ตอนที่ 931
เรื่องวิปริต ข้ายอมแพ้
ชายอักขระสีทอง มู่ชิงเกอรู้จัก ซือมั่วเองก็รู้จัก
หน้าตาของเขา แม้ว่าจะต่างจากตอนที่อยู่ในแผ่นดินเทพมาร แต่ปราณกลับเหมือนกัน
ซือมั่วเคยบอกว่า แม้ว่าร่างแยกจะไม่ใช่ร่างจริง แต่ปราณกลับเหมือนกัน คนผู้นี้เพิ่งจะปรากฎตัว คนทั้งสองก็มั่นใจแล้วว่าเขาก็คือชายชุดดำผู้นั้นที่แฝงตัวเข้ามาในแผ่นดินเทพมารสองครั้ง เจตนาชั่วร้าย มีความทะเยอทะยานแรงกล้า
ยิ่งไปกว่านั้นธงวิญญาณมารก็ถูกพบในห้องเขา
มู่ชิงเกอมองซือมั่ว ถ่ายทอดเสียงกล่าว ‘คาดไม่ถึงว่าเขาเพียงแค่วางธงวิญญาณมารไว้ในห้องๆ นี้’
ซือมั่วเลิกคิ้ว ตอบ ‘เขาไม่มีทางหลอมได้’
หลังจากพูดคุยกันสั้นๆ ทั้งสองก็มองชายอักขระสีทองอีกครั้ง
ชายอักขระสีทอง ไม่ได้สังเกตเห็นว่าที่นี่มีคนอีกทั้งยังเป็นคนทั้งสองที่เขาเฝ้าปรารถนา เห็นเป็นศัตรูตัวฉกาจ เห็นเป็นอุปสรรคขัดขวาง
เขาตรงเข้าไปข้างในห้อง ไม่ได้หยุดอยู่ข้างนอก
มู่ชิงเกอสบตาซือมั่วปราดหนึ่ง ซ่อนปราณของตนไว้ให้ดีกว่าเดิม ตามเข้าไปข้างในห้องเงียบๆ
ทว่า เพิ่งจะเข้าไป ทั้งสองก็ถูกฉากตรงหน้า ทำให้ตกตะลึงจนยากจะอธิบาย
ชายอักขระสีทองผู้นั้นบิดเบี้ยวครู่หนึ่ง คาดมีถึงว่าในตัวเขา ค่อยๆ ลอกคราบคนผู้หนึ่งออกมา
ดุดันเหมือนกันสองคู่ หลังจากเบิกโตอย่างหรี่ลงเล็กน้อย หากไม่ใช่คนทั้งสองต่างก็เป็นคนที่มีจิตใจแน่นิ่ง ภายในใจแข็งแกร่ง เกรงว่าตอนที่เห็นภาพแปลกประหลาดนี้แล้วจะร้องตกใจออกมา
ขั้นตอนการลอกคราบ ไม่น่าพิสมัยเท่าไหร่
ความรู้สึกชนิดนั้น เหมือนคนผู้หนึ่งถูกบีบบังคับให้ลอกคราบออกมาเป็นสองคน
ในขั้นตอนการลอกคราบทั้งหมด ชายอักขระสีทองส่งเสียงร้องครวญคราญที่ทำให้คนใจสั่นออกมา ไม่ใช่ความเจ็บปวด แต่เป็นความสบายที่ไม่เคยมีมาก่อน
“อ๊ะ” หญิงผู้หนึ่งที่ถูกลอกคราบออกมา นางเปลือยร่างโผไปข้างหน้า ความรู้สึกเหมือนไร้นํ้าหนัก ทำให้นางร้องเสียงหวานออก
ภาพที่ยั่วยวนสมจริงเช่นนี้มู่ชิงเกอจึงยกมือขึ้นไปบังไว้ข้างหน้าซือมั่วตามจิตใต้สำนึก ห้ามไม่ให้เขาเห็นภาพที่ไม่ควรเห็น
เบื้องหน้าซือมั่วดำมืด เขาไม่ได้ห้ามการกระทำของมู่ชิงเกอ มุมปากสีแดงกลับยกยิ้มแวบหนึ่ง
ในตอนที่หญิงซึ่งถูกลอกคราบออกมาผู้นั้นกำลังจะล้มลง ชายอักขระสีทองก็พลันยื่นมือโอบเอวของนางไว้และดึงนางกลับมาอย่างแรง
หญิงสาวถูกดึงไว้โผเข้าไปในอ้อมอกชายอักขระสีทอง ส่วนอ่อนนุ่มทั้งสองข้างหน้าถูกเบียดอยู่บนแผงอกของชายผู้นั้นชั่วพริบตาก็เปลี่ยนรูป มู่ชิงเกอมองจนขมวดคิ้ว
แต่สิ่งที่ทำให้นางขมวดคิ้ว ไม่ใช่ความคลุมเครือระหว่างสองคน แต่กลับเป็นใบหน้าที่เหมือนกันสองดวงนั้นต่างหาก
หยาดเยิ้มเหมือนกัน งดงามเหมือนกัน แม้แต่สีหน้าก็ยังเหมือนกัน สิ่งที่ไม่เหมือนกันเพียงหนึ่งเดียวก็คือ อักขระสีทองกลางหน้าผากหญิงผู้นั้น มีรูปทรงต่างจากอักขระสีทองกลางหน้าผากของชายหนุ่ม
‘นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน’ มู่ชิงเกอเกิดความรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาในใจ และยังมีความรู้สึกรังเกียจที่พูดไม่ถูกชนิดหนึ่ง
“น่ารำคาญ” หญิงสาวกล่าวเสียงออดอ้อน
ชายอักขระสีทองใช้นิ้วบีบคางหญิงสาวขึ้นยื่นทั้งใบหน้าเข้าไปใกล้ ปลายจมูกแทบจะชนกัน
เขาแลบลิ้นออกไป เลียแก้มหญิงสาวเบาๆ ใช้นํ้าเสียงยั่วยวนกล่าว “ไม่ใช่ว่าเจ้าชอบที่ข้าน่ารำคาญหรอกหรือ”
แขนทั้งคู่ที่ราวกับไร้กระดูกของหญิงสาว โอบล้อมคอของชายหนุ่มประหนึ่งงู ดวงตานางหยาดเยิ้มดุจเส้นไหม กล่าวกับเขา “ท่านและข้าอยู่ในร่างเดียวกัน จะชอบอะไรรำคาญอะไรเล่า”
ขณะที่พูด ขาทั้งคู่ของนางก็เกี่ยวพันกล้ามเนื้อช่วงเอวของชายหนุ่มเข้าแล้ว
ท่าทางโจ่งแจ้งเช่นนี้ รวมถึงคำพูดที่คลุมเครือพวกเขา ทำให้มู่ชิงเกอขนลุกตั้งไปทั่วร่าง
ชายอักขระสีทองคล้ายถูกหญิงสาวยั่วยวนจนทนไม่ไหว ก้มหน้าจูบริมฝีปากของนางทันที และช่องว่างในปากของหญิงสาว ก็มีเสียงหัวเราะหวานเยิ้มหนึ่งชุดดังออกมา
ทันใดนั้น เบื้องหน้ามู่ชิงเกอก็ดำมืด ภาพถูกบังไว้
เสียงของซือมั่ว ดังขึ้นในสมองนาง ‘เสี่ยวเกอเอ๋อร์อะไรที่ไม่ดีก็อย่าดู’
“…’’ มู่ชิงเกอ
ตอนนี้ข้างหูของมู่ชิงเกอกับซือมั่ว มีเสียงทีทำให้คนจินตนาการไปไกลดังเข้ามาแล้ว
‘เด็กดี หลับตาเสีย’ เสียงของซือมั่วดังเข้ามาอีกครั้ง
มู่ชิงเกอตำหนิในใจ ‘หลับตาแล้วจะมีประโยชน์อะไรสุดท้ายก็ยังได้ยินอยู่ดี’
เมื่อคิดถึงบทยั่วยวนสมจริงที่แสดงอยู่ข้างๆ แก้มของมู่ชิงเกอก็ร้อนรุ่มขึ้นมา
ทันใดนั้น นางก็รู้สึกว่าช่วงเอวของตนแน่นกระชับ แผ่นหลังทั้งแผ่นแนบติดกับร่างด้านหน้าของซือมั่ว
มือใหญ่ๆ ของผู้ชาย โอบเอวนางไว้พอดี ฝ่ามือที่ร้อนผ่าวแนบติดอยู่ บริเวณท้องน้อยของนาง
‘ร้อนยิ่งนัก’ แม้จะกั้นด้วยอาภรณ์มู่ชิงเกอก็ยังรู้สึกได้ว่าอุณหภูมิร่างกายของซือมั่วเพิ่มขึ้นไม่หยุด
‘เสี่ยวเกอเอ๋อร์ตัวเจ้าร้อนยิ่งนัก’ เสียงที่ทุ้มตํ่าและดึงดูด ดังอยู่ในสมองมู่ชิงเกอ
แก้มทั้งคู่ของมู่ชิงเกอราวกับถูกไฟแผดเผาในชั่วราวพริบตา นางอยากดิ้นให้หลุดจากกรงเล็บมารของซือมั่วตามจิตใต้สำนึก
‘ชู่ว์อย่าขยับ เดี๋ยวก็ถูกเห็นหรอก’ ทว่าซือมั่วกลับกอดนางแนบแน่น ไม่ให้นางหนีไปได้แม้แต่นิดเดียว
เสียงที่ทำให้คนคอแห้งกระหายนํ้ารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ข้างหูคนทั้งสอง แผ่นหลังมู่ชิงเกอแข็งทื่อ ยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ในที่มืดกับซือมั่ว ซ่อนปราณของตัวเอง พวกเขายื่นมือปิดตากันและกัน ทว่าสิ่งยั่วยวนที่มองไม่เห็นยิ่งสามารถกระตุ้นความว้าวุ่นส่วนนั้นในเบื้องลึกของจิตใจ
หากคนที่ยืนอยู่ข้างๆ มู่ชิงเกอไม่ใช่ซือมั่ว หรือว่าคนที่ยืนข้างๆซือมั่ว ไม่ใช่มู่ชิงเกอ ภาพน่าอายที่อยู่ใกล้อย่างถึงที่สุดไม่อาจทำให้ในใจพวกเขาเกิดความอ่อนไหวได้แม้แต่นิดเดียว รู้สึกได้แค่เพียงความรังเกียจ
มิหนำซํ้า พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกัน ผ่านเหตุการณ์ทั้งหมดนี้มาแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นก็จะเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม
‘เสี่ยวเกอเอ๋อร์…’ เสียงของซือมั่ว ทำให้มู่ชิงเกออ่อนไปทั่วร่าง สมองระเบิดเสียงดัง ‘ตูม’ หลังจากนั้น นางรู้สึกได้ว่าซือมั่วก้มหน้าขบติ่งหูของตน ไอร้อนที่พ่นออกมาจากปลายจมูก ทะลุเข้าไปในหูนางไม่ขาดสาย ทำให้ทั่วร่างนางอ่อนปวกเปียกยากเกินต้าน
‘อย่าซน’ มู่ชิงเกอตำหนิด้วยความโกรธ แต่กลับไม่รู้ว่าเสียงของตัวเองตอนนี้ เย้ายวนมากเพียงใด
ไหล่ทั้งคู่ของซือมั่วแน่นกระชับ ร่างกายเริ่มสั่นเทา ในที่สุดก็ปล่อยติ่งหูของมู่ชิงเกอไป ซบหน้าลงบนซอกคอของนาง มือทั้งคู่โอบเอวนางแน่น ถ่ายทอดเสียงกล่าว ‘เสี่ยวเกอเอ๋อร์อย่าขยับ’
หนีหรือ แน่นอนว่าไม่ได้
แฝงตัวเข้ามาที่นี่ก็เพื่อสืบหาข้อมูล ชายอักขระสีทองผู้นั้นดูเหมือนฐานะไม่ธรรมดา หมอบซุ่มอยู่ข้างกายเขา จะต้องได้ข้อมูลชั้นดีอย่างแน่นอน ดังนั้น ภาพเหตุการณ์ในห้อง แม้ว่าจะกระตุ้นอารมณ์แต่พวกเขาก็ยังไม่อาจหนีไปได้
หมดทนทาง ทั้งสองใช้สติที่แข็งแกร่ง ควบคุมตัวเองไว้ยืนติดกันอย่างแข็งทื่อไปทั่วร่าง อดทนรอชายหญิงพิลึกคู่นั้นพัวพันกันให้เสร็จ
‘พวกเขามีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่’ หญิงผู้นั้นออกมาจากตัวเขา อีกทั้งยังหน้าเหมือนกันกับเขา’ มู่ชิงเกอเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ถ่ายทอดเสียง
‘ไม่รู้’ ซือมั่วตอบสั้นๆ เห็นได้ชัดว่า ความคิดของเขาในตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่คำถามของมู่ชิงเกออย่างสิ้นเชิง
มุมปากมู่ชิงเกอกระตุกอย่างแรง แอบก่นด่าในใจหนึ่งประโยค ‘วิปริต’
นางยังไม่ค่อยเข้าใจเผ่าฝูดี แล้วก็ไม่รู้ว่าฉากเมื่อครู่นี้ อืม…เป็นรูปแบบพิเศษอะไรของเผ่าฝูหรือไม่ แต่ว่า ไม่ว่าใช่หรือไม่ใช่ สำหรับนางแล้วก็อธิบายได้แค่เพียงคำว่า ‘วิปริต’