ตอนที่ 79-11
คุณชายตบหน้าอย่างรุนแรง
“นี่….นี่มันสายเขียว!”
“สวรรค์! คุณชายกลายเป็นยอดฝีมือสายเขียวแล้ว!”
“ข้าไม่ได้ฝันไปใช่ไหม สายเขียวจริงๆ ใช่ไหม?”
มู่ชิงเกอแค่นเสียงเย็นคำหนึ่ง แล้วดึงพลังบนฝ่ามือกลับไป แสงประกายสีเขียวนั้นค่อยๆ จางหายไป นางทำหน้าเคร่ง พูดกับทุกคนว่า “หากจะบอกว่าเป็นตัวทดลองยา ก็ต้องบอกว่าข้าเป็นตัวทดลองยาให้กับพวกเจ้าถึงจะถูก”
พูดจบ ท่ามกลางสีหน้ารู้สึกผิดของทุกคน นางมองมั่วหยางที่อับอายจนก้มหน้าพลางพูดว่า “เจ้าคิดว่าข้าได้ยาวิเศษชนิดนี้มา แต่เพราะไม่มั่นใจในสรรพคุณและผลข้างเคียงจึงคิดจะเอาส่วนหนึ่งมาทดลองกับพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ? หากสำเร็จ ข้าก็ได้ประโยชน์ไป แต่หากไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไรใช่ไหม? ในใจของพวกเจ้าข้าเป็นคนที่เห็นแก่ตัวไร้มโนธรรมขนาดนั้นเลยรึ?”คำถามอันเยือกเย็นทำให้ทุกคนรู้สึกผิดมากกว่าเดิม
โย่วเหอและฮวาเยวี่ยต่างคุกเข่าลงพูดกับมู่ชิงเกอว่า “คุณชาย ข้าน้อยไม่เคยมีความคิดเช่นนั้น แต่พวกข้ายอมที่จะเป็นตัวทดลองยาให้แก่คุณชาย” เจ้านายจู่ๆ ก็ ฝึกพลังเวทได้และยังกลายเป็นยอดฝีมือสายเขียว เป็นที่รู้กันว่า ในแคว้นฉินนั้น ยอดฝีมือสายเขียว แม้จะมีไม่น้อยแต่ด้วยอายุขนาดนี้ของมู่ชิงเกอก็สามารถฝึกจนถึงขั้นนั้นแล้ว ไม่เคยมีใครทำสำเร็จมาก่อนแน่ มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าในใจของพวกนางนั้นยินดีมากเพียงใด
ฟุบ!
มั่วหยางเองก็คุกเข่าทั้งสองข้างลงกับพื้นและพูดอย่างรู้สึกผิดว่า “คุณชาย มั่วหยางไม่กล้าที่จะคิดเช่นนั้น แค่คิดว่าร่างกายของคุณชายนั้นสูงค่า ไม่ควรจะเสี่ยง การที่พวกข้ามีโอกาสได้ทดลองยาให้กับคุณชายนั้นถือเป็นเกียรติ ความภักดีที่ข้ามีต่อท่านนั้น ฟ้าดินเป็นพยานได้”
“ความภักดีที่ข้ามีต่อท่านนั้น ฟ้าดินเป็นพยานได้!”
ตามด้วยคำพูดของมั่วหยาง ทหารทั้ง 500 นายต่างก็คุกเข่าลงแสดงความภักดีต่อมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอถอนหายใจ นางไม่ได้โกรธจริงๆ ตอนที่มั่วหยางพูดคำพูดเหล่านั้น นางก็รับรู้ได้ถึงความจริงใจที่ไร้ซึ่งการเติมแต่ง
แต่ว่านางเพียงหงุดหงิดที่พวกเขาคิดแบบนี้ ดูถูกนางมากไปแล้วจริงๆ
“ลุกขึ้นมาเถิด” มู่ชิงเกอพูดหน้าเคร่งจากนั้นก็เตือนทุกคนว่า “เรื่องที่ข้าฝึกพลังได้แล้วนอกจากพวกเจ้าก็ยังไม่มีผู้ใดรู้ พวกเจ้าต้องช่วยข้าเก็บความลับ ข้าไม่หวังให้ในช่วงเวลาที่มีแต่เรื่องวุ่นๆ แบบนี้ทำให้ตระกูลมู่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย” หากเรื่องที่นางสามารถฝึกพลังเวทถูกพูดออกไปก็จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อแคว้นฉิน เกรงว่าความอดทนที่เก็บซ่อนมานานปีก็คงจะหมดลงเพราะเรื่องนี้
ให้เป็นอย่างคำที่ว่า ตระกูลมู่มีอันธพาลเสเพลไร้ค่าเป็นผู้สืบทอด ยังจะทำให้ตระกูลมู่ปลอดภัยกว่าการที่มีผู้สืบทอดที่มีพลังเหนือฟ้า
“คุณชายวางใจเถิดข้าและทุกคนจะไม่แพร่งพรายออกไปแม้แต่คำเดียว หากผิดคำสาบานขอให้ฟ้าดินลงทัณฑ์!”
มู่ชิงเกอพยักหน้า มองถ้วยที่วางอยู่ข้างหลัง พลางพูดต่อว่า : “หากพวกเจ้าดื่มสิ่งนี้เข้าไปแล้ว ทั้งชีวิตนี้ก็ต้องติดตามแต่ข้า เชื่อฟังคำสั่งและภักดีต่อข้าแต่เพียงผู้เดียว หากใครในพวกเจ้าคิดจะทรยศหักหลังข้า ข้าก็จะเป็นคนสังหารมันผู้นั้นเองกับมือ เพื่อทวงทุกอย่างที่ข้าให้กลับคืนมา”
คำพูดของนางโหดเหี้ยมเย็นชา ไอสังหารบีบคั้นผู้คน
แม้เป็นทหารที่มีประสบการณ์เคยผ่านสนามรบมาแล้ว เมื่อเจอไอสังหารของนางก็ทำให้พวกเขารู้สึกราวกับตกลงไปในโพรงนั้าแข็ง ทั่วทั้งร่างเย็นเยียบ
อยู่ๆ ก็มีคนตะโกนขึ้นมาว่า “คุณชายท่านวางใจเถิด หากในหมู่พวกข้ามีใครกล้าหักหลังท่าน หักหลังพวกเราทุกคน ไม่ต้องให้ท่านลงมือ ข้าและพี่น้องคนอื่นๆไม่ว่าจะต้องตามล่าพลิกฟ้ามหาสมุทรก็จะเด็ดหัวของมันมาไว้ตรงหน้าท่านให้!ได้”
“ไม่มีวันทรยศ ภักดีไปจนตาย!”
“ไม่มีวันทรยศ ภักดีไปจนตาย!”
“ไม่มีวันทรยศ ภักดีไปจนตาย!”
เสียงสาบานอันเป็นเสียงเดียวกันนี้ดังกึกก้องไปทั่วหุบเขา
ในขณะที่มู่ชิงเกอยกมือขึ้นทุกคนก็เงียบ มู่ชิงเกอพูดต่อว่า “การฝึกฝนก่อนหน้านี้ส่วนหนึ่งก็เพื่อฝึกฝนกำลังและร่างกายของพวกเจ้าให้พวกเจ้าซึมซับยานี้เข้าไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตอนนี้คนที่กล้ากินยานี้ก็เข้ามาเอาไปคนละถ้วย”
พูดจบนางก็ถอยไปอยู่ข้างๆโต๊ะยาว ดึงเก้าอี้ออกมาตัวหนึ่งแล้วนั่งลงไป
สายตาของทั้ง 503 คนต่างก็มองไปยังถ้วยทั้ง 503 ถ้วย
โย่วเหอและฮวาเยวี่ยมองหน้ากันแล้วทั้งคู่ก็จับมือกันขึ้นไปเป็นอันดับแรกและหยิบถ้วยที่อยู่ใกล้ที่สุดดื่มเข้าไปอย่างไม่ลังเล
มีความชื่นชมเกิดขึ้นในสายตาของมู่ชิงเกอ แล้วนางก็พูดกับทั้งสองว่า “กลับไปรอในห้องของพวกเจ้า จำไว้ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ต้องอดทนและผ่านมันไปให้ได้”
โย่วเหอและฮวาเยวี่ยพยักหน้าแล้วเดินออกไป
หลังจากที่พวกนางเดินออกไป มั่วหยางก็เดินขึ้นมาแล้วดื่มยาในถ้วย
อีก 500 คนต่างก็เข้ามาหยิบถ้วยคนละใบและดื่มเข้าไปอย่างต่อเนื่อง
ไม่นานนักถ้วยทั้ง 503 ใบก็กลายเป็นถ้วยเปล่า ทุกคนต่างก็กลับไปยังห้องของตนเองในค่ายพักแรมเพื่อรอคอยสิ่งที่จะเกิดขึ้น………..
มู่ชิงเกอนั่งอยู่บนเถ้าอี้คนเดียว เอามือพิงกับโต๊ะและใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ
สักพักภายในห้องพักก็เริ่มมีเสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น เสียงพวกนั้นดังเข้าไปในหูของมู่ชิงเกอราวกับเสียงฟ้าร้อง ทำให้นางมีความสุขจนหรี่ตาทั้งสองข้างลง
ตั้งแต่เช้าจนพลบคํ่ามู่ชิงเกอก็นั่งอยู่ที่เดิม
ในที่สุดก็มีเสียงเปิดประตูดังขึ้นจากด้านหลัง มั่วหยางที่หน้าซีดเผือดเดินออกมาเป็นคนแรก
“คุณชาย” มั่วหยางเดินมาหยุดตรงหน้ามู่ชิงเกอแล้วประสานมือคารวะ
“เป็นอย่างไรบ้าง?” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วถาม
มั่วหยางยิ้มขื่น ส่ายหน้าพลางพูดว่า “ข้ายังไม่รู้และไม่รู้ว่าจะสำเร็จไหม”
แม้จะตอบแบบนี้ แต่มู่ชิงเกอกลับรู้แล้วว่ามั่วหยาง ประสบความสำเร็จเพราะว่าหลังจากที่นางดื่มยาเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอเข้าไป หลังจากที่ทุกอย่างจบลง นางก็ไม่ ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษจนถึงตอนที่ฝึกพลังเวท นางจึงรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลง
เพราะฉะนั้นนางจึงพยักหน้าและพูดกับมั่วหยางว่า “ไม่ต้องรีบจะสำเร็จหรือไม่นั้นต้องรอดูตอนที่เจ้าฝึกพลังเวท” อยู่ๆ นางก็หยิบมีดเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋ามาวางไว้บนโต๊ะ พยักหน้าแล้วสั่งว่า “ใช้มีดกรีดมือตนเอง แล้วไม่ต้องใส่ยา หลังจากมันประสานกันแล้วค่อยบอกข้า” นางอยากจะรู้ว่ หลังจากที่มั่วหยางและคนอื่นๆ ดื่มยาเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอที่ได้รับการปรับแก้เข้าไปแล้วจะสามารถเยียวยาบาดแผลตัวเอง และแก้พิษได้เหมือนอย่างนางหรือไม่
มั่วหยางรู้สึกแปลกใจ แต่สำหรับคำสั่งของมู่ชิงเกอแล้ว เขากลับไม่รอช้า
เขาหยิบมีดขึ้นมาอย่างไม่ลังเลแล้วกรีดลึกเข้าไปบนท่อนแขน บาดแผลเช่นนี้ ถึงแม้ว่าจะใส่ยาก็ต้องใช้เวลาประมาณครึ่งเดือนกว่าจะประสานเป็นเนื้อเดียวกัน
เขาเอาผ้ามาพันแผลเพื่อห้ามเลือดเงียบๆ แล้วมั่วหยางก็เงยหน้าขึ้นมองมู่ชิงเกอ
“ดีมาก” มู่ชิงเกอพยักหน้าชื่นชม แล้วหยิบยาเม็ดหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะตรงหน้า
มั่วหยางมองยาเม็ดนั้นที่กลิ้งไปมาอยู่บนโต๊ะแล้วเม้มปาก ยื่นมือออกไปหยิบยาแล้วใส่เข้าปากตนเอง
“นี่คือยาพิษ” มู่ชิงเกอมองหน้ามั่วหยางแล้วพูด
สีหน้าของมั่วหยางไม่เปลี่ยนพลางยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าน้อยรู้”
“รู้แล้วเจ้ายังกินอีกรึ?” มู่ชิงเกอหรี่ตาทั้งคู่อย่างขบขัน แล้วพิงตัวลงบนเก้าอี้ด้วยรอยยิ้ม
มั่วหยางนิ่งพลางตอบกลับว่า : “หากคุณชายอยากจะให้ข้าน้อยกินก็ต้องมีเหตุผลอันสมควร ข้าน้อยเชื่อในการตัดสินและการจัดการของคุณชาย”
มู่ชิงเกอยิ้มบางๆ ไม่ได้อธิบายอะไรมาก “เจ้าไปเถอะ จดจำการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของตัวเองเอาไว้แล้วมาบอกข้า”
“ขอรับ!” มั่วหยางเดินออกไป
ไม่นานคนอื่นๆ ก็ค่อยๆ ทยอยออกมา
มู่ชิงเกอตั้งใจเลือกคนประมาณสิบคนแล้วทำเช่นเดียวกันกับที่ทำกับมั่วหยาง จากนั้นสั่งให้พวกเขาลองกลับไปฝึกพลังเวทดู
ในคืนนี้ในหุบเขาเงียบมาก นอกจากเสียงแมลงที่ดังขึ้นเป็นครั้งคราวแล้วก็มีแต่เสียงลมพัด
เมื่อเวลาฟ้าสางมาถึง ภายในห้องพักแรมก็ปกคลุมไปด้วยแสงสีสัม ดั่งฟ้าดินเกิดเหตุอาเพศก็ไม่ปาน
“ข้าทะลวงได้แล้ว!”
“ข้าก็ทะลวงแล้ว!”
“ข้าก็เช่นกัน ข้าที่อยู่ในสายแดงขั้นกลางอยู่ๆ ก็พลันเลื่อนขั้นกลายเป็นสายส้มขั้นต้น!”
“เจ้าเลื่อนไปสองขั้นเลยหรือ เหอะๆ ขอโทษด้วยนะ ข้าเลื่อนไปสามขั้น”
“เจ้าเลื่อนไปสามขั้นมีอะไรน่าอวดกัน? ข้าได้ยินว่าเจ้าเด็กมั่วหยางนั่นเลื่อนไปตั้งห้าขั้น ขนาดโย่วเหอและฮวาเยวี่ยเด็กสาวสองคนนั่นก็เลื่อนไปถึงสี่ขั้น!”
“อะไรนะ! บ้าไปแล้ว!”
“หึ ถ้าจะบอกว่าบ้าใครจะบ้าได้เท่ากับคุณชายของพวกเราอีก? เขาเป็นผู้ที่ไม่สามารถฝึกพลังเวทได้แต่กลับกลายเป็นยอดฝีมือสายเขียวขั้นต้น!”
การฝึกฝนของมู่ชิงเกอกลายเป็นประเด็นสุดท้ายที่ถูกพูดถึง
นางค่อยๆ ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น สายตาอันสงบนิ่งนั้นราวกับคาดเดาผลลัพธ์ล่วงหน้าได้ตั้งนานแล้ว
แต่เดิมคนพวกนี้อยู่ในสายแดง มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เป็นสายส้มขั้นต้น แต่ตอนนี้ทุกคนต่างเข้าสู่ขั้นส้ม กระทั่งบางคนก็กำลังจะเข้าสู่สายเหลือง นี้ทำให้ความแข็งแกร่งของพวกเขาเพิ่มพูนมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด
มู่ชิงเกอค่อยๆ ยิ้ม ทันใดนั้นนอกห้องพลันมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา
“เข้ามา” มู่ชิงเกอเก็บอารมณ์ แล้วนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้อง
ประตูถูกเปิดออก ผู้ที่เข้ามาคือมั่วหยาง
เขาเดินเข้ามาอยู่ตรงหน้ามู่ชิงเกอ จากนั้นก็ดึงแขนเสื้อของตนเองขึ้น แขนอันเรียบเนียนทำให้มู่ชิงเกอตาเป็นประกาย
รอยแผลที่อยู่บนแขนของเขาเมื่อวาน ตอนนี้กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
มั่วหยางดึงแขนเสื้อลง แล้วพูดกับมู่ชิงเกอว่า “ตามคำสั่งของคุณชายข้าน้อยไม่ได้ใส่ยาที่บาดแผลเลย แต่เมื่อสักครู่ในขณะที่ข้าน้อยฝึกพลังเวทเสร็จสิ้นก็พบว่าบาดแผลของตนเองนั้นได้ประสานเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว ส่วนยาพิษภายในร่างกายนอกจากกำเริบในตอนแรกแล้ว หลังจากนั้นมันก็ค่อยๆ สลายไป”
หนึ่งคืนหรือ?
มู่ชิงเกอก้มหน้าลงแอบคิดในใจ
ตอนนางสู้กับท่านผู้เฒ่าเป่ยหมิง นางบาดเจ็บมากกว่านี้ แต่ว่าบาดแผลนั้นก็หายไปในทันที แต่มั่วหยางบาดเจ็บแค่นั้นต้องใช้เวลาเป็นคืน
“แล้วคนอื่นๆ ล่ะ?” มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นถาม
“พวกเขาก็เหมือนข้าน้อย” มั่วหยางตอบตามความจริง แต่ในใจของเขานั้นคาดการณ์อะไรบางอย่างได้แล้ว ดูเหมือนว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอนี้มู่ชิงเกอได้ข้อสรุปในใจแล้วก็พูดกับมั่วหยางว่า “ยาชนิดนี้ไม่เพียงแต่สามารถเปลี่ยนแปลงธาตุในร่างกาย และพรสวรรค์ของพวกเจ้าเท่านั้นยังสามารถทำให้พวกเจ้าได้ครอบครองความสามารถในการเยียวยาบาดแผลของตนเองและแก้พิษได้นี่ถือเป็นเกราะป้องกันอย่างหนึ่งสำหรับพวกเจ้า” พูดได้ว่า ขอแค่ทหารฝ่ายตรงข้าม ไม่ได้ฆ่าองครักษ์ของนางให้ตายในดาบเดียว และถึงแม้พวกเขาจะได้รับบาดเจ็บมากเพียงใดก็มีความสามารถในการทำให้บาดแผลหายไปได้โดยไม่เหลือร่องรอยใดๆ ได้ยินคำยืนยันหนักแน่นจากปากของมู่ชิงเกอ มั่วหยางที่ สงบนิ่งเฉลียวฉลาดมาตลอดก็เผยสีหน้าตื่นเต้นยินดีออกมา
มู่ชิงเกอบอกกับเขาว่า “ไปบอกเรื่องนี้กับทุกคน หลังจากนั้นก็สงบใจฝึกพลังเวทกันตามสบาย อย่าลืมว่าสองเดือนหลังจากนี้ยังมีการประลองรอพวกเจ้าอยู่”
มั่วหยางถอยออกไปด้วยความตื่นเต้น ก่อนออกไปเขามองมู่ชิงเกอด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้ง
เขาสามารถคาดเดาถึงปฏิกิริยาของคนอื่นๆ หลังจากที่รู้ผลของฤทธิ์ยาได้เลยว่าจะเป็นอย่างไร คนที่เปลี่ยนแปลงพวกเขาดือมู่ชิงเกอ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปชีวิตของ พวกเขากลายเป็นของมู่ชิงเกอเพียงผู้เดียวเท่านั้น!