Skip to content

พลิกปฐพี 540

ตอนที่ 540

ข้าไม่อนุญาต!

“ไม่ ที่ข้าพูดนั้นเป็นแค่ตัวข้าไม่ใช่เจ้า จะต้องสังเวยสิ่งใดนั้น ฮุ้นตุ้นจะเลือกเอง แต่เจ้าวางใจได้ มันจะมอบทางเลือกให้แก่เจ้า…” บรรพเทพไท่อีพูดกับมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น นางเงยหน้าขึ้นมองสิทธิ์แห่งเทพที่ลอยอยู่กลางอากาศ

“เจ้า เตรียมตัวดีแล้วหรือยัง” บรรพเทพไท่อีเอ่ย เสียงของเขาดุดันและจริงจังขึ้นหลายส่วน

มู่ชิงเกอสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยักหน้า

บรรพเทพไท่อีเอ่ยว่า “ดี นี่คือทางเลือกที่ฮุ้นตุ้นมอบให้เจ้า!” พูดแล้วเขาก็ยกมือขึ้นสะบัด มีแสงสายหนึ่งยิงพุ่งออกมาจากสิทธิ์แห่งเทพฮุ้นตุ้นเข้ามาที่หว่างคิ้วของมู่ชิงเกออย่างรวดเร็ว

มู่ชิงเกอชะงัก ร่างนางหายวับไปจากห้องสุสาน ข้างหูได้ยินคำพูดของบรรพเทพไท่อี ‘เมื่อเจ้าเลือกสิ่งที่จะสังเวยได้แล้วก็จะกลับมาที่นี่อีกครั้งเอง!’

“ชิงเกอ!”

“ชิงเกอ?”

“คุณชาย!”

“มู่ชิงเกอ!”

มู่ชิงเกอยังไม่ทันได้ลืมตาก็ได้ยินเสียงตกตะลึงดังมาที่ข้างหู เสียงเหล่านี้นางคุ้นเคยมาก แต่ก็ไม่อาจระงับความตกตะลึงในส่วนลึกของหัวใจลงได้

ในตอนที่นางลืมตานั้นก็มองเห็นใบหน้าหลายดวงที่นางคุ้นเคยกำลังรายล้อมรอบตัวนางอย่างเป็นห่วงและแปลกใจ

“คุณชาย ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” หวงฝู่ฮ่วนยืนอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยถามออกมา

สายตาของมู่ชิงเกอกวาดมองใบหน้าของพวกเขารอบหนึ่งแล้วก็มองไปยังบรรดาคนที่อยู่ไกลออกไปที่กำลังตกตะลึงเช่นเดียวกัน

การปรากฎตัวขึ้นอย่างกะทันหันของนางทำให้คนตกใจไม่น้อย

ทุกคนที่ถูกขังอยู่ในสุสานนี้ล้วนแต่มองมาที่นาง

ซีเซียนเสวี่ยเบียดมาอยู่ที่ข้างกายนาง ดึงชายเสื้อของนางเบาๆ แล้วเอ่ยถามเสียงเบาว่า “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

มู่ชิงเกอค่อยๆ ส่ายหน้า เอ่ยกับทุกคนที่เป็นห่วงนางว่า “ข้าไม่เป็นไร”

นางยังไม่ทันได้ถามว่าที่นี่คือที่ไหน พวกเขากำลังทำอะไร ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นอย่างกะทันหัน พื้นของห้องสุสานที่นางอยู่เหมือนกำลังสั่นไหว

“เกิดอะไรขึ้น”

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

“ใต้ดินคงจะไม่มีตัวประหลาดอะไรออกมาอีกแล้วใช่ไหม!”

“ทุกคนระมัดระวังด้วย!” การสั่นไหวอย่างกะทันหันนี้ทำให้ทุกคนเกิดความ วุ่นวายขึ้นมา ภายในสุสานตอนนี้กลับปรากฎน้ำวนอันหนึ่งขึ้นบนส่วนยอดของสุสาน น้ำวนนี้เป็นสีขุ่นขาว ไหลวนอย่างรวดเร็ว ราวกับมีลมพายุพัดออกมาจากใจกลางน้ำวน พัดจนคนที่อยู่ในห้องสุสานยืนไม่อยู่ สั่นไหวไปมา

“อา! เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

“เหตุใดอยู่ดีๆ ถึงมีพายุแปลกประหลาดเกิดขึ้นได้”

“ข้ายืนไม่อยู่แล้ว”

ภายในสุสาน ทุกคนตกอยู่ภายใต้ความวุ่นวายและตกใจ

ทันใดนั้น มู่ชิงเกอก็สัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างดึงดูดตนเองจนลอยขึ้นจากพื้นพุ่งไปยังนํ้าวน นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหดตัวลง ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็ลอยขึ้น

กลางอากาศ

“ชิงเกอ!”

“ชิงเกอ!”

เว่ยมั่วลี่ตาดีมือไว ยื่นมือออกไปคว้าข้อเท้าของมู่ชิงเกอเอาไว้ไม่ให้นางลอยไปยังนํ้าวน ดาบหนักในมือแทงลงไปในพื้น อาศัยแรงฉุดให้เท้าของเขายืนได้อย่างมั่นคง

แต่เพียงพริบตา ใบหน้าของเว่ยมั่วลิ่ก็แดงก่ำ เส้นเลือดปูดโปน เขาส่งเสียงคำราม “อ๊าก!” ออกมา

ดาบหนักกลับหลุดออกมาจากพื้น พาตัวเขาลอยขึ้นไปกับมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอเบิกตามองตัวนางที่เข้าใกล้นํ้าวนเข้าไปอีก

อิ๋งเจ๋อรีบคว้าดาบหนักของเว่ยมั่วลี สองเท้ากระแทกลงไปอย่างรุนแรงจนเท้าทั้งสองข้างฝังลงไปกับพื้นจนถึงหัวเข่า

พวกเขาสามคนจับกันไว้อิ๋งเจ๋อใช้พละกำลังของตนเองอย่างเต็มที่ แต่ก็ยังต้านแรงดึงที่นํ้าวนดึงดูดมู่ชิงเกอไม่ได้

“ชิงเกอ!” ซีเซียนเสวี่ยใช้กระบี่เทพในมือสร้างสายนํ้าสะบัดออกไปพันเอวมู่ชิงเกอไว้ ดึงนางเอาไว้แน่น

สองเท้าของซีเซียนเสวี่ยถูกลากไปอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เองจีเหยาฮั่วกับเหยาชิงไห่ก็ไม่สนใจความไม่เหมาะสมระหว่างชายหญิงอีก พวกเขาพุ่งเข้าไปดึงซีเซียนเสวี่ยเอาไว้ กำลังของทั้งห้าคนกำลังลากมู่ชิงเกอแต่ก็ยังไม่พอ

ฉากนี้เกิดขึ้นในพริบตาเดียว รวดเร็วจนคนอื่นๆ ตั้งตัวไม่ทัน

เวลานี้เองก็มีเงาคนลอยมาจากที่ไกลออกไป เขาโยนเชือกในมือออกไปพันรอบเอวของมู่ชิงเกอ และออกแรงดึง เขามองไปทางหวงฝู่ฮ่วนและเฉินปี้เฉิงที่พุ่งตัวมาทาง มู่ชิงเกอเช่นเดียวกันแล้วเอ่ยว่า “ยังไม่รีบเข้ามาช่วยอีก!”

แต่เวลานี้มู่ชิงเกอกลับก้มลงมองทุกคนที่ใช้แรงทั้งหมดเพื่อดึงนางแล้วเอ่ยว่า “ปล่อยมือ!”

คำพูดของนางทำให้ทุกคนชะงัก นํ้าเสียงของนางสงบมาก ไม่ได้ดูร้อนรนเลย

“ข้าไม่เป็นไร ปล่อยมือเถอะ” มู่ชิงเกอใช้นัยน์ตาอันสดใสมองพวกเขา แล้วใช้นํ้าเสียงที่จริงจังเอ่ยว่า “เชื่อช้า ไม่เป็นอะไรหรอก”

ราวกับถูกดวงตาของนางทำให้หวั่นไหวทั้งยังไม่อาจปฏิเสธนางได้ คนที่ดึงนางชะงักอยู่กับที่

มู่ชิงเกอฉวยโอกาสขับเคลื่อนพลังจิตดีดพวกเขาออกไป ส่วนตนเองก็ถูกพลังจากนํ้าวนดูดเข้าไป

“ชิงเกอ!” ซีเซียนเสวี่ยตะโกนเสียงดัง

ตอนนี้เอง เมื่อมู่ชิงเกอถูกดูดเข้าไปในนํ้าวน นํ้าวนก็หยุดลง พายุอันแปลกประหลาดก็หายไปด้วย

นํ้าวนกลายเป็นเกราะโปร่งแสง แยกมู่ชิงเกอออกจากคนอื่นๆ เห็นได้ชัดว่าอยู่ในห้องเดียวกันแต่กลับเหมือนอยู่คนละโลก

“แปลกประหลาดเกินไปแล้ว!”

“ที่นี่แปลกประหลาดเกินไปแล้ว! พวกเราจะออกไป!”

ฉากนี้ทำให้คนจำนวนไม่น้อยตกตะลึง

ส่วนผู้ฝึกวิถีมารนับร้อยคนก็พากันมองไปยังหวงฝู่ฮ่วนและเฉินปี้เฉิง ดูเหมือนกำลังใช้สายตาถามพวกเขาว่า ควรทำอย่างไร

หวงฝู่ฮ่วนยกมือขึ้นให้พวกเขาสงบไว้

เพราะเขากับคนอื่นๆ ล้วนแต่มองเห็นมู่ชิงเกอยืนอยู่ด้านในกำลังมองบรรยากาศรอบด้าน

ที่นี่เป็นห้องสุสานห้องเดียวกัน แต่ดูเหมือนว่ามีเพียงสถานที่ที่มู่ชิงเกออยู่เท่านั้นที่เป็นช่องว่างอีกช่องว่างหนึ่ง ที่นั้นซ่อนอะไรไว้กันแน่

“หรือภายในนั้นจะซ่อนสมบัติอะไรไว้”

“มีโอกาสเป็นไปได้สูง มิเช่นนั้นแล้วจะซ่อนไว้อย่างลึกลับเช่นนี้ทำไม”

พวกเขาล้วนแต่มองเห็นว่าภายในช่องว่างนั้น ตรงหน้าด้านซ้ายและขวาของมู่ชิงเกอมีกล่องหินสองกล่อง พวกเขาล้วนแต่สนใจว่าภายในกล่องหินนั้นบรรจุอะไรไว้

“คงไม่ใช่ว่าภายในสุสานบรรพเทพมีสมบัติอะไรซ่อนอยู่ แล้วถูกเจ้าเมืองมู่พบเข้าหรอกนะ”

“อา โชคดีขนาดนี้พวกเราเทียบไม่ได้เลย”

“ใช่แล้ว สถานที่อันแปลกประหลาดนี้พาเจ้าเมืองมู่ไปยังอีกสถานที่หนึ่งซึ่งมีสมบัติ ถึงแม้พวกเราอยากจะไปด้วยก็ยังทำไม่ได้เลย”

พวกเขาพูดเช่นนี้แต่ในความเป็นจริงกลับแอบซ่อนความหมายเอาไว้ว่า ‘คิดจะแย่งก็แย่งไม่ได้’

ตรงหน้าปรากฎฉากที่แปลกประหลาดเช่นนี้ทำให้ผู้คนในสุสานล้วนแต่นิ่งเงียบลงมา ดูเหมือนทุกคนจะพากันมองไปที่มู่ชิงเกอในอีกช่องว่างอย่างสนใจ ส่วนสายตาของมู่ชิงเกอกลับมองไปบนกล่องหินสองกล่อง

กล่องหินนั้นไม่รู้ว่ามีมานานแค่ไหนแล้ว ลวดลายบนกล่องหินนั้นเลือนราง แต่ก็ยังคงทำให้คนรู้สึกถึงความเก่าแก่ของมัน

ตรงหน้านางเป็นประตูบานหนึ่ง นางไม่รู้ว่าประตูนี้คงอยู่ในสุสานด้วย น่าจะพูดว่าประตูที่นางมองเห็น รวมถึงภาพวาดลวดลายประตูที่ทุกคนในสุสานมองเห็นนั้นเป็นประตูบานเดียวกัน เพียงแต่ประตูที่ผู้คนภายในสุสานมองเห็นนั้นเป็นเพียงแค่ภาพลวดลายบนผนัง ส่วนที่นางมองเห็นนั้นกลับเป็นประตูที่ปิดอยู่และสามารถเปิดออกได้ตลอดเวลา

‘ประตูบานนี้ก็คือประตูไปสู่สถานที่ที่เจ้าอยู่เมื่อครู่ สามารถเปิดมันได้ก็คือได้รับการยอมรับจากฮุ่นตุ้น กลายเป็นเจ้าของคนใหม่ของมัน’ เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวของมู่ชิงเกอ

เสียงนี้ไม่ได้แปลกหน้าสำหรับนาง เป็นเสียงของบรรพเทพไท่อี

‘เปิดประตูนี้หรือ’ สายตาของมู่ชิงเกอเลื่อนไปอยู่บนประตูที่ปิดสนิท

‘มองเห็นกล่องหินตรงหน้าเจ้าสองกล่องหรือไม่’ เสียงของบรรพเทพไท่อีดังขึ้นอีกครั้ง นี่ทำให้มู่ชิงเกอมองไปบนกล่องหินด้านซ้ายและขวาอีกครั้ง

‘ด้านในเป็นทางเลือกที่ฮุ้นตุ้นมอบให้เจ้า เลือกอย่างหนึ่งแล้วสังเวย ประตูก็จะเปิดออก’ บรรพเทพไท่อีเอ่ย

‘ด้านในนี้เป็นเครื่องสังเวยที่ต้องเลือกงั้นหรือ’มู่ชิงเกอลอบเอ่ยในใจ

นางเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว ยกสองมือขึ้นมาเปิดกล่องพร้อมกัน

ทันใดนั้นก็มีแสงสองกลุ่มพุ่งออกมาจากกล่องทั้งสอง

ก้อนแรกมีสีฟ้าเข้ม ลึกลับแต่เย็นยะเยือก ส่วนอีกก้อนกลับเป็นสีแดงร้อนแรงดุจเปลวเพลิง

‘ถึงกับเป็นสังเวยวิญญาณและความรู้สึกเชียวรึ!’ เสียงของไท่อีเต็มไปด้วยความแปลกใจ

‘สังเวยวิญญาณ…สังเวยความรู้สึก…’ มู่ชิงเกอพึมพำ นัยน์ตาสดใสสะท้อนเงาของแสงสองก้อนนั้น

ข้างหูและในหัวของนางเหมือนจะได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆ ของบรรพเทพไท่อี ‘คิดไม่ถึงว่าฮุ้นต้นจะมอบการทดสอบเช่นนี้ให้เจ้า สังเวยวิญญาณนั้นก็คือให้เจ้าเสียสละจิตวิญญาณของตนเองเพื่อเซ่นสังเวยฮุ้นตุ้น หลังจากพันปีผ่านไป ฮุ้นตุ้นก็จะเก็บจิตวิญญาณของเจ้าไปทีละนิดจนเจ้ากลายเป็นซากร่างไร้จิตวิญญาณและไม่มีสติรับรู้หลงเหลืออีก ที่สำคัญก็คือเจ้าจะไม่มีโอกาสเวียนว่ายตายเกิดอีก นั้นก็หมายความว่าเจ้าจะสูญสลายไปอย่างแท้จริง ผลลัพธ์เช่นนี้ร้ายแรงเกินไปจริงๆ และก็เป็นการตัดทางถอยของตัวเจ้าเองด้วย หลังจากสละวิญญาณแล้วก็จะไม่สามารถชดเชยสิ่งที่เจ้าเสียไปได้อาศัยพรสวรรค์และพลังฝึกปรือของเจ้า หากว่าฝึกปรือต่อไปไม่ต้องพูดว่าสามารถมีชีวิตอยู่ได้แค่พันปีเลย เกรงว่าหมื่นปีหรือแสนปีก็ง่ายดายมาก พันปีสำหรับพวกเรานั้นสั้นเกินไปจริงๆ’ บรรพเทพไท่อีอธิบายความหมายของการสังเวยวิญญาณให้มู่ชิงเกอฟัง

มู่ชิงเกอนิ่งฟังเงียบๆ ไม่พูดจา ผลลัพธ์ของการสังเวยวิญญาณนั้นร้ายแรงจริงๆ พันปี ฟังดูแล้วยาวนานมาก แต่นางก็ยังคิดจะอยู่ร่วมกับซือมั่วไปทุกชาติทุกภพ แล้วจะยอมอยู่ด้วยกันเพียงแค่พันปีได้อย่างไร

“สังเวยความรู้สึกเล่า” มู่ชิงเกอเอ่ยปากถาม

‘สังเวยความรู้สึกรึ’ บรรพเทพไท่อีคิดแล้วเอ่ยว่า ‘ข้าแนะนำเจ้า หากไม่อยากจะละทิ้งฮุ้นตุ้น เลือกสละความรู้สึกจะดีที่สุด อย่างน้อยก็ดีกว่าสละวิญญาณมาก การสังเวยความรู้สึกนั้นก็หมายถึงการสละความรักของเจ้า ความรักนี้ก็คือความรักของเจ้าที่มีต่อเพศตรงข้าม หลังจากเสียสละแล้วเจ้าก็จะไม่มีความรักต่อใครอีก แม้จะเป็นคนรักคนก่อนของเจ้า เจ้าก็จะค่อยๆ มองเขาเป็นคนแปลกหน้า เป็นคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกัน การสละความรู้สึกนี้จะไม่ส่งผลต่อญาติและเพื่อนของเจ้า เป็นเพียงแค่ความรักระหว่างชายหญิงเท่านั้น ซึ่งดีกว่าสละวิญญาณมากนัก…’

“ข้าเลือกสละวิญญาณ” ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็พูดตัดบทพูดของบรรพเทพไท่อี

‘อืม เจ้ายังถือว่าเข้าใจ…อะไรนะ! เจ้าเลือกสละวิญญาณหรือ’ เมื่อบรรพเทพไท่อีได้สติขึ้นมาก็ตกตะลึง เสี้ยววิญญาณของบรรพเทพที่มีชีวิตอยู่มาตั้งแต่โบราณ กาลอย่างเขากลับถูกมู่ชิงเกอทำให้ตกตะลึงไป

‘เมื่อครู่นี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ’ บรรพเทพไพ่อีถามอีกครั้งอย่างไม่อยากจะเชื่อ

มู่ชิงเกอยังคงสงบนิ่ง พูดอย่างไม่ลังเลว่า “ข้าเลือกสละวิญญาณ”

‘เจ้าบ้าไปแล้ว! ใครๆ ก็มองออกว่าระหว่างทางเลือกสองทางเลือกนี้ทางเลือกไหนคุ้มค่าที่สุด! เหตุใดเมื่อมาถึงเจ้ากลับเลือกการค้าขายที่ขาดทุนเล่า’ บรรพเทพไท่อีพูดอย่างไม่เข้าใจ

มู่ชิงเกอกลับโค้งมุมปากยิ้มออกมาบางๆ เอ่ยว่า “สำหรับคนเหล่านั้นแล้วชีวิตสั้นยาวนั้นสำคัญมาก แต่สำหรับข้าแล้วหากต้องลืมคนรักของตนเองไปจนหมดสิ้นแม้ว่าข้าจะมีชีวิตอยู่เป็นพันเป็นหมื่นปีแล้วจะมีความหมายอะไร หากสามารถอยู่ร่วมกับเขาได้ แม้จะอยู่ได้แค่พันปี ข้าก็ยินดี”

‘เจ้าอย่าได้ถูกความรักทำให้ตาบอด ทางเลือกนี้เพียงแค่ตัดสินใจลงไปก็จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีกแล้วนะ’ บรรพเทพไท่อีเอ่ยโน้มน้าวใจ

“ข้าไม่เคยเสียใจกับทางที่ตนเองเลือก” มู่ชิงเกอพูดด้วยนัยน์ตาที่เรียบสงบ

นางไม่ได้ถูกความรักทำให้ตาบอด และก็ไม่ได้ถูกคุมขังไว้กับความรักเล็กๆ น้อยๆ เพียงแต่นางรู้ดีว่าหากนางเลือกเสียสละความรักแล้ว ซือมั่วจะเจ็บปวดแค่ไหน

ซือมั่วเคยลืมนางแต่กลับยังจำได้ว่านางเป็นผู้หญิงของเขา ทั้งยังดีต่อนางเช่นเดิม แต่ก็ยังทำให้นางรู้สึกทรมานและปวดใจ หากว่านางลืมเขา เห็นเขาเป็นแค่คนแปลกหน้าคนหนึ่ง เขาจะเจ็บปวดเพียงใด นางฝืนใจทำไม่ได้ จริงๆ และก็จะไม่ยอมให้คนที่ตนเองรักอย่างสุดหัวใจต้องใชhชีวิตอย่างทนทุกข์ทรมานด้วย

ให้นางลืมซือมั่วงั้นหรือ ขอโทษด้วย นางทำไม่ได้

มู่ชิงเกอไม่ได้พูดอะไรอีก นัยน์ตาฉายแววแน่วแน่ ก้าวไปยังก้อนแสงสีฟ้าเข้มอย่างมั่นคง

การพูดคุยกันระหว่างนางกับบรรพเทพไท่อีนั้นอยู่ภายในจิตวิญญาณ คนอื่นไม่ได้ยิน

แต่ในตอนที่นางก้าวเข้าไปใกล้กับก้อนแสงสีฟ้าเข้มเรื่อยๆ นั้น หวงฝู่ฮ่วนที่ยืนอยู่ด้านนอกกลับรู้สึกผิดปกติ ลางสังหรณ์อย่างหนึ่งทำให้เขาบีบยันต์ส่งสาส์นที่ซือมั่วมอบให้เขาอย่างไม่ลังเล

เขาไม่ได้บอกมู่ชิงเกอว่าก่อนที่พวกเขาจะเข้ามาในสุสานมารนั้น ท่านอาจารย์ของเขาตั้งใจมาหาเขาและก็มอบยันต์ส่งสาส์นให้เขา รวมทั้งให้เขาบีบมันในภาวะคับขัน

ยันต์ส่งสาส์นที่ถูกบีบหายไปอย่างไร้ร่องรอย

จากนั้นเพียงแค่เสี้ยวลมหายใจ ในตอนที่ก้อนแสงสีฟ้าเข้มกำลังค่อยๆ ลอยลงมาโอบคลุมมู่ชิงเกอและการห้ามปรามของบรรพเทพไท่อีไร้ผลจนต้องถอนหายใจอย่างหมดหนทางนั้น…

ช่องว่างของห้องสุสานถูกฉีกออกอย่างกะทันหัน เงาร่างสูงใหญ่ในชุดสีดำทมิฬก้าวออกมา ในตอนที่เขามองเห็นมู่ชิงเกอถูกแสงสีฟ้าโอบคลุมนั้น นัยน์ตาสีอำพันก็มีไอสังหารอันเย็นยะเยือกพุ่งออกมา นํ้าเสียงเย็นชาดังลอดออกมาจากไรฟัน “ข้าไม่อนุญาต!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version