ตอนที่ 79-10
คุณชายตบหน้าอย่างรุนแรง
เขาหวังให้รุ่ยอ๋องพูดอะไรสักอย่างในเวลานี้ ทว่าพระองค์กลับยืนเงียบและไม่มีทีท่าจะพูดอะไร
พอเห็นสายตาคาดหวังของลวี่ซ่ง มู่ชิงเกอก็หัวเราะเยาะ แล้วเดินไปหาเขา “ดูเหมือนว่าคนไร้ค่าจะเป็นเจ้านะไม่ใช่ข้า ถึงแม้ข้าจะไม่สามารถฝึกฝนพลังได้แต่อย่างน้อยก็ยังมีประโยชน์แล้วเจ้าเล่า?”
การเข้ามาใกล้ของนางบีบให้ลวี่ซ่งต้องถอยหลังไปหลายก้าว สีหน้าดูแย่เป็นอย่างมาก
ใช่! เขาพูดถูก!
ลวี่ซ่งรู้สึกตื่นตระหนก
แม้ว่ามู่ชิงเกอจะไม่มีความสามารถ แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ยังมีฐานะเป็นคุณชายและยังเป็นหลานชายของมู่ซง แต่เขานั้นเป็นแค่ลูกของขุนนางขั้นสามเล็กๆ ที่กล้ารังแกคุณชายตระกูลมู่เป็นเพราะว่ามีอำนาจบารมีของรุ่ยอ๋องคอยคุ้มครองอยู่
หากรุ่ยอ๋องยังไม่สนใจเขาอีกต่อไป อย่างนั้นผลลัพธ์จากการทำให้มู่ชิงเกอไม่พอใจ…
ชื่อเรียกมู่ชิงเกอ เป็นอันธพาลเสเพลอันดับหนึ่งของลั่วตู นั้นไม่ได้ได้มาด้วยความบังเอิญ เมื่อลวี่ซ่งคิดถึงจุดสำคัญของเรื่องนี้ได้แล้ว สีหน้าก็ซีดลงในทันที
ลวี่ซ่งพยายามอย่างสุดชีวิตในการขอความช่วยเหลือจากฉินจิ่นห้าว แต่เขากลับทำเหมือนไม่เห็น ราวกับว่าตัดสินใจแล้วว่าจะใช้เขามาเป็นเครื่องมือระบายอารมณ์ให้กับมู่ชิงเกอ
“ทหาร!” ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็หยุดทุกการกระทำ แล้วเงยหน้าตะโกนขึ้นมาเสียงดัง
ทหารตระกูลมู่พลันปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าพวกเขาทั้งสามคน
“คุณชาย!” หัวหน้าองครักษ์ประกบมือคาราวะ
ในสายตาของเขา ราวกับมีแค่มู่ชิงเกอเพียงผู้เดียวอย่างงั้น
ฉินจิ่นห้าวที่ยืนเงียบอยู่ขมวดคิ้วมากกว่าเดิม เพราะทหารองครักษ์ทำเป็นเมินเฉยต่อเขา ทำให้เพลิงแห่งโทสะในใจของเขาเพิ่มพูนยิ่งขึ้น
มู่ชิงเกอกระตุกมุมปากพูดว่า “เอาตัวไอ้สุนัขที่อวดอ้างบารมีผู้อื่นตัวนี้ออกไป หากยังกล้าเข้าใกล้จวนตระกูลมู่อีก ก็ตัดขาทั้งสองข้างของมันทิ้งเสีย!”
“ขอรับ!” ทหารของตระกูลมู่ไม่รอช้า
ทุกคนเดินอ้อมรุ่ยอ๋องที่มีสีหน้าดำคลํ้าไปใช้ฝักดาบตรึงแขนทั้งสองข้างของลวี่ซ่งแล้วเตะไปที่เข่าของเขาอย่างไม่ไว้หน้า ทำให้เขาเจ็บจนร้องขอความช่วยเหลือ
“รุ่ยอ๋อง ช่วยกระหม่อมด้วย!”
ลวี่ซ่งถูกพาตัวออกไป เสียงร้องขอให้ช่วยอันเจ็บปวดนั้น ดังก้องไปทั่วห้องโถงกลางของจวนตระกูลมู่
ฉินจิ่นห้าวพยายามอดทนต่อความรู้สึกอับอายแสบร้อนบนใบหน้า แล้วพูดกับมู่ชิงเกอด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “เจ้าคงพอใจแล้วนะ?”
ที่เขาไม่พูดอะไรเลยเมื่อสักครู่ เพราะคิดว่ามู่ชิงเกอกำลังเอาแต่ใจ จึงปล่อยให้เขาทำตามใจถึงขั้นนี้
ดังนั้นยามนี้ ตอนที่ถามคำถามนี้ น้ำเสียงจึงดูเป็นการกล่าวโทษ
สำหรับคำถามของฉินจิ่นห้าว มู่ชิงเกอแค่ยิ้มบางๆ “รุ่ยอ๋องดูถูกกระหม่อมมากไปเสียแล้ว หากพระองค์จากไปด้วยกระหม่อมถึงจะพอใจ” พอพูดจบนางก็เดินออกไป ไม่ยอมที่จะอยู่กับรุ่ยอ๋องต่ออีกแม้แต่วินาทีเดียว
ฉินจิ่นห้าวสีหน้าบึ้งตึง จ้องมองมู่ชิงเกอที่จากไปอย่างสบายใจเขม็ง ดวงตาคมคู่นั้นค่อยๆ หรี่ลง
นี่คือมู่ชิงเกอหรือ? ไม่เพียงแต่ไม่แสดงความรักใคร่ต่อเขา แต่กลับรังเกียจที่จะเข้าใกล้เขา?
การได้รับรู้เช่นนี้ทำให้ฉินจิ่นห้าวรู้สึกแย่มาก มีอารมณ์บางอย่างที่ยากจะเอ่ยออกมา ทำให้เขาหงุดหงิดจนอยากสังหารคนเหลือเกิน! ราวกับว่าเขาสามารถ เล่นกับความรู้สึกของนางอย่างไรก็ได้ แต่นางกลับไม่สามารถแสดงความไม่พอใจต่อเขาออกมาได้เลยแม้แต่น้อย
‘มู่ชิงเกอ ข้าทนเจ้ามามากพอแล้ว อยากจะใช้แผนการบ้าๆ เช่นนี้ในการโน้มน้าวและเรียกร้องความสนใจจากข้ารึ’ ดวงตาทั้งคู่ของฉินจิ่นห้าวคมปลาบดั่งมีดดาบ
ชุดสีขาวชุดหนึ่ง โผล่ออกมาจากด้านหลังห้องโถงกลาง เมื่อเห็นแผ่นหลังแข็งแรงในชุดสีดำสนิททั้งร่างของรุ่ยอ๋อง ในสายตาของนางก็มีความอ่อนโยนเกิดขึ้นและค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้เขา
“เจ้าสืบได้ความหรือยังว่าช่วงนี้มู่ชิงเกอยุ่งอยู่กับอะไร?” ยังไม่ทันที่นางจะเข้าใกล้ เสียงอันเยือกเย็นก็ดังขึ้น
ป๋ายซีเยวี่ยหยุดก้าวเท้าเพราะคำพูดนี้พอเห็นถึงความคาดหวังของคนรักแล้ว นางก็ตื่นตระหนก “หม่อมฉัน ยังเพคะ”
ยัง คำตอบนี้ไม่ใช่คำตอบที่ฉินจิ่นห้าวต้องการ
เขาค่อยๆ หันกลับมา มองป๋ายซีเยวี่ยด้วยสายตาอันโหดเหี้ยม ใบหน้าอันเย็นชานั้นไม่มีความอ่อนโยนอยู่เลย “นานถึงเพียงนี้แล้วยังไม่ได้ความอีกรึ?”
“รุ่ยอ๋อง ทรงให้เวลาหม่อมฉันอีกหน่อย”
เสียงอันเยือกเย็นของชายหนุ่ม ทำให้ป๋ายซีเยวี่ยหัวใจเต้นรัวและเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
ฉินจิ่นห้าวแค่นเสียงเยือกเย็นคำหนึ่ง พูดทิ้งท้ายไว้สี่คำว่า “สามวันสุดท้าย” แล้วก็เดินจากไปอย่างไม่ไยดี
ป๋ายซีเยวี่ยมองเงาร่างอันสูงใหญ่ที่เดินจากไป ในใจรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก นางโหยหาความอ่อนโยนและความรักที่มีต่อนางดั่งวันนั้นของรุ่ยอ๋อง ‘ทุกอย่างเป็น เพราะมู่ชิงเกอ!’ อยู่ๆ ป๋ายซีเยวี่ยก็โยนความผิดทั้งหมด ให้กับมู่ชิงเกอ ดวงตาที่หวาดกลัวคมกริบขึ้นมา มู่ชิงเกอไปไหนกันแน่นะ?
เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับ หลังจากที่ฉินจิ่นห้าวรู้ว่ามู่ชิงเกอไม่อยู่ในเมืองหลวง ก็ได้สั่งให้คนไปสืบแล้ว
แต่ว่า ข่าวที่สืบมาได้คือมู่ชิงเกอไปยังค่ายทหารของตระกูลมู่
เขาที่เป็นคนไร้ค่าและไม่สามารถฝึกฝนพลังได้ จะไปทำอะไรที่ค่ายทหาร? เรื่องนี้ต่างหากที่เป็นสิ่งที่ฉินจิ่นห้าวเคลือบแคลงใจ
ครั้งนี้เขาได้ข่าวจากป๋ายซีเยวี่ยว่ามู่ชิงเกอกลับมายังจวน จึงเร่งมาหาและจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ ประการแรก คืออยากจะสานสัมพันธ์ระหว่างเขาสองคน เพราะในเวลานี้เขารู้สึกว่ามู่ชิงเกอไม่ได้มองเขาเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจเหมือนเดิมแล้ว และจุดประสงค์ ประการที่สองคืออยากจะมาถามว่ามู่ชิงเกอไปทำอะไรที่ค่ายทหาร
น่าเสียดาย ที่ตอนนี้ทุกอย่างกลับพังไม่เป็นท่า
เรื่องนี้ทำให้ความอดทนที่ฉินจิ่นห้าวมีต่อมู่ชิงเกอถึงขีดสุดแล้ว
มู่ชิงเกอรีบกลับไปยังค่ายทหารของตระกูลมู่ นางรีบไปดูผลลัพธ์การฝึกของเหล่าองครักษ์จึงจะได้รู้ว่าควรทำอย่างไรในขั้นต่อไป หลังจากที่กลับไปบนภูเขาทั้ง 503 คนกำลังฝึกฝนร่างกายตามคำสั่งของนาง
จากตอนเริ่มต้นที่รู้สึกไม่คุ้นเคยตอนนี้พวกเขายอมรับการฝึกฝนเช่นนี้แล้วและในขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงความแข็งแกร่งที่มากขึ้นเรื่อยๆ ของร่างกายและจิตใจ
หลังจากที่ดูมารอบหนึ่งแล้ว มู่ชิงเกอก็เรียกมั่วหยางเข้ามาหา
พอมั่วหยางที่ร่างกายท่วมไปด้วยเหงื่อปรากฏตัวขึ้นตรงหน้านาง นางก็โยนผงยาและเม็ดโอสถที่นางปรุงไปตรงหน้าเขาแล้วสั่งว่า “ผงยาพวกนี้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปให้ใส่ในนํ้าที่ใช้อาบ จะให้ความอบอุ่นและช่วยบำรุงกระดูกของพวกเจ้า และโอสถพวกนี้ก็แจกให้ทุกคนให้กินวันเว้นวันครั้งละเม็ด”
โอสถระดับตํ่าที่นางปรุงในครั้งนี้ไม่ได้มีมากนักหลัง จากที่แบ่งให้กับทั้ง 503 คนแล้วก็เหลือเพียงคนละสามเม็ดเท่านั้น
แม้จำนวนโอสถจะไม่มาก แต่หากบวกกับผงยาก็คงจะได้ผลลัพธ์ตามที่หวัง
ตำรายาในหัวของมู่ชิงเกอนั้น ทำให้นางสามารถปรุงโอสถและผงยาที่เหมาะกับคนพวกนี้ได้
มั่วหยางถือของแล้วเดินออกไป มู่ชิงเกอพักผ่อนสักพัก แล้วเริ่มเข้าร่วมการฝึกฝนด้วย
ตอนนี้นางเป็นสายเขียวขั้นแรกแล้ว ด้วยฤทธิ์ของยาเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอ ทำให้ความแข็งแกร่งของร่างกายเพิ่มขึ้นมาก ความจริงแล้วการฝึกฝนเช่นนี้ไม่ได้มีผลและช่วยอะไรนางได้มากนัก แต่นางยังคงต้องฝึกฝนไปพร้อมๆ กับทหารเหล่านี้
ไม่ได้เพื่ออะไรเพียงแต่ในชาติที่แล้วนางคุ้นชินกับการที่จะฝึกสิ่งเหล่านี้ในขณะเดียวกันก็ทำให้นางเข้าใจจุดเด่นและจุดด้อยของทุกคนได้รวดเร็วมากขึ้น
การฝึกฝนภายในหุบเขาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากการฝึกฝนที่ปิดตายทั้งเดือนที่ผ่านมานี้ คุณชายอย่างนางและอีก 503 คนได้กลายเป็นหัวข้อสนทนาที่เหล่าทหารในตระกูลมู่ต่างก็กล่าวถึง
พวกเขาสงสัยว่าคุณชายพาองครักษ์ไปทำอะไรบนภูเขา ในขณะเดียวกันก็ได้ข่าวว่าอีกสองเดือนจะประลองกับทหารที่เหลือ
มู่ซงสั่งการเอาไว้แล้วว่า ห้ามใครเข้าใกล้บริเวณหุบเขาที่มู่ชิงเกอใช้ฝึก ตั้งแต่รองแม่ทัพจนถึงเหล่าทหารต่างก็ทำตามคำสั่งของเขาอย่างเคร่งครัด เพราะฉะนั้นมู่ชิงเกอที่อยู่ในหุบเขาจึงเหมือนสลายหายไปต่อหน้าทุกคน
ฉินจิ่นห้าวสั่งให้สายสืบทั้งหมดของตนเองกระจายกำลังกันออกไป แต่ก็ยังไม่ได้ข่าวที่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย
ในวันนี้มู่ชิงเกอหยุดการฝึก
นางเรียกทุกคนมารวมกันและยืนอยู่บนหุบเขาเพื่อเริ่มเตรียมการขั้นต่อไปของนาง
ยาเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอที่นางขโมยมานั้น ไม่ได้มีแค่หลอดเดียว
นางใช้ไปแล้วหลอดหนึ่ง แล้วตอนนี้ในตู้เซฟเก็บอุณหภูมิที่อยู่ในช่องว่างของนางนั้นยังเหลืออีกเก้าหลอดที่ยังวางนิ่งอยู่อย่างสงบ
มู่ชิงเกอเหลือหลอดหนึ่งเพื่อเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็น แล้วเอาอีกแปดหลอดมาเจือจางเพื่อแบ่งเป็น 503 ถ้วย
ในตอนนี้บริเวณบนโต๊ะยาวด้านหลังของนาง มีถ้วยอยู่ 503 ใบ วางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
มู่ชิงเกอยืนเอามือไพล่หลัง สายตากระจ่างใสนั้นกวาดมองเหล่าทหารที่อยู่ตรงหน้า
ชายหนุ่มเหล่านี้หลังจากที่ฝึกฝนอย่างทรหดมาเป็นเดือนก็ดูแข็งแกร่งมากขึ้น ลดความเหลาะแหละไปได้ไม่น้อย ขนาดสาวใช้อย่างโย่วเหอและฮวาเยวี่ยก็ไม่ได้อ่อนนุ่มราวสายนํ้าดังเดิมแต่ใบหน้านั้นก็ดูองอาจขึ้นหลายส่วน
“วันนี้ข้ามีเรื่องหนึ่งจะมาประกาศ” มู่ชิงเกอพูดขึ้น
เพราะเสียงของนางทำให้ทุกคนตั้งสติและฟังอย่างตั้งใจ
“ถ้วยด้านหลังตัวข้า มียาระดับเทพเจ้าชนิดหนึ่งที่สามารถแก้ไขธาตุและพรสวรรค์ในกายของพวกเจ้าได้ หลังจากที่กินเข้าไปแล้วพวกเจ้าจะเจ็บปวดเกินทานทน แต่จะเป็นหรือตายนั้นข้าไม่รับประกัน แต่ที่ข้ายืนยันได้ก็คือ หลังจากที่พวกเจ้าอดทนจนผ่านพ้นมาได้ พวกจ้าจะได้รับในสิ่งที่ทั้งชีวิตนี้ก็ไม่อาจฝันถึง พวกเจ้าจะยอมดื่มหรือไม่นั้นก็แล้วแต่พวกเจ้าเถิด”
คำพูดของมู่ชิงเกอทำให้ทั้ง 503 คนตื่นตระหนกจนเบิกตากว้าง พวกเขาลืมไปแล้วว่าต้องเอ่ยคำพูดอย่างไร ราวกับว่ากำลังซึมซับคำพูดของมู่ชิงเกอ และเข้าสู่กระบวนการวิเคราะห์เกี่ยวกับคำพูดที่มู่ชิงเกอพูดออกมา
เปลี่ยนแปลงธาตุในตัว เปลี่ยนแปลงพรสวรรค์ ยาวิเศษพลิกฟ้าเช่นนี้มีอยู่จริงหรือ? และยังอยู่ห่างจากพวกเขาไปเพียงไม่กี่ฉื่อเท่านั้น?
อยู่ๆ มั่วหยางก็ก้าวเข้ามาข้างหน้า มองมู่ชิงเกอแล้วพูดอย่างมุ่งมั่นว่า “คุณชาย มั่วหยางพร้อมที่จะเป็นตัวทดลองยาให้แก่คุณชาย” มู่ชิงเกออึ้งพลันกะพริบตาอย่างไม่รู้ตัว
แต่ว่าทุกคนกลับเข้าใจผิดเพราะคำพูดของมั่วหยาง และต่างก็พูดว่า “คุณชาย ข้าน้อยพร้อมที่จะเป็นตัวทดลองยาให้แก่ท่าน”
ขนาดสาวใช้เช่นโย่วเหอและฮวาเยวี่ยเองก็ไม่ยอมที่จะแสดงความอ่อนแอออกมา
ท่ามกลางคำพูดที่ว่าเป็นตัวทดลองยา ทำให้มู่ชิงเกอเข้าใจในที่สุด นางไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือจะร้องไห้ดีแล้วพูดกับมั่วหยางว่า “เจ้าคิดว่าตัวเองฉลาดมากหรือไง? ข้าต้องการใช้พวกเจ้าในการทดลองยารึ?” ฉับพลันนั้น ฝ่ามือของนางก็มีประกายแสงสีเขียวปรากฏขึ้น
ทันใดนั้น สายตาของทุกคนที่อึ้งงันอยู่ต่างก็ค่อยๆ มองตํ่าลง
“นี่….นี่มันสายเขียว!”