Skip to content

พลิกปฐพี 66

ตอนที่ 66

ให้ท้ายคุณชาย

นี่คือเก้าดาราเรียง!

ตูม

พอได้ยินคำว่า ‘เก้าดาราเรียง’ ทุกคนในเขตล่าสัตว์ต่างก็ตื่นเต้น

ที่เรียกว่าเก้าดาราเรียงนั้นก็คือการยิงธนูทั้ง 9 ดอกออกไปอย่างรวดเร็วและลูกธนูทุกๆดอก นอกจากดอกแรก จะต้องทะลุปลายธนูดอกก่อนหน้านี้กลางอากาศ ทั้ง หมดเก้านัดที่ยิงออกไปเหลือไว้เพียงแค่รูธนูเพียงรูเดียวเท่านั้น

การยิงธนูแบบนี้เหมือนมีอยู่แค่ในตำนาน

เพราะว่าการทดสอบนี้ไม่ใช่แค่ต้องใช้สายตาที่แม่นยำเท่านั้น ยังต้องใช้ความสามารถในการตัดสินใจที่เฉียบคมอีกด้วย

ไม่มีใครคิดว่าระดับความสามารถในการยิงธนูในตำนานแบบนี้ วันนี้กลับได้มาเห็นจากเจ้าคนเสเพลไร้ค่าคนหนึ่ง

คนจำนวนไม่น้อยคิดว่าตนเองตาฝาด จนขยี้ตาไม่หยุด จนกระทั่งทหารเอาเป้าลูกศรของมู่ชิงเกอมาให้กับรัชทายาท รัชทายาทหน้าเสียแต่ไม่ได้พูดอะไร ทว่า ความตื่นตระหนกบนใบหน้านั้นก็ยากที่จะปกปิด

ทันใดนั้น สายตาที่ทุกคนมองมู่ชิงเกอนั้นก็พลันเปลี่ยนไป นี่คือมู่ชิงเกอที่พวกเขารู้จักหรือ นี่คือเจ้าเสเพลที่ไม่เอาไหนคนนั้นหรือ?

เฉากุ้ยที่ท้าพนันกับมู่ชิงเกอ ตอนนี้สีหน้าเขาราวกับตกลงไปในถํ้านํ้าแข็ง สีหน้าดูยํ่าแย่ยากที่จะบรรยาย ฉินอี้เหยามองมู่ชิงเกออย่างอึ้งสุดขีด ดวงตาอันงดงาม นั้นเต็มไปด้วยความฉงนสงสัย

ขนาดป๋ายซีเยวี่ยที่อยู่ท่ามกลางผู้คนก็ตกใจจนอ้าปากสีชมพูของตนเองค้าง ราวกับว่าไม่รู้จักชายในชุดขี่ม้าผู้นั้น

คนที่หัวเราะเยาะมู่ชิงเกอเมื่อสักครู่ตอนนี้ก็หน้าแดง เหมือนถูกตบอย่างแรง

“สุดยอด…สุดยอดมากเลย!” เจ้าอ้วนเช่าพูดอย่างตะลึง รู้สึกราวกับฝันไป

“ฮ่าๆๆๆ ” เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งดังออกมาจากชายหนุ่มชุดสีแดง “เอาเหล้ามา!”

พอมู่ชิงเกอตะโกนขึ้นมา ทหารข้างๆ ก็หยิบขวดเหล้าแล้วโยนไปให้นาง

ขวดเหล้าดินเผาหยาบๆ ลอยขึ้นกลางอากาศแล้วตกลงตรงมู่ชิงเกอในทันที

นางยื่นมือออกไปรับ จนแขนเสื้อตกลงปรากฏท่อนแขนที่ขาวดั่งหยก

นิ้วทั้งห้าของนางกำคอของขวดเหล้าไว้แน่น แล้วพูดทั้งรอยยิ้มกับทหารที่โยนขวดเหล้าให้กับนางว่า “ขอบใจ ไอ้น้องชาย!” ท่าทางที่ดูเป็นธรรมชาติแบบนั้น สั่นไหวจิตใจทุกผู้ในที่นั้น

ชายหนุ่มบนหลังม้าสวมชุดสีแดงสดพร้อมกับใบหน้าอันงดงาม เพราะลมพัดผ่านทำให้แขนเสื้อสีแดงของนางนั้นปลิวขึ้นมา ผมสีดำก็พลิ้วไปตามสายลมอย่างเป็นธรรมชาติราวกับกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวไปกับผืนฟ้า

รอยยิ้มของมู่ชิงเกอทำให้ทหารองครักษ์ผู้นั้นตกอยู่ในภวังค์เหม่อลอย อีกทั้งยังทำให้ผู้คนจดจำฉากอันน่าตื่นตาตื่นใจนี้เอาไว้

พอเอียงขวด เหล้าสีใสก็ไหลลงจากปากขวดผ่านกลางอากาศลงไปในปากกลีบสีแดงของนาง เหล้าบางส่วนที่ไหลเลอะออกมาจากมุมปากไหลลงไปตามแนวคางได้ รูปผ่านลำคออันงามสง่าเข้าไปตรงบริเวณไหปลาร้า

ฉากตรงหน้า ทำให้หลายคนกลืนนํ้าลายนัยน์ตาร้อนผ่าว

“ฮึ เสี่ยวเกอเอ๋อร์…” บนท้องฟ้า ในบริเวณหนึ่ง ระหว่างผืนฟ้าที่โดนควบคุมไว้มีเสียงหัวเราะแผ่วเบา เย็นเยือกไปถึงกระดูกดังลอยมา เสียงหัวเราะที่คล้ายมี แต่ก็คล้ายไม่มี

ภาพบรรยากาศบริเวณล่าสัตว์เหมือนอยู่ตรงหน้าเขา รวมทั้งความงามล่มเมืองของชายชุดแดงและยังมีสายตากระหายอยากของไอ้พวกน่าตายพวกนั้นอีก

คนสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาเดินถอยหลังไปหลายก้าวโดยพร้อมเพรียง จะได้ไม่โดนลูกหลงจากสายตาอันเยือกเย็นทำร้ายเข้า

หลังจากดื่มเหล้าไปหนึ่งคำมู่ชิงเกอก็หรี่ตาลงท่าทางสะลืมสะลือฝืนยิ้มออกมาอย่างลำบากแล้วกล่าวว่า “โลกนี้ทุกคนเหนือกว่าข้า โตขึ้นเข้าสู่สังคมช่างลำบาก ตอนนี้มีเวลาว่างจึงมาเล่า ความจริงรู้อยู่แก่ใจ โลกภายนอกช่างโหดร้ายแต่สุดท้ายก็ถูกชักนำโดยสังคม” กลอนบทนี้เป็นกลอนที่นางได้ยินบ่อยที่สุดเมื่อชาติที่แล้ว เพื่อนตายในสนามรบของนางจะท่องกลอนบทนี้ทุกครั้งที่เมา จนทำให้นางจำได้ขึ้นใจ

สำหรับตอนนี้แล้วช่างเหมาะกับสถานการณ์

เก้าดาราเรียงเป็นความสามารถที่นางเรียนมาเมื่อชาติที่แล้ว ถึงแม้ว่าไม่ค่อยได้ใช้ แต่เมื่อสักครู่ตอนนางยิงธนูทั้ง 9 ดอก นางเหมือนกลับไปยังทุ่งหญ้าแห่งนั้น ที่กว้างขวางเต็มไปด้วยวัว แพะ และหญ้าสีเขียว เป็นที่ๆ นางได้แสดงความสามารถของตนเองออกมา

“โลกภายนอกช่างโหดร้ายแต่สุดท้ายก็ถูกชักนำโดยสังคม” ฉินอี้เหยาพูดตามเบาๆ แล้วมองมู่ชิงเกอที่เหมือนกับว่ากำลังเมา

“ลูกพี่ช่างหล่อเหลางามสง่าโดยแท้! ช่างเป็นต้นแบบจริงๆ” ตาเล็กๆ ของเจ้าอ้วนเช่านั้นเหมือนมีรูปหัวใจโผล่ออกมาหลายดวง

“จอมเสเพลไร้ความสามารถผู้หนึ่งแต่งกลอนได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ”

“ไม่แน่ว่าอาจจะขโมยมาจากที่อื่นก็ได้นะ”

“ไม่ว่าเขาจะเป็นคนแต่งหรือไม่ แต่เท่าที่ฟังช่างถูกใจเสียจริง! ”

หลังจากที่รำลึกถึงชาติที่แล้วจบ มู่ชิงเกอใช้นิ้วหนีบขวดเหล้าเอาไว้ เท้าสะเอวอยู่บนหลังม้าพูดกับเฉากุ้ยด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายว่า “เจ้าแพ้แล้วรึยัง?”

ไม่ว่าจะไม่พอใจสักแค่ไหน ท่ามกลางสายตาของทุกคน เฉากุ้ยก็ยังไม่กล้าพูดอะไรที่ไม่เข้าหู

เขาเก็บความรู้สึกโกรธเกลียดเอาไว้ในใจ พูดอย่างจำนนว่า “ข้าแพ้แล้ว”

พอเขายอมรับ มู่ชิงเกอก็ลงจากหลังม้าทันที แล้วเดินไปหาเจ้าอ้วนเช่า พูดพลางหัวเราะเยาะเฉากุ้ยว่า “เจ้าอ้วน รอนานแล้วนะ”

พูดถึงการท้าประลอง เฉากุ้ยก็หน้าเสียแล้วมองรัชทายาท กลับเห็นใบหน้าของรัชทายาทนั้นไร้ความรู้สึก เหมือนกำลังไม่พอใจเขา

เฉากุ้ยรู้สึกตกใจ แต่ทำได้แค่กัดฟันแล้วค่อยๆ เดินไปหาเจ้าอ้วนเช่าพร้อมคุกเข่าลงพื้นดัง “ฟึ่บ” หลับตาแล้วโขกหัวสามที

พอโขกหัวเสร็จ ในขณะที่เขากำลังจะลุกขึ้นนั้น

มู่ชิงเกอกลับเตือนว่า “เหลืออีกสามคำ”

ใบหน้าของเฉากุ้ยกระตุกทีหนึ่ง กัดฟันแน่นแล้วพูดว่า “คุณชาย วันนี้ฝากไว้เพียงเท่านี้ก่อน วันหน้าค่อยเจอกัน”

“โอ้” มู่ชิงเกอแกล้งทำเป็นคิดแล้วยักไหล่ “แต่ข้าไม่อยากเจอเจ้าอีก เพราะฉะนั้นไม่ต้องฝากอะไรไว้หรอก”

“ใช่! ยังไม่รีบพูดอีก” ในขณะนี้เองเจ้าอ้วนเช่าก็ได้สติและพูดขึ้น

เฉากุ้ยโกรธจนเกือบจะกัดฟันตนเองจนแตกละเอียด

เขากำหมัดแน่น ถ้าไม่ใช่เพราะเกรงใจสถานที่และสถานการณ์ เขาคงจะยกมือขึ้นมาสั่งสอนไอ้เจ้าเสเพล 2 คนนี้ไปนานแล้ว

“ข้าเฉากุ้ยสู้เซ่าเย่เจ๋อไม่ได้!”

“ข้าเฉากุ้ยสู้เซ่าเย่เจ๋อไม่ได้!”

“ข้าเฉากุ้ยสู้เซ่าเย่เจ๋อไม่ได้!”

เฉากุ้ยพูดจบสามรอบก็พูดอย่างเย็นชากับมู่ชิงเกอว่า “คุณชาย คราวนี้ท่านคงพอใจแล้วนะ”

มู่ชิงเกอยิ้มอย่างเยือกเย็น พลางจูงมือของฉินอี้เหยาที่ยืนอยู่ข้างหลัง พูดกับเฉากุ้ยในขณะที่ฉินอี้เหยากำลังมึนงง  “คราวหลังควบคุมตาสุนัขทั้งสองข้างของตนเอง เอาไว้ให้ดี หากยังกล้าแอบมองผู้หญิงของข้าสุ่มสี่สุ่มห้าอีกล่ะก็ ข้าจะควักมันออกมาทำเป็นที่รองเท้า”

อย่าคิดว่านางจะไม่รู้ว่าตาสุนัขของเฉากุ้ยนั้นกำลังแอบมอง และเอาเปรียบฉินอี้เหยาทางสายตา คำพูดของมู่ชิงเกอทำให้ฉินอี้เหยาหัวใจเต้นรัว แก้มที่เยือกเย็นนั้นเป็นสีแดงขึ้นมา

เฉากุ้ยริมฝีปากกระตุก พลางกัดฟันเค้นเสียงพูดว่า “ทราบแล้ว”

เรื่องราวจบลงเพียงเท่านี้

และยังไม่ทันที่มู่ชิงเกอ เจ้าอ้วนเช่าหรือคนอื่นจะได้ทันพูดอะไร

ก็ได้ยินเสียงอัน อันตรายเสียงหนึ่งดังลอยมา “คุณชาย ท่านช่างน่าเกรงขามเสียจริง!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version