ตอนที่ 920
สู้กันจนได้!
“เจ้าแห่งมาร ราชาเทวะมู่ พวกท่านมาได้อย่างไร” อินเจวี๋ยประหลาดใจต่อการปรากฎตัวอย่างกะทันหันของคนทั้งสอง โบกมือให้เหล่าทหารคุ้มกันของเผ่าภูติภูเขาถอยออกไป
เร็วอย่างยิ่ง หน้าต้นไม้เก่าแก่ก็เหลือเพียงคนสามคน
มู่ชิงเกอกล่าวกับอินเจวี๋ย “ขออภัยองค์ชาย พวกข้ามาครั้งนี้ มีเรื่องด่วนต้องการพิสูจน์ หากบุ่มบ่ามล่วงเกิน ได้โปรดอภัย”
อินเจวี๋ยพยักหน้า มองซือมั่ว ยิ้มกล่าวกับมู่ชิงเกอ “เข้าใจแล้ว ”
“ราชินีเล่า” มู่ชิงเกอถามถึงอินเล่อ “ช่วงนี้สุขภาพนางเป็นอย่างไรบ้าง”
“ทำให้ราชาเทวะมู่ต้องเป็นห่วงแล้ว สุขภาพราชินีดีอย่างยิ่ง วันนี้นางไม่อยู่เผ่า มิเช่นนั้นจะต้องมาพบราชาเทวะมู่แน่นอน” อินเจวี๋ยยิ้มน้อยๆ กล่าวตอบ
“ไม่อยู่หรือ” มู่ชิงเกอประหลาดใจเล็กน้อย
แต่ว่า ตอนที่นางเห็นสีหน้าจนใจแวบผ่านบนหน้าอินเจวี๋ย ก็เข้าใจในชั่วพริบตา “เอ่อ…อยู่กับโห่วหรือ”
อินเจวี๋ยยิ้มเจื่อนพยักหน้า ถอนหายใจกล่าวกับมู่ชิงเกอ “เด็กคนนี้ข้าคุมไม่อยู่แล้ว”
“กลับเข้าเรื่องเถอะ” ซือมั่วเอ่ยเตือนหนึ่งประโยค
มู่ชิงเกอเก็บรอยยิ้ม ใบหน้าปรากฎความเคร่งขรึมหลายส่วน นางหันหลังกลับมองต้นไม้เก่าแก่ที่เห็นมากกว่าหนึ่งครั้งต้นนั้น เปรียบเทียบอยู่ในใจเงียบๆ
ตอนที่เห็นต้นไม้เก่าแก่ต้นนี้ ดวงตาซือมั่วก็ลุกวาวเช่นกัน เพราะว่าเขาเองก็รู้สึกว่าต้นไม้เก่าแก่ต้นนี้ตรงหน้า เหมือนกันกับต้นไม้ต้นนั้นที่มู่ชิงเกอประกอบขึ้นมาอย่างถึงที่สุด
แม้แต่ลักษณะของแมกไม้ ยังใกล้เคียงอย่างยิ่ง
อินเจวี๋ยเห็นคนทั้งสองมองต้นไม้โบราณ ก็งุนงงเล็กน้อย เขาเดินเข้ามาถาม “ท่านทั้งสอง กำลังมองอะไรอยู่หรือ”
“ว่ากันว่า ป่าอสูรมีวิวัฒนาการมาจากต้นไม้เก่าแก่ต้นนี้ มันคือต้นกำเนิดของป่าอสูร” ซือมั่วกล่าวเสียงเรียบ
อินเจวี๋ยตกตะลึงในใจ กล่าวถาม “เป็นเช่นนี้จริงๆ แต่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับจุดประสงค์ในการมาของท่านทั้งสองอย่างไร”
มู่ชิงเกอเก็บสายตากลับมามองอินเจวี๋ยแล้วกล่าว “พวกข้า บังเอิญพบรูปทรงที่กระจัดกระจายจำนวนหนึ่งในสุสานบรรพชน หลังจากประกอบตามวงโคจรแล้ว พวกข้าก็พบว่าลักษณะแทบจะเหมือนกับต้นไม้เก่าแก่ต้นนี้ตรงหน้าทุกประการ”
พูดจบ นางก็ยกมือแบออก แผ่นหยกความทรงจำในฝ่ามือ ภายใต้การกระตุ้นจากพลังเทพของนาง ส่องแสงสว่างเจิดจ้า เงาของต้นไม้ใหญ่หนึ่งต้นสะท้อนออกมา ตกลงบนพื้นที่ว่างไม่ไกลจากต้นไม้เก่าแก่
อินเจวี๋ยมองฉากๆ นี้ด้วยความประหลาดใจ ตอนที่เงาต้นไม้เงานั้นซึ่งใช้ลายเส้นภาพวาดร่างออกมาปรากฎขึ้น เขาก็สะดุ้งตกใจเช่นกัน ความคุ้นเคยของเขาต่อต้นไม้เก่าแก่ เหนือกว่ามู่ชิงเกอมาก
มองเพียงปราดเดียว เขาก็ตัดสินได้แล้วว่า ลักษณะภายนอกของต้นไม้สองต้นนี้ เหมือนกันทุกประการ
“นี่คืออะไร” อินเจวี๋ยถามเสียงหลง
มู่ชิงเกอมองอินเจวี๋ยแล้วกล่าวถาม “องค์ชายยังจำได้หรือไม่ว่าก่อนหน้านี้ที่เก้าชั้นฟ้า ข้าเคยพูดว่ามีแผนที่โลกทั้งสามพันใบหนึ่งฉบับ”
อินเจวี๋ยออกแรงพยักหน้า “จำได้แน่นอน”
มู่ชิงเกอเม้มปากกล่าว “เหตุผลที่ข้ารู้ว่ามีแผนที่แผ่นนี้ก็ เพราะว่าข้าได้สิทธิ์แห่งเทพฮุ้นตุ้นของบรรพเทพไท่อีมา และตอนที่ข้าหลอมรวมสิทธิ์แห่งเทพ ความทรงจำเศษเสี้ยวเล็กน้อยของเขา ยังหลงเหลืออยู่ในสิทธิ์แห่งเทพ”
“อะไรนะ ท่านได้สิทธิ์แห่งเทพฮุ้นตุ้นมาได้อย่างไร” อินเจวี๋ยกล่าวอย่างตกใจ “มิน่าเล่า มิน่าเล่าแรกเริ่มตอนที่ท่านสร้างชื่อเสียง มีรากวิญญาณหลายชนิด แต่กลับบำเพ็ญเพียรได้อย่างรวดเร็ว มีสิทธิ์แห่งเทพฮุ้นตุ้น ทุกสิ่งล้วนมีคำอธิบาย”
มู่ชิงเกอยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้โต้เถียงคำถามความเร็วตบะบำเพ็ญของตนกับอินเจวี๋ย นางกล่าวต่อ “ในความทรงจำของบรรพชนไท่อี มีความทรงของแผนที่โลกทั้งสามพันใบ แต่กลับไม่มีภาพและรูปทรง ภาพเหล่านี้ก็ถูกค้นพบในห้องลับของสุสานบรรพชน ห้องลับห้องนั้นอยู่ใกล้ห้องในสุสานหลัก ข้างในว่างเปล่าไม่มีสิ่งของ มีเพียงรูปทรงที่วาดกระจัดกระจายอยู่บนผนังเหล่านี้ ตอนแรกพวกข้าเองก็ไม่รู้ว่านี่คือ อะไร เพียงแต่รู้สึกว่ารูปทรงเหล่านี้ในเมื่อถูกวาดอยู่ข้างใน ก็น่าจะต้องมีความหมายแฝงนัย กระทั้งเมื่อวาน หลังจากที่พวกข้าประกอบพวกมันเข้าด้วยกันแล้ว ก็พบรูปทรงของต้นไม้หนึ่งต้น”
อินเจวี๋ยพยักหน้าอย่างอดไม่ได้ “ เหมือนต้นไม้เก่าแก่ของป่าอสูรจริงๆ แต่ว่า ต้นไม้เก่าแก่ของป่าอสูร ปรากฎอยู่ในสุสานบรรพชนได้อย่างไร ซํ้ายังถูกบรรพชนไท่อีทุ่มเทความคิดซ่อนไว้เช่นนี้อีก”
ซือมั่วกับมู่ชิงเกอสบตากันปราดหนึ่ง การรู้ใจกันชนิดนั้นอธิบายได้โดยที่ไม่ต้องพูด
อินเจวี๋ยมองเห็นการเคลื่อนไหวของทั้งสองคนแล้ว ดวงตาพลันลุกวาว กล่าวเสียงหลง “พวกท่านสงสัยว่านี่คือแผนที่โลกทั้งสามพันใบงั้นหรือ”
“พวกข้าไม่ทราบ แต่ในเมื่อมันเหมือนกับต้นไม้เก่าแก่ พวกข้าจึงคิดว่ามาที่นี่อาจจะมีเบาะแส” มู่ชิงเกอกล่าวตรงๆ
นางละสายตามองต้นไม้ใหญ่ลวงตาต้นนั้น ตริตรองในใจ นี่คือแผนที่จริงๆ หรือ หากเป็นแผนที่จริงๆ เช่นนั้นแผ่นดินเทพมารที่ยืนอยู่ในตอนนี้ อยู่บนตำแหน่งใดของแผนที่ แล้วเผ่าฝูเล่า อยู่ช่องว่างไหนกัน
“จะหาเบาะแสอย่างไร ต้นไม้เก่าแก่คือรากฐานป่าอสูรของพวกข้า ไม่อาจผ่าออกได้เป็นอันขาด” อินเจวี๋ยขมวดคิ้วกล่าว
นี่ทำให้ซือมั่วกับมู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้นพร้อมกัน
ที่มาของต้นไม้เก่าแก่ในป่าอสูร ทุกคนล้วนทราบดี ไม่มีความลับใดๆ ที่พูดไม่ได้
ตอนนี้ พวกเขายืนยันได้แล้วว่าต้นไม้สองต้นเหมือนกัน เช่นนั้นข้อสรุปเล่า ข้อสรุปคืออะไร
หากบอกว่าต้นไม้ใหญ่ที่ประกอบขึ้นต้นนี้ ก็คือแผนที่ของจักรวาล มู่ชิงเกอมักจะรู้สึกว่าไม่ถูกต้องเล็กน้อย เหมือนยังขาดอะไรไป อีกทั้ง ก่อนหน้านี้นางก็เคยใช้เรือต้าเซียนทดสอบแล้ว เรือต้าเซียน ไม่ตอบสนองกับต้นไม้ใหญ่ต้นนี้เลยแม้แต่นิดเดียว
กรร!
ทันใดนั้น เสียงร้องคำรามที่ดังสะเทือนฟ้าเสียงหนึ่ง ก็ทำลายความคิดของพวกเขา
มู่ชิงเกอหยิบแผ่นหยก เก็บภาพต้นไม้เก่าแก่เข้าไปข้างใน ละสายตามองซือมั่วและอินเจวี๋ยกล่าว “นี่มันเสียงของโห่ว”
อินเจวี๋ยเองก็ขมวดคิ้ว พยักหน้ากล่าว “ถูกต้องเป็นเสียงของโห่วจริงๆ”
“ที่โห่วถูกเรียกว่าโห่วก็เพราะเสียงร้องของเขาสะเทือนฟ้า อานุภาพไม่มีที่สิ้นสุด เสียงคำรามนี้ดังมาถึงที่นี่ มีพลังไม่มากแล้ว เห็นได้ว่าเขาอยู่ไกลจากที่นี่อย่างยิ่ง” ขณะที่ซือมั่วกล่าว ดวงตาทั้งคู่ก็หรี่ลง “อีกทั้งยังพบอันตรายอีกด้วย”
“พวกเราไปดูกัน” มู่ชิงเกอกล่าวอย่างตัดสินใจเด็ดขาด
โห่วคือเพื่อนของนาง คือสหายของนาง จะนั่งดูอยู่เฉยๆ ได้อย่างไร
การตัดสินใจของมู่ชิงเกอ ซือมั่วไม่เคยปฏิเสธ และอินเล่อก็อยู่กับโห่ว อินเจวี๋ยกับเผ่าภูติภูเขาย่อมไม่อาจเมินเฉยได้
ชั่วพริบตาทั้งสามก็ไล่ตามทิศทางของเสียงที่โห่วร้องคำรามออกมา
ไม่กี่ชั่วพริบตา ทั้งสามก็ไปถึงแล้ว
ทว่า ที่ปรากฎอยู่ในสายตากลับเป็นสงครามใหญ่ที่สั่นสะเทือนสนามหนึ่ง
โห่วแสดงร่างเดิมออกมาแล้ว รบกับมังกรสิบตัวกลางอากาศ และบนหลังเขา ผมยาวสีเขียวอมดำพลิ้วไหว นั่นคืออินเล่อที่ถือคันธนู ขี่อยู่ข้างบน
ลูกธนูของอินเล่อยิงออกไปไม่ขาดสาย บีบบังคับให้เผ่ามังกรเหล่านั้นถอยไป
ทว่ายังคงมีเผ่ามังกรร้องคำราม เปล่งเสียงร้องของมังกรของออกมา พุ่งไปที่โห่ว ในนั้น ผู้ที่สู้รบอยู่กับโห่วก็คือมังกรตัวยักษ์สีทองหนึ่งตัว
“ราชามังกรเสด็จมาเอง!” อินเจวี๋ยพูดหนึ่งประโยค
“เหตุใดถึงสู้กันขึ้นมาจนได้” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วกล่าว
อินเจวี๋ยยิ้มเจื่อน “โห่วขัดแย้งกับเผ่ามังกรมานานแล้ว ครั้งนี้หากไม่ใช่เขาไปหาเรื่องเผ่ามังกร เผ่ามังกรก็มาหาเรื่องเขา แต่ว่าที่นี่อยู่ไกลจากแดนมังกรอย่างยิ่ง ดูท่าแล้วเผ่ามังกรน่าจะมาหาเรื่องโห่วเสียมากกว่า”