Skip to content

พลิกปฐพี 79-12

ตอนที่ 79-12

คุณชายตบหน้าอย่างรุนแรง

เวลาสองเดือน ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ มู่ชิงเกอสั่งให้มั่วหยางพาคนไปเอาอาวุธทั้งหมดที่สั่งทำไว้กลับมา

นางประกอบชิ้นส่วนของอาวุธหน้าตาแปลกประหลาด ต่อหน้าทุกคนอย่างรวดเร็วราวกับมีเวทมนตร์กลายเป็น อาวุธ 4 ชิ้น

สิ่งหนึ่งคือ กรงเล็บที่สามารถยืดหดได้

อีกสิ่งคือ หน้าไม้เล็กที่สามารถซ่อนไว้ในแขนเสื้อและยิงติดต่อกันได้

และมีดที่มีการใส่ลูกเล่นหลายอย่างและสปริงเข้าไป

สิ่งสุดท้ายคือ มีดยาวแหลมที่ซ่อนไว้บริเวณต้นขาทั้งสองข้าง

อาวุธพวกนี้เสริมให้ทุกคนมีพลังการต่อสู้ที่เพิ่มมากขึ้น และทำให้สายตาของทุกคนที่มองมาที่มู่ชิงเกอนั้นดูเลื่อมใสและเคารพบูชานางมากยิ่งขึ้น

ใช้เวลาไปทั้งวันในการเรียนรู้การประกอบและแยกชิ้นส่วนสำเร็จ มู่ชิงเกอก็เริ่มให้พวกเขาใช้อาวุธพวกนี้ในการฝึกร่วมด้วย ในขณะเดียวกันก็ให้พวกเขาฝึกพลังเวทที่เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว

เวลาสั้นๆ เพียง 2 เดือน เกือบครึ่งหนึ่งของคนพวกนี้ก็เข้าสู่สายเหลืองแล้ว อีกครึ่งส่วนใหญ่ก็ทะลวงเข้าและวนเวียนอยู่ในสายส้มและอาจเข้าสู่สายเหลืองได้ตลอดเวลา

สำหรับทหารตระกูลมู่แล้ว สายเหลืองถือว่าค่อนช้างสูงเลยทีเดียว

โดยพื้นฐานแล้ว นอกจากรองแม่ทัพบางคนที่เป็นสายเขียว ทหารคนอื่นๆ ก็อยู่ระหว่างสายแดง สายส้มและ สายเหลือง ภายในนั้นมีสายแดงมากที่สุด

สำหรับทหารจวนตระกูลมู่แล้ว สิ่งที่ทำให้พวกเขาดูน่าเกรงขามนั้นคือการฝึก การรวบรวมพลังและความไม่กลัวตาย

แม้จะเป็นยอดฝีมือสายนํ้าเงินขั้นสูง แต่หากต้องเจอกับทหารตระกูลมู่ที่ยืนหยัดเพียงคนเดียวก็ไม่กล้าสู้ต่อและต้องหลบหนีไป

ในตอนกลางคืน มู่ชิงเกอสวมชุดดำพรางตัว นำพาเหล่าองครักษ์ทั้ง 500 นายมายืนอยู่บนยอดเขาที่ด้านล่างเป็นค่ายทหารของตระกูลมู่ ทั้ง 500 นายก็สวมชุดสีดำพรางกาย บนตัวนั้นมีอาวุธที่มู่ชิงเกอเตรียมไว้ติดอยู่และยืนนิ่งเงียบไม่เคลื่อนไหว เห็นด้านล่างภูเขาคือค่ายทหารของตระกูลมู่ที่ดูลึกลับและปลอดภัย มู่ชิงเกอก็พลันยิ้ม ยากนักที่ครั้งนี้นางไม่ได้สวมชุดสีแดง แต่ภายใต้สีรัตติกาลอันดำมืด นางก็ยังงดงามน่าดึงดูด ลมยามดึกพัดผมของนางพลิวผ่านข้างแก้ม นัยน์ตาอันสดใสนั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ราวกับว่า นางกลับไปยังยุคสมัยที่ตนเองคุ้นเคยและทำเรื่องที่ตนเองคุ้นเคย

นางพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ใต้เขาเป็นค่ายทหารของตระกูลมู่ ภารกิจของพวกเจ้าก็คือควบคุมตัวทุกคนและเอาธงในค่ายมาให้ได้”

สิ่งที่ตอบกลับนางมาคือความเงียบ

นางมองค่ายทหารแล้วยิ้ม การนัดหมายของนางกับมู่ซง ทุกคนในค่ายอาจจะคิดว่าการประลองจะเริ่มเมื่อฟ้าสาง แต่อีกชั่วยามก็จะเป็นวันใหม่แล้ว ใครบอกว่านางไม่สามารถลงมือก่อนฟ้าสางในขณะที่ทุกคนกำลังหลับใหลได้

คน 500 คนสู้กับ 9000 กว่าคน นางไม่โง่ไปเผชิญหน้าโดยตรงเป็นแน่

“จำทุกอย่างที่ข้าให้พวกเจ้าไว้ให้ดี อย่าทำให้ข้าผิดหวัง ไปเถิด” ริมฝีปากสีแดงของมู่ชิงเกอโดดเด่นท่ามกลางความมืด

พอนางพูดจบทั้ง 500 นายก็พุ่งลงภูเขาไปและเป้าหมาย ก็คือ~ค่ายทหารอยู่ข้างหน้า

ชุดสีดำของมู่ชิงเกอรวมเป็นเนื้อเดียวกับความมืดและแอบเข้าไปยังค่ายตระกูลมู่ราวกับภูติผี…

ใต้เขา ภายในค่ายทหารของจวนตระกูลมู่

ในกระโจมหลักจุดไฟจนสว่าง

รองแม่ทัพหลายคนนั่งกันเป็นวงกลม โต๊ะกลมนั้นมีถั่วลิสงวางอยู่และยังมีอาหารอีกมากมาย ในค่ายนี้ไม่ให้ดื่มเหล้า พวกเขาก็ไม่ฝ่าฝืนกลับดื่มชาแทน

เห็นพวกเขาในชุดทหารเต็มยศแบบนี้แต่กลับมีท่าทีผ่อนคลาย ช่างดูขัดแย้งกันเสียจริง รองผู้แม่ทัพคนหนึ่งยืนขึ้นริมนํ้าชาให้กับคนที่มีฐานะสูงกว่าแล้วนั่งลง พลางยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่รู้ว่าท่านแม่ทัพคิดอย่างไรจึงตอบตกลงเล่นสนุกกับคุณชายเช่นนั่นไม่ต้องพูดถึงว่าองครักษ์ทั้ง 500 นาย ในมือของคุณชายนั้นอยู่ในค่ายก็ไม่ได้มีฝีมือโดดเด่นอะไร แต่ถึงแม้ว่าทั้ง 500 นายจะเป็นยอดฝีมือระดับหัวกะทิ หากอยากจะใช้กำลังทางทหารเพียงเท่านี้บุกเข้ามาเพื่อคว้าธงภายในค่าย ก็ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่ดี”

พอเขาพูดจบ ก็มีคนพยักหน้าเห็นด้วยทันที พลางพูดเสริมว่า “ใช่ พวกเรานำทหารรบมาทั้งชีวิต แม้มีน้อยกว่าก็ยังสามารถเอาชนะได้ แต่ทหารที่มีความแตกต่างถึงเพียงนี้ ยังคิดอยากจะได้ชัยชนะ ฝันกลางวันเสียจริงๆ”

รองผู้บัญชาการอีกคนยิ้ม พลางพูดตรงๆ ว่า “หากเป็นเช่นนี้แล้วคุณชายยังสามารถเอาชนะได้ไม่ต้องให้ท่านแม่ทัพลงโทษข้าเองก็ไม่ควรจะนำทัพอีกต่อไป”

“ท่านแม่ทัพก็ปล่อยให้คุณชายเล่นสนุก ทั้ง 500 คนนี้หากให้รองแม่ทัพซ่งเป็นผู้ดำเนินการฝึก ไม่แน่ว่าอาจจะพอมีหวังอยู่บ้าง แต่คุณชายก็ยังเอาไปฝึกเองแล้วยังท้าประลองบ้าๆ นี่อีกด้วย หึ” รองผู้บัญชาการที่พูดนี้ นํ้าเสียงเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ราวกับว่าหากไม่เห็นแก่หน้ามู่ซงแล้วล่ะก็นํ้าเสียงของเขาจะยิ่งแสดงไม่เคารพมากกว่านี้อีก

ความจริงแล้ว พวกเขาหลายคนก็คิดเช่นนี้

มู่ชิงเกอจะฝึกทหารได้อย่างนั้นหรือ ยังคิดจะเอาทหาร500 นายมาสู้กับทหารนับหมื่น

ล้อเล่นอะไรกัน!

หลายคนไม่ชอบใจ แต่เพราะมู่ซงจึงพูดตรงๆไม่ได้ ตอนนี้พวกเขาอยากให้การประลองจบลงและเห็นความพ่ายแพ้ของมู่ชิงเกอ

ถึงตอนนั้นพวกเขาก็สามารถพูดกับท่านแม่ทัพตรงๆได้ว่าเอาตัวคุณชายกลับไปเสียเถอะที่ค่ายนี้ไม่ใช่ที่ที่คุณชายผู้สูงศักดิ์อย่างเขาควรมา ที่ไหนสงบสุขก็ไปอยู่ที่นั้น เล่นสนุกเช่นนี้มามากพอแล้ว

หลายคนสบตากันไม่ได้คิดว่าการประลองในครั้งนี้จะมีความสำคัญอะไร ทำราวกับเป็นแค่การก่อกวนของเด็กก็ไม่ปาน

แต่ว่าเพราะท่านแม่ทัพมู่ซงของพวกเขารักหลานชายมาก จึงให้พวกเขาที่สามารถชี้เป็นชี้ตายศัตรูในสนามรบได้มาเล่นเป็นเพื่อนเด็กก็เท่านั้นเอง

ทุกคนที่ใช้นํ้าชาแทนเหล้า ชนแก้วกันแล้วก็ดื่มนํ้าชา

ทันใดนั้น พวกเขาก็รู้สึกว่ารองแม่ทัพซ่งที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานนั้นดูเงียบมาก จึงรู้สึกกดดันในใจ ใครคนหนึ่งวางถ้วยชาในมือลงแล้วถามด้วยความสงสัย ว่า “รองแม่ทัพซ่งท่านเป็นอะไรไป?”

รองแม่ทัพซ่งได้ยินคำถามก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นแต่ไม่ได้พูดอะไร

คนอื่นๆ ก็สบตากันและคนที่ถามในตอนแรกก็พูดอีกว่า “รองแม่ทัพหรือว่าท่านจะเป็นห่วงกลัวว่าพวกข้าจะเสียเปรียบคุณชาย หากเป็นเช่นนั้นท่านก็ดูถูกพวกเราพี่น้องมากเกินไปแล้ว”

พอพูดจบ สีหน้าเขาก็แสดงความไม่พอใจออกมา

อีกหลายคนก็พูดเสริมอีกว่า “ใช่ พวกข้าไม่ใช่คนอ่อนแอ รองแม่ทัพเป็นกังวลแบบนี้ก็ออกจะเกินความจำเป็นไปเสียหน่อย มาๆ พวกเราดื่มนํ้าชาเป็นเพื่อนท่าน”

หลายคนยกชาขึ้นแล้วบีบบังคับเขาด้วยสายตา

รองแม่ทัพไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่หยิบถ้วยนํ้าชาขึ้นมาดื่มพร้อมทุกคน เขาวางถ้วยชาลง พลางถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้เป็นห่วงเรื่องที่จะประลองกับคุณชาย ข้าก็มั่นใจในตัวเหล่าทหารเหมือนกับพวกเจ้า คุณชายอยากจะใช้ 500 คนในการประลอง อย่าว่าแต่เขาเลย ขนาดท่านแม่ทัพมาเองก็ยังยาก”

หลายคนต่างพยักหน้าเห็นด้วย

“แล้วเมื่อสักครู่ท่านกังวลอะไร?” หนึ่งในนั้นถามขึ้นด้วยความสงสัย

รองแม่ทัพซ่งมองพวกเขาครู่หนึ่งแล้วพูดอย่างเคร่งเครียดว่า “ข้าเป็นห่วงท่านแม่ทัพ”

“ท่านเป็นห่วงท่านปู่ของข้าหรือ?” ทันใดนั้นบริเวณทางเข้ากระโจมก็พลันมีเสียงเยือกเย็นของชายหนุ่มดังลอยมาราวกับลมอันหนาวเหน็บที่พัดผ่าน ทำให้แม่ทัพหลายคนในกระโจมรู้สึกตื่นตะลึงจนตัวแข็งไปหมด

“คุณชาย! ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” รองแม่ทัพซ่งลุกขึ้นอย่างตื่นตระหนก

รองแม่ทัพที่เหลือต่างก็ลุกขึ้นยืน มองมู่ชิงเกอที่ยืนเอามือไพล่หลังอยู่นอกประตูกระโจมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นตกใจ

คุณชายมาถึงหน้ากระโจม แต่พวกเขากลับไม่รู้ตัวเลยสักนิด ไม่ใช่เพียงเท่านี้ ข้างนอกก็ยังไม่มีใครเข้ามารายงานเลย

เอ๊ะ! นี่ไม่ถูกต้องสิ!

รองแม่ทัพหลายคนที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน พลันได้สติขึ้นมาในทันที

รอบข้างเงียบผิดปกติ ขนาดเสียงเดินลาดตระเวนของเหล่าทหารก็ไม่มีเลย

เกิดอะไรขึ้น?!

หลายคนใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย ค่อยๆ มองรองแม่ทัพซ่ง แล้วก็มองมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอที่สวมชุดสีดำ ก้าวเข้ามาในกระโจม ใบหน้าอันงดงามและริมฝีปากสีแดงประดับไปด้วยดวงตาอันเยือกเย็นดั่งนํ้าแข็งทำให้ทุกคนรู้สึกถึงความหนาวเหน็บ

นางเดินไปด้านหลังรองแม่ทัพซ่งแล้วยื่นมือออกไปหยิบธง จากนั้นจึงโยนให้กับมั่วหยางที่ตามเข้ามาด้วย มั่วหยางรับแล้วยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่พูดอะไร

รองแม่ทัพหลายคนมองการกระทำของมู่ชิงเกอ ในใจเต็มไปด้วยคำถามและความตื่นตระหนก ทำให้พวกเขาไม่มีใครกล้าเอ่ยปากพูดอะไรเลย

มู่ชิงเกอเดินไปหยุดตรงหน้ารองแม่ทัพซ่ง จ้องมองเขาด้วยดวงตาอันกระจ่างใส พลางถามว่า “ท่านปู่ของข้า ทำไม?”

“คือ…” ใบหน้ารองแม่ทัพซ่งปรากฏสีหน้าปั้นยาก ราวกับไม่สะดวกจะเอ่ยปาก

“พูด” มู่ชิงเกอพูดอย่างเย็นชา

รองแม่ทัพซ่งตกใจ เมื่ออยู่ต่อหน้าคุณชายที่เป็นอันธพาลเสเพลผู้นี้ เขากลับผุดเหงื่อออกมาเต็มศีรษะ ราวกับว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ใช่มู่ชิงเกอแต่เป็นมู่ซง ไม่ คนที่ทำให้ผู้อื่นกดดันได้มากกว่ามู่ซง กดดันจนแทบจะทำให้เขาหายใจไม่ออก

“เดิมท่านแม่ทัพจะประลองกับคุณชายด้วยตนเอง แต่ว่าเมื่อ 5 วันก่อนกลับมีพระบัญชาเรียกตัวกลับจากองค์ฮ่องเต้จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาเลย” รองแม่ทัพซ่งพูดทั้งหมดที่รู้ออกมา ท่ามกลางสายตาที่จ้องมองมาของมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอหรี่ตา เหมือนนางจะได้กลิ่นอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล

ท่านปู่จะหายไปโดยไม่บอกกล่าวสักคำเช่นนี้ได้อย่างไร เกิดอะไรขึ้นกันแน่ถึงทำให้เขาไม่มีแม้โอกาสจะบอก

“ส่งคนไปสืบหรือยัง?” มู่ชิงเกอถามอย่างเคร่งเครียด

แต่ว่าความเคร่งขรึมของนางกลับทำให้รองแม่ทัพซ่งที่อยู่ใกล้นางมากที่สุดรู้สึกถึงความดุดันท่ามกลางความนิ่งสงบนั้น

รองผู้แม่ทัพซ่งตอบตามความจริงว่า “ส่งไปแล้วแต่กลับบอกว่าท่านแม่ทัพไม่ได้อยู่ในจวน คุณหนูหรงเองก็ไม่อยู่”

สายตาของมู่ชิงเกอพลันเยือกเย็นมากกว่าเดิม

ระบบสายข่าวและทัพทหารของตระกูลมู่เป็นเอกเทศไม่ขึ้นตรงต่อผู้ใด ผู้ที่ควบคุมสายข่าวทั้งหมดในตระกูลมู่ก็คือมู่เหลียนหรง แต่นางกลับไม่อยู่? หากทางฝั่งวังหลวงเกิดเหตุอะไรขึ้น แต่ทหารตระกูลมู่ที่ค่ายยังคงนิ่งเงียบอยู่แบบนี้ คงไม่ใช่เรื่องดีแน่

มู่ชิงเกอส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจและปฏิเสธสิ่งที่คาดเดาในใจ

นางมองรองแม่ทัพซ่งแล้วถามว่า “ช่วงที่ผ่านมามีอะไร

ผิดปกติหรือไม่?”

เหมือนเพราะท่าทางดุดันของมู่ชิงเกอก่อนหน้านี้ทำให้หลังจากที่รองแม่ทัพซ่งคิดโดยละเอียดแล้วจึงตอบอย่างจริงจังว่า “ไม่มีเลย”

ทุกอย่างยังปกติ? แล้วท่านปู่หายไปไหนกัน?

ภายในจิตใจของมู่ชิงเกอมีความร้อนรนพาดผ่าน

นางเม้มปากแน่น เงยหน้าขึ้นมองรองแม่ทัพซ่ง พลางพูดเสียงเย็นว่า “มากับข้า”

พูดจบก็หันหลังเดินออกจากกระโจมไป ในขณะที่เดินผ่านรองแม่ทัพคนอื่นๆ สายตาของนางก็กวาดไปยังพวกเขาและอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ ทันใดนั้น ก็ทำให้บรรดาจอมพลที่ผ่านการสู้รบมามากมายต้อง หน้าแดง

มู่ชิงเกอค่อยๆ ดึงสายตากลับแล้วพูดกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าก็ตามมาด้วย”

จากนั้นนางก็เดินออกจากกระโจมไปอย่างรวดเร็ว

ไม่นานที่ด้านหลังนางรองแม่ทัพซ่งก็พารองแม่ทัพคนอื่นๆ เดินออกมาจากกระโจมหลัก

แต่ว่าพอพวกเขาเห็นฉากตรงหน้าก็เบิกตากว้าง จนลูกตาแทบจะหลุดออกมาจากเบ้า ตกใจจนเกือบจะกัดลิ้นของตนเองขาด

ด้านหน้าพวกเขา ถูกล้อมเป็นวงใหญ่ด้วยคนชุดสีดำ 500 คน คนที่อยู่บริเวณใกล้ๆ ถูกมัดเอาไว้ให้นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น ในปากมีผ้าสีขาวอุดอยู่ เสื้อผ้าของทุกคนก็ไม่เรียบร้อย ผมเผ้าหลุดรุ่ยยุ่งเหยิง ในแววตามีความไม่ยินยอมแต่กลับทำอะไรไม่ได้

ราวกับว่า พวกเขาพ่ายแพ้อย่างราบ และโดนวิธีการรบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนทำให้ตกใจจนหมดข้อจะโต้แย้ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version