ตอนที่ 93-1
คุณชาย หน้าตาเล่า?
มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมองรอยยิ้มที่มีความนัยแอบแฝงของเฮ่อเหลียนป๋าสะท้อนอยู่ในแววตาของนาง
“อย่างนั้นหรือ มู่ซงเจ้าคิดว่าอย่างไร?” ฉินชางมองมู่ซง นํ้าเสียงนั้นไม่สามารถคาดเดาความรู้สึกในตอนนี้ของพระองค์ได้
การกดดันเช่นนี้มู่ซงคิดเอาไว้แล้วไม่ผิด ถ้าไม่เช่นนั้นก็คงจะไม่สั่งให้มู่ชิงเกอระวังตัวเอาไว้ตั้งแต่แรก หากเป็นเมื่อก่อนบางทีเขาอาจจะลังเลและเป็นห่วงหลานสาว
แต่ว่า ในตอนนี้…
มู่ซงมองฉินชางอย่างแน่วนิ่ง โดยไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย “สุดแล้วแต่พระองค์จะตัดสินพระทัยพะย่ะค่ะ” คำพูดอย่างตรงไปตรงมานั้น ราวกับได้ยืนยันความเชื่อใจอันเต็มเปี่ยมที่เขามีต่อมู่ชิงเกอ ปฏิกิริยานี้ของท่านผู้เฒ่า ทำให้มู่ชิงเกอหัวเราะอย่างไร้เสียง
“ถ้าเช่นนั้น ข้ารับคำท้าแทนมู่ชิงเกอ” ฉินชางกะพริบตา พร้อมรอยยิ้มอันเบิกบาน แต่ทว่าในระหว่างที่เขากะพริบตากลับมีความมืดมนอันคลุมเครือเกิดขึ้น
ทางด้านมู่ซงเมื่อไม่มีปัญหาอันใด ฉินชางจึงประกาศรับคำท้าประลองนี้ในทันที
“แม้จะกล่าวว่า หมัดและเท้าไร้ตา แต่อย่างไรก็เป็นเพียงแค่การประลองฝีมือ แค่แตะโดนแล้วหยุดก็พอ ห้ามทำร้ายกันจนถึงชีวิต” ฉินชางสั่ง
แต่ทว่า พอมู่ชิงเกอได้ยินคำนี้ กลับรู้สึกได้ถึงความนัยที่มากกว่าการตักเตือนแอบแฝงอยู่ ราวกับว่าเขาเพียงแค่หาข้ออ้างให้กับ ‘เรื่องไม่คาดคิด’ ที่อาจจะเกิดขึ้นเอาไว้ล่วงหน้า
คนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ไม่ได้มีเพียงคนเดียวที่ต้องการชีวิตของนาง!
สิ่งที่สัมผัสได้นี้ทำให้สายตาของมู่ชิงเกอเย็นเยียบเล็กน้อย รอยยิ้มตรงมุมปากก็พลันฉายแววโหดเหี้ยม
แผนการระหว่างหมานอ๋องและรัชทายาท ฮ่องเต้แคว้นฉินจะรับรู้หรือไม่ นางไม่อาจแน่ใจ
แต่ว่า นางกลับรู้เป็นอย่างดีว่า ฮ่องเต้แคว้นฉินเองก็หวังที่จะยืมมือหมานอ๋องในการจบชีวิตนางเช่นกัน
ยืมมือคนอื่นในการสังหารคน เพื่อทำลายความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลมู่และแคว้นถูให้จบสิ้นลง…
มู่ชิงเกอหมุนจอกเหล้าในมือของตนเอง ทันใดนั้นนางพลันกระจ่างว่า บางที เรื่องกบฏแผ่นดินที่เกิดขึ้นในพิธีสวมหมวกของนาง ในความคิดของฮ่องเต้เจ้าแผนการผู้นี้ อาจจะไม่คิดว่าเป็นเพียงแค่การใส่ร้าย
ความไม่เชื่อใจ ความเคลือบแคลง ความคาดหวัง และการปฏิเสธ
‘หึๆ ช่างเป็นความคิดที่ขัดแย้งกับตนเองเสียจริง’ มู่ชิงเกอดื่มเหล้าในจอก พลันเผยยิ้มมุมปากอย่างเยาะเย้ย นางรำที่ยังไม่ได้ขึ้นเวที เพราะการประลองที่จะเกิดขึ้นนี้ จึงต้องถอยออกไปให้ไกลกว่าเดิม
บริเวณตรงกลางของงานเลี้ยง ถูกเว้นว่างไว้ ทุกคนรอคอยอย่างเงียบสงบ
ใบหน้ำของหมานอ๋องแห่งแคว้นถูฉายแววได้ใจ ใช้ภาษาแคว้นถูตะโกนออกมาคำหนึ่ง
จากนั้นก็มีนักบู๊ที่ร่างกายสูงใหญ่กำยำนายหนึ่งเดินออกมา ยืนอยู่บนพื้นที่ว่างตรงกลางพร้อมใบหน้าอันแสนเย่อหยิ่ง
รูปร่างของประชาชนแคว้นถูส่วนมากแล้วจะสูงกว่าแคว้นฉินและดูกำยำมากกว่า คนที่เดินออกมาเป็นคนที่สูงที่สุดของแคว้นถู ฉินจิ่นห้าวที่ว่าสูงกว่ามาตรฐานของคนแคว้นฉินแล้ว หากเปรียบกับเขาคงจะประมาณใบหูของเขาเท่านั้น มู่ชิงเกอยิ่งเตี้ย แม้ว่านางจะสูงแล้วแต่ ทว่าเป็นเพราะถูกจำกัดความสูงในฐานะที่เป็นผู้หญิง จึงทำให้ชายหนุ่มแคว้นถูสูงกว่านางถึงหนึ่งศีรษะพอดี
ทุกคนที่นั่งอยู่ในที่แห่งนี้ ราวกับจะสามารถจินตนาการ ได้ถึงความกดดันที่ประดังกันเข้ามาและความรู้สึกด้อยกว่าทางด้านรูปร่างเมื่อมู่ชิงเกอขึ้นไปบนสนาม ความรู้สึกที่ทั้งหวังให้นางชนะและความอยากเห็นรู้อยากเห็น เกิดขึ้นภายในใจของเหล่าตระกูลสูงเหล่านี้
ในวันนั้น เรื่องที่มู่ชิงเกอแสดงพลังอันยิ่งใหญ่กลางตลาดและฆ่าพระมาตุลา ทุกคนที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ต่างก็ได้ยินและได้รับฟังกันมาแล้ว
ผู้ที่เป็นคนไร้ค่ามาโดยตลอด กลับกลายเป็นยอดฝีมือ เรื่องที่ไม่มีต้นสายปลายเหตุเช่นนี้ หากไม่เห็นกับตา ก็คงจะไม่มีวันเชื่อ
ที่ต้องการให้ชนะ นั้นเพราะเป็นประชาชนแคว้นฉินเหมือนกันและไม่ต้องการให้แคว้นถูได้ใจ ผู้กล้าบางคนถึงขั้นแอบเตรียมพร้อม หากมู่ชิงเกอแพ้ก็จะออกไปลบล้างคำสบประมาทด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม แม้มู่ชิงเกอจะยังไม่เข้าสนามแข่ง แต่คน ส่วนใหญ่ภายในงานเลี้ยงต่างก็คิดว่าเขาจะต้องแพ้เป็นแน่!
สัมผัสได้ถึงคำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานาที่เกิดขึ้นจากผู้คน มู่ชิงเกอยกแขนเสื้อขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ พลันยืนขึ้นมา เอามือไพล่หลัง เดินออกจากที่นั่งประจำตำแหน่งของตระกูลมู่ไป
ชุดสีแดงดั่งเปลวเพลิงอันเจิดจ้า รูปร่างที่ยืดตรงดั่งมีดดาบ ท่าทางอันสูงส่ง ใบหน้าอันงดงามสง่าภูมิฐาน สมบูรณ์แบบไร้ซึ่งข้อบกพร่อง ทันทีที่นางเดินเข้ามา งานเลี้ยงที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในตอนแรกก็พลันเงียบสงบลงในทันที
ความผ่อนคลายและไม่เป็นกังวลเกิดขึ้นจากตัวของนาง ส่งผลกระทบต่อทุกคนในงานเลี้ยง ทำลายความหยิ่งยโสของนักบู๊จากแคว้นถูไปอย่างไร้ร่องรอย
‘เขาไม่เป็นอะไรหรอก!’ อาจเป็นเพราะได้รับผลกระทบนั้นทำให้จิตใจที่เป็นกังวลอยู่ตลอดของฉินอี้เหยาผ่อนคลายลงในทันที แววตาที่มีความเป็นห่วงซ่อนอยู่ก็ค่อยๆ หายไปพร้อมฝีเท้าอันผ่อนคลายของมู่ชิงเกอ
ในที่สุด มู่ชิงเกอก็ยืนอยู่ตรงหน้านักบู๊จากแคว้นถู
ทันใดนั้น ภาพบรรยากาศที่ทุกคนจินตนาการเอาไว้ก็ได้เกิดขึ้น
ความได้เปรียบในด้านความสูง ความสามารถที่ถูกซ่อนไว้ของนักบู๊จากแคว้นถูก็ได้ปรากฏขึ้นในทันที เขาก้มลงมองมู่ชิงเกอแววตาเปี่ยมไปด้วยความดูถูกและเยาะเย้ย
“โอ…!”
“สายคราม ! เป็นถึงสายครามเชียวเหรอ!”
“ถึงว่า หมานอ๋องแห่งแคว้นถูถึงได้มั่นใจนัก!”
ทันใดนั้น นักบู๊แคว้นถูก็แค่นเสียงตํ่าเสียงหนึ่ง รอบตัวมีแสงสีครามส่องประกาย ห่อหุ้มตัวเขาเอาไว้ แสงสีครามแผ่กระจายไปในวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่า อยากจะฉีกร่างของมู่ชิงเกอด้วยแสงนั้น
“ท่านพ่อ นี่มัน!” มู่เหลียนหรงพูดอย่างตื่นตระหนก
มู่ซงหรี่ตา ไม่สามารถคาดการณ์อารมณ์ในตอนนี้ของเขาได “สายครามขั้นต้น”
สายครามขั้นต้นอย่างนั้นหรือ?
มู่เหลียนหรงแอบคิดในใจ นางจำได้ว่าเมื่อสิบเดือนที่แล้ว มู่ชิงเกอเป็นสายเขียวขั้นต้น แม้ว่านางจะเก่งกาจเพียงใดแต่การฝึกฝนเพียงแค่สิบเดือน มากที่สุดก็คงจะเป็นได้เพียงแค่สายเขียวขั้นสูงหรือยอดฝีมือสายเขียวเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ระดับขั้นของพลังเวทยิ่งสูง ระดับขั้นของการฝึกฝนก็ยิ่งสูงและยากมากขึ้น
ไม่เช่นนั้น ยอดฝีมือที่อยู่เหนือสายเขียว ก็คงจะไม่น้อยจนถึงเพียงนี้ เวลาสิบเดือน กระโดดจากขั้นต้นถึงขั้นสูง หรือเข้าขั้นยอดฝีมือ ก็ถือว่าเป็นการประเมินที่สูงมากแล้ว
แต่ว่า ความสามารถระดับนี้ยังคงไม่เพียงพอสำหรับสายครามขั้นต้น
หากเป็นแต่ก่อน ตอนที่มู่เหลียนหรงยังคงไม่กระจ่างในสายครามมากนัก แต่ในตอนนี้เป็นเพราะมู่ชิงเกอทำให้นางทะลวงสู่สายคราม จึงทำให้นางเข้าใจความแตกต่างระหว่างสายครามและสายเขียวเป็นอย่างดี
สามารถพูดได้ว่า สายครามขั้นต้นหนึ่งคนจะสังหารสายเขียวสิบคนก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
เพราะความแตกต่างนี้ทำให้มู่เหลียนหรงหน้าซีดในทันที และอยากจะออกไปห้ามการประลองในครั้งนี้
แต่ทว่า ทันทีที่นางขยับ ข้อมือของนางก็ถูกบิดาคว้าเอาไว้