็น
มู่ชิงเกอไม่ได้ปิดบังจุดมุ่งหมายของตนเองจึงพยักหน้า ดวงตามองไปที่สิทธิ์แห่งเทพอันนั้น สิทธิ์แห่งเทพฮุ้นตุ้นของบรรพเทพไม่เหมือนกับสิทธิ์แห่งเทพอันอื่นๆ มันสดใสโปร่งแสง ดุจดั่งคริสตัลเพชร ส่วนในคริสตัลสดใสแฝง ความรู้สึกเทาๆ ดูอึมครึม แต่ความรู้สึกฮึมครึมนี้กลับไม่กดทับแต่แฝงด้วยความรู้สึกลี้ลับของจุดกำเนิด ดูเหมือนการเริ่มต้นของทุกอย่างล้วนแต่มาจากสีเทาอันนี้ ใจกลางของสิทธิ์แห่งเทพ ท่ามกลางสีเทาที่เหมือนหมู่เมฆนั้นยังมีแสงสีทองสายหนึ่ง ถึงจะเล็กมากแต่หากจ้องมองอย่างละเอียดก็จะสามารถมองเห็นได้
‘นี่เป็นสิทธิ์แห่งเทพของบรรพเทพ! สิทธิ์แห่งเทพฮุ้นตุ้นเพียงอันเดียวในโลกน้อยใหญ่นี้!’ มู่ชิงเกอถอนหายใจในใจ
นางไม่ได้สังเกตว่าในตอนที่นางตกตะลึงไปกับความงามของสิทธิ์แห่งเทพของบรรพเทพนั้น ความกดดันได้ค่อยๆ ลดน้อยลง
“เจ้าต้องการมันนั้นได้ แต่หากคิดจะให้มันตามเจ้าไปนั้นกลับไม่ง่ายเช่นนั้น” เงาร่างที่คลุมเครือค่อยๆ พูดขึ้น
เขายกมือขึ้น สิทธิ์แห่งเทพที่ลอยอยู่เหนือมือของเขา ลอยขึ้นสู่ที่เดิม
มู่ชิงเกอจ้องมองมัน นัยน์ตาฉายแววอาลัยอาวรณ์ตามมันที่ขยับเคลื่อนไหว แต่กลับไม่มีความรู้สึกโลภหรืออยากแย่งชิงเลย
“ข้าต้องทำอะไร” มู่ชิงเกอถอนสายตาของตนเองออกมาจากสิทธิ์แห่งเทพฮุ้นตุ้นมาที่เงาร่างคนคลุมเครือบนบัลลังก์
แต่ไหนแต่ไรมานางก็เป็นคนตรงๆ ในเมื่อการจะเอาสิทธิ์แห่งเทพฮุ่นตุ้นไปต้องผ่านการทดสอบ เช่นนั้นก็เริ่มเลยเถอะ
“เจ้าช่างมั่นใจจริงๆ” เงาร่างนั้นหัวเราะเอ่ยออกมา ท่าทางไม่สับสนวุ่นวาย พูดคุยกับมู่ชิงเกอเหมือนผู้อาวุโสพูดคุยเล่นกับผู้เยาว์
“หากไม่มีความมั่นใจ ข้าก็คงจะไม่บุกมาจนถึงที่นี่” ตลอดมาสิทธิ์แห่งเทพที่มู่ชิงเกอต้องการก็คือสิทธิ์แห่งเทพฮุ้นตุ้น แม้แต่สิทธิ์แห่งเทพเจ็ดสีนางก็ถือว่าเป็นของเอาไว้สำรองเท่านั้น ไม่ใช่ทางเลือกแรก
“ถือเป็นเด็กน้อยที่น่าสนใจดี เจ้ารู้ว่าข้าคือใครหรือไม่” เงาร่างคนเอ่ยถาม
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ ใช้นํ้าเสียงที่เรียบสงบเอ่ยว่า “บรรพเทพ”
“บรรพเทพหรือ ตอนนี้พวกเจ้าเรียกข้าอย่างนั้นงั้นหรือ” เงาร่างคนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม ส่ายๆ หน้า เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ข้าก็คือเจ้าของสุสานที่นี่ และก็เป็นผู้เฝ้าสุสานของที่นี่ ชื่อของข้าไม่ใช่บรรพเทพอะไร แต่ชื่อว่าไท่อี”
ไท่อี!
‘ไท่ แสดงถึงความยาวไกล อี หมายถึงจุดกำเนิด…’ มู่ชิงเกอสูดลมหายใจเข้า เพียงแค่ชื่อนางก็สามารถสัมผัสได้ถึงตำแหน่งและสถานะของบรรพเทพได้แล้ว
นางไม่รู้ว่ายุคที่บรรพเทพอยู่นั้นเป็นโลกอย่างไร แต่เพียงแค่ชื่อ มู่ชิงเกอก็รู้สึกถึงพลังอำนาจของยุคนั้น แล้วก็ยังมีความสามารถของมหาเทพอีก เขาเป็นเจ้าของสุสาน และก็เป็นคนเฝ้าสุสานเอง ข้อมูลนี้ทำให้มู่ชิงเกอตกตะลึงมาก นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหลังจากบรรพเทพสิ้นสลายแล้วจะทิ้งเสี้ยวจิตวิญญาณของตนเองเอาไว้เป็นคนเฝ้าสุสานของตนเอง
“ข้าไม่หวังให้ถูกรบกวนหลังจากตายแล้วดังนั้นถึงได้ทิ้งเสี้ยวจิตวิญญาณสายหนึ่งเอาไว้ นอกจากนั้นก็ยังเพื่อรอคอยคนที่มีโชควาสนากับฮุ่นตุ้นปรากฎตัวอีกด้วย” เงามายาของบรรพเทพไท่อีเอ่ย
มู่ชิงเกอนิ่งเงียบไม่พูดจา ไม่ได้ขัดจังหวะสมาธิของบรรพเทพไท่อี
บรรพเทพไท่อีก็เอ่ยต่อว่า “อุ่นตุ้นนั้นข้าได้มาจากจักรวาลจุดกำเนิดของโลก หากต้องการพามันไปก็ต้องได้รับการยอมรับจากมันก่อน”
“จะให้มันยอมรับได้อย่างไร” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม
นางรู้สถานะของอีกฝ่ายแล้ว แต่กลับยังยืนสนทนากับอีกฝ่ายได้ไม่เพียงแต่เป็นเพราะบรรพเทพไท่อีได้คลายพลังกดดันไปแล้วเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะบรรพเทพไท่อี มักจะเผยให้เห็นถึงท่าทีที่ทำให้คนใกล้ชิดได้ง่ายอยู่เสมออีกด้วย ในโลกภายนอกเขาคือบรรพเทพเพียงหนึ่งเดียว เผ่ามังกรล้วนแต่ใช้คนในเผ่าตนเองมาเฝ้าสุสานให้เขา แต่ในใจของเขานั้น เขาก็เป็นเหมือนกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ไม่มี อะไรแตกต่างเลย
“อยากทำให้มันยอมรับก็ต้องเซ่นสังเวย” เงามายาของบรรพเทพไท่อีเอ่ยคำพูดที่ทำให้มู่ชิงเกอแปลกใจออกมา
“เซ่นสังเวย?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามอย่างสงสัย เงามายาของบรรพเทพไท่อีค่อยๆ พยักหน้า “ครั้งนั้นเพื่อที่ข้าจะได้มันมา ข้าได้เสียสละดวงตาและหูทั้งคู่ของข้า”
ดวงตาและหู
นั้นก็คือการมองเห็นและการได้ยิน
ในใจของมู่ชิงเกอรู้สึกตกตะลึง เกรงว่าเป็นใครก็คงคิดไม่ถึงว่าบรรพเทพไท่อีที่แข็งแกร่งกลับตาบอดและหูหนวก
“ไม่ผิด ข้าเสียสละสองตาและสองหู นับตั้งแต่นั้นมาก็แทนตาและหู”
มู่ชิงเกอนิ่งเงียบลง ไม่ใช่เพราะหวาดกลัว แต่ถูกคำพูดของบรรพเทพไท่อีทำให้ตกตะลึงไป นางค่อยๆ เอ่ย ว่า “มีบางครั้งที่มองเห็นและได้ยินก็ไม่แน่ว่าจะเป็น ความจริง เมื่อเปิดหัวใจแล้วจะมองเห็นและได้ยินความเป็นจริงมากขึ้น”
ในระหว่างที่พูด ดูเหมือนว่านางเองก็จะทำใจที่จะเสียดวงตาและหูเอาไว้แล้ว
“เจ้าอายุยังน้อยแต่กลับเปิดใจกว้าง ข้าในครั้งนั้นก็ยังลังเลอยู่นานถึงตัดสินใจได้” บรรพเทพไท่อีเอ่ย
“ต้องควักดวงตาและตัดสองหูออกมาหรือไม่” มู่ชิงเกอถามไปตรงๆ
“ไม่ ที่ข้าพูดนั้นเป็นเพียงแค่ตัวข้า ไม่ใช่เจ้า จะต้องเสียสละอะไรนั้น ฮุ้นตุ้นจะเลือกเอง แต่เจ้าวางใจ มันจะมอบทางเลือกให้แก่เจ้า…”