Skip to content

พลิกปฐพี 919

ตอนที่ 919

ต้นไม้ที่เพาะพันธุ์ป่าอสูรต้นนั้น

อย่าว่าแต่ซือมั่วงุนงง แม้แต่มู่ชิงเกอเองก็งุนงงเช่นกัน

ต้นไม้โลก แน่นอนว่าไม่อาจเติบโตอยู่ในป่าอสูรได้ ต้นไม้โลก เป็นเพียงคำเรียกทั่วไป ใช้อธิบายโครงสร้างของโลกใบใหญ่ พวกเขาต่างก็อยู่ในนั้น จะมองเห็นภาพรวมทั้งหมดได้อย่างไร

“ดูท่าแล้ว หากอยากรู้ว่าใช่หรือไม่ คงทำได้เพียงเดินทางไปที่ป่าอสูรเองเที่ยวหนึ่ง” มู่ชิงเกอเม้มปากกล่าว

ซือมั่วพยักหน้า หลุบตามองนางแล้วกล่าว “พรุ่งนี้พวกเราค่อยออกเดินทาง”

“ตกลง” มู่ชิงเกอเพิ่งจะพยักหน้า ก็กล่าวต่อทันที “เหตุการณ์ในแดนมารเป็นอย่างไร เจ้าไปกับข้า จะกระทบต่อแดนมารหรือไม่ ”

“ไม่ต้องเป็นห่วง แดนมารยังมีคนจำนวนมากปกป้องอยู่” ซือมั่วลูบปอยผมตรงหน้าผากนางเบาๆ แล้วกล่าว

มู่ชิงเกอพยักหน้าเบาๆ ไม่ได้พูดต่อ

ทั้งคืนไร้เสียงสนทนา วันที่สอง มู่ชิงเกอตื่นขึ้นจากอ้อมอกของซือมั่ว มองไปนอกหน้าต่าง

นอกหน้าต่าง ยังคงเป็นคืนมืดมิด จันทร์สีเลือดดวงนั้นลอยอยู่กลางนภาตลอดเวลา

นาฬิกาชีวิตของมู่ชิงเกอบอกนางว่า ฟ้าสางแล้ว แต่ว่าในแดนมารตอนนี้ กลับแยกกลางวันกลางคืนไม่ออก

มู่ชิงเกอถอนหายใจในใจ ละสายตามองซือมั่วที่นอนอยู่ข้างกายนาง

ใบหน้าตอนนอนของซือมั่วงดงามอย่างถึงที่สุด

ลายเส้นทุกเส้นบนใบหน้าเขา ต่างคล้ายถูกเจียระไนด้วยความประณีต หามลทินไม่เจอแม้แต่นิดเดียว

ตอนที่มู่ชิงเกอมองประเมิณอย่างตั้งอกตั้งใจ ซือมั่วก็พลันลืมตาทั้งคู่ ดวงตาสีอำพันที่แสดงถึงสายเลือดราชวงศ์เผ่ามารคู่นั้น พุ่งเข้ามาในดวงตาของมู่ชิงเกออย่างไม่อาจคาดเดาได้แม้แต่นิดเดียว

ประหนึ่งดวงดาราที่ส่องสว่างที่สุดสองดวงทอประกายอยู่บนท้องนภา ทำให้มู่ชิงเกอสะดุ้งตกใจ

ตอนที่นางถอยไปข้างหลังด้วยปฏิกิริยาตอบโต้ กลับถูกซือมั่วคว้าข้อมือไว้อย่างแรง ออกแรงดึงร่างนางทั้งร่างลงมาในอ้อมอกของเขา

แผงอกที่แข็งแรง ทำให้มู่ชิงเกอเกือบจะกระแทกจนจมูกเจ็บ ดวงตาที่ใสสะอาดปรากฎความโกรธจางๆ เพียงแต่ นางยังไม่ทันบันดาลโทสะก็ได้ยินเสียงหัวเราะตํ่าๆ ของซือมั่วที่ดังขึ้นมาจากเหนือศีรษะ

เสียงหัวเราะนั้นตํ่าลึกและดึงดูด น่าหลงใหลอย่างถึงที่สุด

มู่ชิงเกอเหลือบตาทั้งคู่ขึ้น มองซือมั่วที่ ‘ถูกนางกดไว้ใต้ร่าง’ กลืนน้ำลายอย่างอดไม่ได้

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ หากเจ้าทำเช่นนี้ต่อไป วันนี้พวกเราคงจะไปไหนไม่ได้แล้ว” ซือมั่วกล่าวเตือนอย่าง ‘เขินอาย’ หนึ่งประโยค

เดิมที เขาคิดว่าตนเย้าหยอกเช่นนี้จะทำให้คนในอ้อมอกหน้าแดงดิ้นหนี

แต่ว่า ไม่คิดว่า มู่ชิงเกอไม่เพียงแต่ไม่ดิ้นหนี ยังใช้นิ้วมือเชยคางเขาขึ้น กล่าวด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “เช่นนั้นก็ไม่ต้องไป”

ดวงตาทั้งคู่ของซือมั่วหดลงอย่างไม่คาดคิด มองนางอย่างประหลาดใจ คล้ายกำลังแยกแยะข้อเท็จจริงในคำพูดนาง

ระหว่างที่เขานิ่งอึ้ง มู่ชิงเกอกลับพลิกตัวลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าตัวเองไปพลาง หันหลังกล่าวกับซือมั่วไปพลาง “ลุกขึ้นได้แล้ว รีบออกเดินทาง”

ทว่า นางกลับไม่ได้สังเกต ซือมั่วที่นอนอยู่บนเตียงข้างหลัง สีอำพันเปลี่ยนเป็นความมืดครึ้ม คล้ายปรากฎสีแดงกุหลาบขึ้นหนึ่งชั้น

ข้างหลังไม่มีการตอบสนอง มู่ชิงเกอขมวดดิ้วด้วยความสงสัย ขณะที่นางกำลังหันหลังกลับก็พลันรู้สึกได้ว่ามีลมแรงหนึ่งหอบโผเข้ามา

นางออกมือป้องกันตามจิตใต้สำนึก แต่กลับถูกซือมั่วขวางไว้อย่างง่ายดาย ร่างก็ถูกดึงลงไปบนเตียงใหม่อีกครั้ง

เงาร่างสูงใหญ่สีดำคร่อมร่างอยู่ข้างบน กดสีแดงพร่างพราวนั้นไว้ใต้ร่างสีดำ กลืนกินอาทิตย์สีสด

มู่ชิงเกอเบิกตาโตถลึงตามองซือมั่ว ทว่าข้อมือทั้งคู่กลับถูกเขาจับไว้กดลงบนเตียง

“เจ้า!” มู่ชิงเกอคิดจะกล่าวเตือน

แต่กลับถูกซือมั่วตัดบทอย่างไร้เยื่อใย “ในเมื่อเสี่ยวเกอเอ๋อร์บอกว่าไม่ยี่หระ เช่นนั้นก็ค่อยไปเถอะ” พูดจบ เขาก็ก้มหน้าลง ครอบครองริมฝีปากสีแดงที่เผยอเล็กน้อยของมู่ชิงเกออย่างรุนแรง

“อื้อ…” มู่ชิงเกอคิดจะดิ้น แต่กลับถูกซือมั่วจู่โจมลงมาตรงๆ

กลิ่นหอมกรุ่นที่ยั่วยวน อบอวนออกมาจากร่างซือมั่ว กระตุ้นความปรารถนาของมู่ชิงเกอไม่ขาดสาย ทำลายสติของนางลงทีละนิด…ทีละนิด

‘ช่างมัน! ช่างมัน!’

ท้ายที่สุด นางก็ผ่อนปรนในใจ ดำดิ่งอยู่ในความรักความใคร่กับผู้ชายของนาง

เหตุการณ์ล่าช้านี้ใช้เวลาไปหลายชั่วยาม

จนกระทั่งในที่สุดมู่ชิงเกอก็ ‘คลาน’ ออกมาจากวังชานไห่ นางนับนิ้วคำนวณเวลา ตะวันก็โด่งแล้ว

มู่ชิงเกอใช้มือข้างหนึ่งคํ้าเอว มือข้างหนึ่งจับราวกั้นหน้าประตู แผ่นหลังยังคงเหยียดตรง ไม่มีท่าทีจนตรอกแม้แต่นิดเดียว ทว่าในใจกลับก่นด่าความอหังการของซือมั่ว

ช่างไม่ทะนุถนอมอ่อนโยนเลยแม้แต่นิดจริงๆ

ซือมั่วเดินออกมาจากวังชานไห่ด้วยท่าทีสบายอารมณ์ มองเห็นแผ่นหลังที่เหยียดตรงของมู่ชิงเกอ ริมฝีปากสีแดงก็ยกขึ้นเล็กน้อย แววตามีความอ่อนโยนหลายส่วน

เขาเดินมาอยู่ข้างหลังมู่ชิงเกอ ยื่นแขนออกไปโอบ

ถูกซือมั่วโอบเอวไว้ ร่างมู่ชิงเกอพลันแข็งทื่อ นางละสายตามองซือมั่ว ดวงตาที่ใสสะอาด ปรากฎความเย็นเยียบอันโหดเหี้ยม

ท่าทางกัดฟันกรอดนั้นถูกใจซือมั่วนัก

เขาก้มหน้าจูบลงบนริมฝีปากที่ปิดแน่นของนางอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ผละออกทันที

มู่ชิงเกอที่ถูกโจมตี ยกมุมปาก ความเย็นชาบนใบหน้าหายวับไปทันที

มู่ชิงเกอวางมือที่คํ้าเอวลง ถามอย่างหงุดหงิด “ตอนนี้ไปได้แล้วหรือยัง”

ซือมั่วพยักหน้า “ข้าไปได้ทุกเมื่อ แล้วแต่พระชายาเลย”

เหตุใดประโยคนี้ถึงฟังดูผิดปกติเล็กน้อย มู่ชิงเกอบ่นอุบในใจ ท้ายที่สุดกลับไม่ได้พูดอะไร

“ไปกันเถอะ” มู่ชิงเกอกล่าว

ซือมั่วพยักหน้า แต่กลับโอบนางไว้แน่นกว่าเดิม ตอนที่มู่ชิงเกอประหลาดใจ เขาก็พูดจากกวนประสาทหนึ่งประโยค “ลำบากพระชายาแล้ว มิควรออกแรงเกินไป เรื่องอื่นๆ ปล่อยให้เป็นหน้าที่สามีเถิด”

พูดจบ ซือมั่วก็พามู่ชิงเกอทะลุผ่านช่องว่างทันที เดินทางไปยังป่าอสูรด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด เมื่อมู่ชิงเกอรู้สึกว่าเท้าแตะพื้นดินก็มาถึงป่าอสูรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ว่า ที่นี่ยังห่างจากเผ่าภูติภูเขาอีกระยะหนึ่ง ด้วยความเร็วของคนทั้งสองกลับใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น

“ครั้งก่อนที่มาเยี่ยมเผ่าภูติภูเขา ยังมีโห่วนำทาง” มู่ชิงเกอกล่าวกับซือมั่ว

ใครจะรู้ ซือมั่วกลับกล่าวเสียงเรียบ “เส้นทางไปเผ่าภูติภูเขา ข้าเองก็รู้เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องให้ใครมานำทาง”

พูดจบ เขาก็โอบมู่ชิงเกออีกครั้ง ทะยานไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็ว

“นี่ ข้าไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น” สีหน้ามู่ชิงเกอดำทะมึน หมดคำพูดเล็กน้อย อย่างไรเสียนางก็ยังเป็นราชาเทวะขั้นศักดิ์สิทธิ์ชั้นเก้า ยังต้องให้คนมาอุ้มพานางทะยานผ่านอากาศด้วยหรือ

“สามีของเจ้าอยู่ที่นี่ ไหนเลยจะต้องให้เจ้าออกแรงเอง” ซือมั่วกลับกล่าวอย่างมีเหตุมีผล

มู่ชิงเกอส่ายหน้าหมดคำพูด

ซือมั่วจอมเผด็จการ นางเคยเห็นเมื่อตอนที่เขาสูญเสียความทรงจำช่วงนั้นมาก่อนแล้ว

ขี้เกียจจะทะเลาะกับเขาให้ล่าช้า นั่นเป็นเพียงแค่การเสียเวลาเปล่า เร็วอย่างยิ่ง ป่าผืนนั้นในความทรงจำของมู่ชิงเกอ ก็ปรากฎอยู่ตรงหน้าคนทั้งสอง

“ในป่าน่าจะมีทหารคุ้มกันของเผ่าภูติภูเขา พวกเราเดินเข้าไปดีกว่า” มู่ชิงเกอกล่าวเตือนซือมั่ว

“ไม่จำเป็น” ทว่าซือมั่วกลับปฏิเสธอย่างแข็งกร้าว

จากนั้น เขาก็พานางถลันเข้าไปกลางเขตแดนของเผ่าภูติภูเขาโดยตรง ปรากฎตัวอยู่เบื้องหน้าต้นไม้เก่าแก่ที่เผ่าภูติภูเขาปกปักรักษาตั้งแต่รุ่นสู่รุ่น

ทั้งสองเพิ่งจะปรากฎตัวก็ดึงดูดความตื่นตัวของเผ่าภูติภูเขาทันที เสียงฝีเท้าดังเข้ามาทางพวกเขาอย่างรวดเร็ว

ตอนที่อินเจวี๋ยนำคนมาถึง มองเห็นแผ่นหลังคนทั้งสอง ก็กล่าวอย่างอดประหลาดใจไม่ได้ “เจ้าแห่งมาร ราชาเทวะมู่ พวกท่านมาได้อย่างไร”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version