ตอนที่ 79-9
คุณชายตบหน้าอย่างรุนแรง
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เวลาที่สบกับดวงตาที่สีขาวและดำแยกออกจากกันอย่างชัดเจนคู่นั้น มู่ชิงเกอก็รู้ลึกราวกับโดนแอบอ่านใจอย่างนั้น นางขมวดคิ้วน้อยๆ สายตาที่บ่งบอกถึงความคิดภายในจิตใจคู่นั้นก็ละกลับไปอย่างเงียบๆ
มู่ชิงเกอมองฉินจิ่นเฉินครู่หนึ่งแล้วหันไปตะโกนใส่เจ้าอ้วนเช่าว่า “เจ้าอ้วน ไปกันเถอะ”
เจ้าอ้วนเช่าที่รอมาเป็นเวลานาน พอได้ยินคำนี้ก็รีบวิ่งเข้ามาตามคำเรียกทันทีใบหน้าอ้วนๆ นั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
บอกลาเสียนอ๋อง มู่ชิงเกอและเจ้าอ้วนเช่าก็เตรียมที่จะจากไป
อยู่ๆ ฉินจิ่นเฉินก็พูดขึ้นมาว่า “หากไม่ชอบ เหตุใดไม่จากไปเล่า?”
มู่ชิงเกอหยุดเดิน ขมวดคิ้วพลางหันไปมองฉินจิ่นเชิน
เหมือนกำลังถามถึงความหมายของคำที่เขาพูดออกมา
ช่างน่าเสียดาย สิ่งที่นางเห็นมีเพียงสายตาอันนิ่งสนิทเท่านั้น
หลังจากที่หันหลังเดินไป เสียงของมู่ชิงเกอก็ค่อยๆ จางและหายไปจากสายตาของฉินจิ่นเฉินในสายตาที่สงบคู่นั้นเหมือนผุดความผิดหวังออกมาจางๆ
หลังจากที่เดินออกมาจากภูเขาเล็กๆ นั้น เจ้าอ้วนเช่าก็ถามว่า “ลูกพี่ ที่เสียนอ๋องพูดหมายความว่าอย่างไร?”
“ไม่รู้” มู่ชิงเกอตอบอย่างง่ายดาย
“หืม? ท่านก็ไม่รู้หรือ?” ใบหน้าของเจ้าอ้วนเช่าเต็มไปด้วยความแปลกใจ
มู่ชิงเกอมองเขาชั่วขณะหนึ่งพลันหัวเราะออกมา “ดูท่าทางของเจ้าสิ ทำเหมือนกับว่าข้าต้องรู้เรื่องราวทุกเรื่องบนโลกนี้อย่างนั้นล่ะ”
ใครจะรู้ว่าเจ้าอ้วนเช่าคิดเช่นนี้จริงๆ “แน่นอนสิ ท่านเป็นใครกัน? ท่านเป็นถึงลูกพี่ของเช่าเย่เจ๋อเลยนะ”
มู่ชิงเกอพูดอะไรไม่ออก
นางยอมรับว่านางยอมแพ้ให้กับคำตอบของเจ้าอ้วนนี้เลยจริงๆ
แค่การที่นางเป็นลูกพี่ของเขา นางก็ต้องรู้ไปหมดทุกเรื่องงั้นรึ? แล้วสองเรื่องนี้มันมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกันตรงไหน?
“ลูกพี่ เราต้องฉลองวันเกิดย้อนหลังให้กับองค์หญิงน้อยไม่ใช่เหรอ? เราออกมาเช่นนี้ ไม่เป็นไรใช่ไหม?” เจ้าอ้วนเช่ารีบวิ่งตามมาแล้วถาม
“หากเจ้าอยากอยู่ต่อ ข้าก็ไม่ห้าม” มู่ชิงเกอพูด
“ไม่ๆๆ! ข้าเป็นถึงคุณชายเจ้าสำราญที่มีชื่อเสียงแห่งลั่วตู กลับต้องมาเป็นเพื่อนเล่นกับแม่นางน้อยแบบนี้ หากผู้ใดรู้ก็คงจะอับอายขายขี้หน้า อีกอย่างอยู่ต่อก็เบื่อ โดยเฉพาะการอยู่กับเสียนอ๋อง ทำให้ข้าหายใจแทบจะไม่เป็นจังหวะ ข้าก็แค่เป็นห่วงว่าหากเราออกมาเช่นนี้ จะทำให้องค์หญิงน้อยไม่พอพระทัยหรือเปล่า?” เจ้าอ้วนเช่าระบายความกังวลในใจออกมาในทันที
เขาไม่อยากอยู่กับบรรดาเชื้อพระวงศ์เลย จะพูดอะไรจะทำอะไรก็ต้องคอยระมัดระวัง
มองครู่เดียวมู่ชิงเกอก็เข้าใจความคิดของเจ้าอ้วนเช่า ยิ้มพลางอธิบายว่า “องค์หญิงหย่งฮวนไม่ใช่คนใจคอคับแคบ อีกอย่างเราก็เล่นเป็นเพื่อนนางมาหลายชั่วยาม แล้ว ตามกฎของวังหลวงพอนางตื่นมาก็จวนจะได้เวลาต้องกลับวังแล้ว เพราะฉะนั้นการที่เราออกมาตอนนี้หรือรอให้นางตื่นก่อน มันก็ไม่ได้ต่างกันมากนักหรอก”
เจ้าอ้วนเช่าพยักหน้าอย่างเข้าใจและพูดอย่างประจบประแจงว่า “ลูกพี่ก็คือพี่อยู่วันยังคํ่า! หากเป็นข้าก็คงดูความซับซ้อนในเรื่องนี้ไม่ออกหรอก”
“เพราะฉะนั้นเจ้าก็เหมาะกับการเป็นหนุ่มเจ้าสำราญที่ไม่สนใจสิ่งใดอย่างไรเล่า” ไม่ใช่ว่ามู่ชิงเกอจะไม่เคยคิดที่จะใช้ยาเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอกับเจ้าอ้วนเช่า แต่ว่านางรู้จักนิสัยของเขาดี เขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับการต่อสู้หรือพลังเวทมากนัก กลับเลือกที่จะรักสนุก ไม่เช่นนั้นพลังเวทของเขาแม้จะธรรมดา แต่ก็จะไม่ถึงขั้นไร้ค่าเหมือนดั่งทุกวันนี้แน่นอน
“ตอนนี้ท้องฟ้ายังสว่างอยู่ เราไปเจอคนที่เจ้าพูดถึงกันเถอะ” มู่ชิงเกอไม่อยากจะยุ่งเรื่องเขาต่อไป จึงพูดเรื่องจริงจังขึ้นมา
เจ้าอ้วนเช่าตบหน้าอกของตนเองด้วยความมั่นใจพลาง พูดยืนยันว่า “วางใจเถอะลูกพี่ เรื่องที่ท่านสั่งนั้นข้าจัดการได้เป็นอย่างดีทุกเรื่อง”
พอกลับจวนมา ดวงจันทร์ก็ขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้ว
มู่ชิงเกอกลับมายังจวนคนเดียวแล้วนั่งบนเก้าอี้พลางรินนํ้าชาให้กับตนเอง
คนที่เจ้าอ้วนเช่าแนะนำมานั้นฝีมือไม่เลว ฉะนั้นภาพวาดที่เตรียมเอาไว้ทั้งหมด นางจึงทิ้งไว้ให้เขา ทั้งสองฝ่ายนัดกันว่าอีกหนึ่งเดือนหลังจากนี้จะมารับสินค้า
นางไม่กังวลว่าภาพอาวุธที่ไม่ใช่ของโลกนี้จะรั่วไหลออกไป เพราะอุปกรณ์พวกนั้นนอกจากนางแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถประกอบและเดาวิธีการใช้ที่แท้จริงของมันออกแน่นอน
มู่ชิงเกอค่อยๆ ดื่มนํ้าชาอุ่นๆไปคำหนึ่ง ความทรงจำของนางย้อนกลับไปยังคำพูดของฉินจิ่นเฉิน
“หากไม่ชอบ เหตุใดไม่จากไปเล่า?” หมายความว่าอะไร มู่ชิงเกอใช้ปลายนิ้วลูบบริเวณปากถ้วยอย่างช้าๆ พลางคิดทบทวน
ทำไม ทำไมเสียนอ๋องที่ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์อะไรกับนางเลย แต่กลับทำให้นางรู้สึกแปลกๆ เกี่ยวกับตัวของเขาได้ เสียนอ๋องผู้นั้น คนที่นิ่งเงียบขนาดนั้น เหตุใดถึงพูดเช่นนี้กับนาง
ไม่ชอบ? หมายถึงอะไร ไม่ชอบคนที่นี่ ไม่ชอบสภาพแวดล้อมที่นี่หรือว่าไม่ชอบใจกับชีวิตตอนนี้
ไป? ไปอย่างไร นางตัวคนเดียวก็ถือว่าสบายแต่นางรับปากกับมู่ชิงเกอตัวจริงไว้ว่าจะคุ้มครองตระกูลมู่ อยู่กับมู่ซงและมู่เหลียนหรงต่อไป สิ่งที่เดียวที่มั่นใจได้คือตอนที่ฉินจิ่นเฉินพูดคำนั้นออกมา นางรับรู้ได้ถึงความจริงใจ
มู่ชิงเกอหลับตาแล้วพึมพำว่า “มู่ชิงเกอนะมู่ชิงเกอ เจ้าจากไปอย่างสบาย แล้วทิ้งความยุ่งยากวุ่นวายไว้ให้ข้าจัดการ ระหว่างเจ้ากับเสียนอ๋องนั้นมีความเกี่ยวพันอะไรกันแน่”
มู่ชิงเกอวางถ้วยนํ้าชาลง ในขณะที่ถ้วยนํ้าชากระทบกับโต๊ะ นางก็พลันถอนหายใจ
มู่ชิงเกอลุกขึ้นยืนและเดินไปยังห้องปรุงยา คิดไม่ได้ก็ไม่ต้องคิด ตอนนี้นางไม่ได้มีเวลาเหลือมากพอที่จะไปจัดการกับความสัมพันธ์ของมู่ชิงเกอ
วันต่อมา ตอนที่นางออกจากเรือนไป แม้จะมีความเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง แต่โดยภาพรวมแล้วถือว่านางอารมณ์ดี
ใช้เวลาไปทั้งคืน นางไม่เพียงแต่ปรุงผงยาส่วนที่จำเป็นประสบความสำเร็จไปเป็นจำนวนมาก แต่ยังหลอมโอสถระดับตํ่าออกมาได้อีกสองหม้อ เมื่อเทียบกับความผิดพลาดในครั้งแรกที่นางได้สัมผัสมานั้นถือว่าพัฒนาขึ้นมาก!
ยาระดับตํ่าสองหม้อนั้นทำได้แค่ฟื้นฟูพลังและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
แม้ว่าระดับจะไม่สูงมาก การรักษาก็ธรรมดาแต่สำหรับมู่ชิงเกอในตอนนี้แล้ว มันเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด
เรื่องที่ควรจะจัดการก็จัดการเสร็จหมดแล้ว มู่ชิงเกอก็ไม่รอช้าและเตรียมตัวออกจากจวนตระกูลมู่ ไปยังค่ายทหารของตระกูล
เพิ่งเดินไปถึงห้องรับแขกกลางเห็นด้านในมีคนนั่งอยู่ มู่ชิงเกอพลันขมวดคิ้ว
อีกฝ่ายก็เห็นนางเช่นกัน เขาวางถ้วยนํ้าชาในมือลงทันที พลางลุกขึ้นยืน “ชิงเกอ ในที่สุดข้าก็ได้เจอเจ้าเสียที” รอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนใบหน้าอันเยือกเย็นนั้นชวนให้รู้สึก ผู้คนไม่คุ้นเคยเป็นอย่างมาก
มู่ชิงเกอก็เป็นเช่นนี้
นางแอบเว้นระยะห่างอย่างแนบเนียน ยิ้มจางๆ พลางพูดว่า “รุ่ยอ๋อง ทรงเป็นแขกผู้มีเกียรติจริงๆ”
ฉินจิ่นห้าวส่ายหน้า “ข้ามารอเจ้าโดยเฉพาะ”
“รอกระหม่อมรึ?” มู่ชิงเกอพูดอย่างขี้เล่น “รุ่ยอ๋อง หา กระหม่อมมีเรื่องอะไรหรือ” มู่ชิงเกอที่เป็นเช่นนี้ทำให้ฉินจิ่นห้าวไม่คุ้นเคยเป็นอย่างมาก เขาขมวดคิ้ว เม้มปากแต่ไม่พูดอะไร ในขณะนี้เองใครคนหนึ่งที่มากับเขาก็กระโดดออกมา ชี้ หน้ามู่ชิงเกอและสั่งสอนว่า “มู่ชิงเกอรุ่ยอ๋องทรงอุตส่าห์เสด็จมาหาเจ้าด้วยเจตนาดี อยากจะชวนเจ้าออกไปเที่ยวเล่นด้วยกันอุตส่าห์ไว้หน้าเจ้าแล้วเจ้าห้ามปฏิเสธ”
มู่ชิงเกอรู้สึกฉงนมากกว่าเดิม นางเหล่ตามองฉินจิ่นห้าวที่ดูนิ่งสงบครู่หนึ่ง แล้วหันไปมองเจ้าของเสียงนั้น “แล้วเจ้าเป็นผู้ใดเล่า?”
“มู่ชิงเกอ เจ้าอย่ามาแสร้งทำเป็นโง่! เจ้าจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นใคร!” เขาแค่นเสียงเย็นเสียดสีราวกับว่ากำลังดูถูกมู่ชิงเกอมาก
มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว ใบหน้าอันงดงามนั้นแทบจะไม่เผยให้เห็นความโกรธเลยสักนิด “คุณชายอย่างข้าควรจะรู้จักเจ้าด้วยอย่างนั้นหรือ?”
“เจ้า!” การเย้ยหยันของมู่ชิงเกอทำให้คนผู้นั้นโกรธมาก เมื่อเห็นว่ารุ่ยอ๋องไม่ห้ามปราม เขาก็ยิ่งรู้สึกกล้ามากขึ้น ชี้หน้ามู่ชิงเกอแล้วด่าว่า “เจ้ามันเป็นไอ้คนไร้ค่า ไม่ใช่แค่เพียงไร้ค่า ความจำยังสั้นอีก ดีเพียงใดแล้วที่รุ่ยอ๋องเห็นความสำคัญของเจ้ามากถึงเพียงนี้ แต่เจ้ากลับไม่รู้ดีชั่วเช่นนี้ จะให้ข้าลวี่ซ่งผู้นี้ทนเป็นสหายกับ เจ้านั้นไม่ได้จริงๆ”
พูดจบ เขาก็หันไปหาฉินจิ่นห้าว แล้วคารวะด้วยความภักดีว่า “รุ่ยอ๋อง มู่ชิงเกอเป็นเพียงจอมเสเพลผู้หนึ่ง การมีปฏิสัมพันธ์กับเขานั้นถือว่าทำให้ฐานะของ
พระองค์ต้องมัวหมอง ขอให้พระองค์ทรงไตร่ตรองให้ดี เรื่องที่จะไปมาหาสู่กับคนเช่นนี้…”
ฉินจิ่นห้าวขมวดคิ้วพลันตอบว่า “ลวี่ซ่ง เจ้าอย่าไร้เหตุผล เขาอายุยังน้อยเจ้าควรจะปฏิบัติกับเขาเหมือนน้องชาย สำหรับข้าแล้วชิงเกอก็ถือเป็นน้องชายของข้า
เช่นกัน”
หลังจากที่สั่งสอนลวี่ซ่งเสร็จแล้ว ฉินจิ่นห้าวก็หันกลับมาและเตรียมจะปลอบใจมู่ชิงเกอ ก็เหมือนทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา หากเขาเจอคนรอบข้างด่าทอหรือเสียดสี แค่ตนเองออกหน้าพูดให้สักหน่อย เขาก็จะซาบซึ้งใจยิ่งนัก วิธีนี้เป็นวิธีเอาใจเขาที่ดีวิธีหนึ่ง
แต่ว่า ไม่รอให้คำปลอบใจออกมาจากปากของเขา
เสียงอันเยือกเย็นของมู่ชิงเกอก็ดังขึ้นว่า “ลวี่ซ่งสินะ”
ลวี่ซ่งอึ้ง แอบลอบมองรุ่ยอ๋อง เรื่องราวไม่ควรเป็นเช่นนี้สิ!
เห็นแค่ฉินจิ่นห้าวที่กำลังจะพูด แต่ถูกคำพูดของมู่ชิงเกอตัดบทไป ทำให้สีหน้าเขาไม่สู้ดีนัก แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก ทำได้เพียงแค่นเสียง ‘หึ’ ใส่มู่ชิงเกอคำหนึ่ง
ใบหน้าของมู่ชิงเกอมีรอยยิ้มมากกว่าเดิม เบิกบานราวดอกไม้ แต่ว่านํ้าเสียงของนางนั้นกลับเยือกเย็นดั่งนํ้าแข็ง “เจ้าเอาความกล้านี้มาจากไหนกัน ถึงได้พูดจาเช่นนี้กับข้าภายในจวนตระกูลมู่ได้?” คำถามอันเย็นชาทำให้ลวี่ซ่งตัวสั่นและรู้สึกเหมือนว่ามีความเย็นเยียบพุ่งเข้าใส่