Skip to content

พลิกปฐพี 97-1

ตอนที่ 97-1

บดขยี้แคว้นถูแล้ว คุณชายท่านเท่มาก

วังหลวงแคว้นฉิน การสังหารเมื่อเดือนที่แล้ว ทำให้วังหลวงแห่งนี้ยังคงแฝงความเย็นเยียบอยู่บ้าง

ทางในวังหลวง ทั้งทหารและนางกำนัลยังจัดหามาได้ไม่เท่ากับที่สูญเสียไป ทำให้จำนวนคนยังคงมีน้อย

สามวันก่อนหน้านี้ ฮ่องเต้องค์ใหม่ได้ขึ้นครองราชย์แล้ว

องค์ชายเจ็ดฉินจิ่นหยางที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะขึ้นครองราชย์

ผู้สำเร็จราชการแทนอย่างฉินจิ่นเฉินใช้ทุกวิถีทางในการทำให้การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในแคว้นสงบลงอย่างรวดเร็ว

จนถึงตอนนี้ ทุกคนจึงได้กระจ่างว่าเสียนอ๋องที่แลดูเงียบสงบจนไม่อาจประเมินความสามารถได้ต่างหากที่เป็นเสือในถํ้า

คำถามที่ว่าเหตุใดเสียนอ๋องถึงไม่ขึ้นครองราชย์ แต่ทว่า กลับให้องค์ชายเจ็ดขึ้นครองแทนนั้น…ยังคงเป็นคำถามคาใจสำหรับคนจำนวนไม่น้อย ฉินจิ่นเฉินเองก็ไม่ ได้ออกมาอธิบายเรื่องนี้

ตระกูลมู่ มู่ซงยังคงเป็นผู้สืบทอดตระกูลอันมีเกียรติและมู่ชิงเกอเองก็ยังคงเป็นคุณชายที่จะต้องสืบทอดตำแหน่ง ราวกับว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม

แต่ทว่า ทุกคนกลับกระจ่างเป็นอย่างดีว่า ตระกูลมู่ที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลดีอะไรจากเรื่องนี้ แต่ความจริงแล้วกลับเป็นผู้ชนะโดยแท้ ภายในแคว้นฉิน คนของตระกูลมู่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับราชวงศ์เแล้ว แต่ทว่ายังคงเสพสุขกับอำนาจที่เหล่าราชวงศ์ไม่อาจเปรียบได้

เช่น ประการที่หนึ่ง คนของตระกูลมู่ ไม่ว่าจะเจอฮ่องเต้เมื่อใดก็ไม่ต้องคุกเข่า

ประการที่สอง คนของตระกูลมู่สามารถพกพาอาวุธและเข้าออกวังหลวงได้โดยที่ไม่มีใครห้าม

และตำหนักอันงดงามภายในวังหลวงที่ฮ่องเต้องค์ใหม่เก็บไว้ ได้ยกให้กับคนของตระกูลมู่

ผู้ใดจะกล้าขัดข้อง?

ฮ่องเต้พระองค์ก่อน รัชทายาทและรุ่ยอ๋องที่ได้ชื่อว่าเป็นบุคคลผู้เก่งกาจแล้ว แต่ตระกูลมู่ยังสามารถฆ่าได้อย่างง่ายดาย อีกอย่างหลังจากที่ตระกูลมู่ได้จัดการเรื่อง ทุกอย่างจนสำเร็จเรียบร้อยแล้ว กลับไม่ได้ออกมาแสดงอำนาจแต่กลับนิ่งสงบลงกว่าเดิม

หากอำนาจตนเองไม่ได้รับผลกระทบและรู้ว่าไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้ เหล่าตระกูลชั้นสูงของแคว้นฉินก็ทำได้เพียงแค่เก็บความสงสัยทั้งหมดเอาไว้ในใจ

ในตอนนี้ ภายในลั่วตูประเด็นที่พูดถึงกันมากที่สุดก็คือ หญิงสาวตระกูลชั้นสูงจำนวนไม่น้อยอยากจะเป็นสะใภ้ตระกูลมู่เพื่อจะได้กลายเป็นนายหญิงแห่งจวนตระกูลมู่

มู่ชิงเกอที่เป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลมู่จึงกลายเป็นบุคคลที่โด่งดังมากที่สุดในตอนนี้

แน่นอนว่าเรื่องนี้ต่างก็ถูกทั้งมู่ซงและมู่เหลียนหรงปฏิเสธกลับไป จึงไม่ได้เข้าหูมู่ชิงเกอแต่อย่างไร มีคำสั่งเรียกให้เข้าเฝ้ากลางดึก มู่ชิงเกอและมู่ซงขี่อาชาเพลิง พาทหารองครักษ์ของตนเองเข้าไปยังวังหลวงอย่างราบรื่นโดยไม่ต้องผ่านด่านอันใด แววตาของมู่ซงแฝงความเคร่งขรึมอยู่แต่ทว่าดวงตาทั้งคู่ของมู่ชิงเกอกลับหรี่ลง พลันเคลื่อนสายตาไปรอบๆ ดูไม่ออกว่าตอนนี้นางกำลังคิดอะไรอยู่

แคว้นถูได้ส่งทหารออกมาแล้ว

ข่าวนี้ส่งไปถึงตระกูลมู่ก่อนที่วังหลวงจะมีคำสั่งบอกให้เข้าเฝ้าแล้วและทั้งสองปู่หลานก็ได้รับรู้แล้ว

และในครั้งนี้ กองทหารนับล้านของแคว้นถู มีผู้นำทัพ คือรัชทายาทเฮ่อเหลียนจ้าน ซึ่งตอนนี้ได้เข้าสู่ที่ราบลั่วตูมาแล้ว อีกทั้งยังได้ทำสงครามเล็กๆ กับแคว้นฉินหลายรอบ

ผลการทำสงครามคือ…แคว้นฉินแพ้อย่างราบคาบ!

ข่าวการทำสงครามนี้ได้เข้าสู่วังหลวง ทำให้ฮ่องเต้องค์ใหม่พลันตื่นตระหนก เขาจึงเรียกผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และตระกูลมู่ให้มาเข้าเฝ้าเพื่อปรึกษาหารือ เกี่ยวกับมาตรการการรับมือกับศัตรู

“เกอร์เอ๋อร์ ครานี้แคว้นถูได้ส่งทหารออกมานับล้าน ดูเหมือนว่าจะยากที่จะได้มาซึ่งชัยชนะ” มู่ซงถอนหายใจพลางพูดกับมู่ชิงเกอ

เขาทำสงครามมาตลอดทั้งชีวิต อายุยิ่งมากก็ยิ่งไม่ อยากจะเข้าร่วมสงคราม มิได้เป็นเพราะว่าเขาเริ่มกลัวตาย แต่ทว่า เขาไม่ต้องการที่จะเห็นชายหนุ่มที่อายุยัง น้อยต้องเอาชีวิตมาทิ้งต่อหน้าเขา

สงครามมิใช่การเล่นขายของ ยิ่งไปกว่านั้นมันไม่ใช่การละเล่นสำหรับเด็กน้อย สงครามในแต่ละครั้งส่งผลกระทบต่อประชาราษฎร์ทั้งแผ่นดิน เลือดที่ไหลอยู่ใน สงครามนั้นเป็นเลือดของทหารแคว้นฉินและสิ่งที่ต้องสูญเสียคือรากเหง้าของแคว้นฉิน

มู่ชิงเกอตอบกลับอย่างแนบนิ่งว่า “แคว้นถูกำลังจ้องทำร้ายแคว้นฉิน การทำสงครามเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ ก็ดี หากครั้งนี้พวกเขาเริ่มก่อน ก็จะสั่งสอนให้หลาบจำ จนไม่กล้ามาโจมตีแคว้นฉินอีก” นางพูดเหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายดาย ราวกับว่าในสายตาของนาง ทหารนับล้านของแคว้นถู เป็นเพียงแค่แมลง วันฝูงหนึ่ง ที่นางสามารถตบให้ตายคามือได้ ในสายตาของมู่ซงแฝงความสงสัย หันกลับมาถามนางว่า “เกอเอ๋อร์ เจ้ามีวิธีการอย่างไรหรือ”

มู่ชิงเกอเพียงหัวเราะแต่มิได้ตอบคำถามแต่อย่างไร ราวกับกำลังเล่นเกมปริศนากับมู่ซง

ทำให้มู่ซงส่ายหน้าอย่างจำยอม ก้อนหินก้อนใหญ่ที่ทับอกอยู่ก็ราวกับจะถูกยกออกแล้ว

เป็นความจริงที่ว่า ตอนนี้เขาเป็นยอดฝีมือสายม่วงแล้ว เพียงแค่ลงสนามเพื่อข่มขู่ฝ่ายศัตรูก็เพียงพอแล้ว แต่ว่ามู่ซงขมวดคิ้วพร้อมความลังเล

ความยิ่งใหญ่และจำนวนที่น้อยเป็นอย่างมากของสายม่วง ทำให้แต่ละแคว้นต่างมีข้อตกลงที่เป็นลายลักษณ์อักษร

นั้นก็คือ หลังจากที่ทะลวงสู่สายม่วงแล้ว ห้ามเข้าร่วมสงคราม หากมีผู้ใดทำผิดกฎ สายม่วงของทุกแคว้นจะสามารถมารวมตัวกันเพื่อโจมตีและสังหารสายม่วงผู้ที่ทำผิดกฎได้

เพราะฉะนั้น ภายในสนามรบ สายม่วงเป็นเพียงอำนาจที่จะใช้ต่อรอง ไม่ใช่แม่ทัพที่คอยนำทัพอยู่ในสงคราม

ในสนามรบ สิ่งที่ต้องพึ่งพา คือปริมาณของเหล่าทหาร สายส้มสายแดงธรรมดาๆ

“ท่านปู่มิต้องเป็นกังวล การเดินทางไปยังที่ราบลั่วรื่อในครานี้ ท่านปู่ไม่ต้องไปร่วมสงคราม ท่านอยู่ที่ลั่วตูเถอะ” เมื่อเห็นว่ามู่ซงเป็นกังวล อยู่ๆ มู่ชิงเกอก็เอ่ยขึ้น

“เกอเอ๋อร์เจ้า…” มู่ซงหรี่ตา จับจ้องหลานสาวของตนเองราวกับกำลังคิดอะไร

มู่ชิงเกอกระตุกยิ้ม มองห้องทรงพระอักษรส่วนพระองค์ ที่มีแสงไฟลอดออกมา พลันพูดกับมู่ซงว่า “วางใจเถอะ ข้าจะไม่ทำให้ท่านต้องอับอายและจะไม่ทำให้ตระกูลมู่ต้องขายหน้าเป็นแน่”

หึๆ ที่ราบลั่วรื่อ!

ที่นั่นเป็นถึงที่ที่นางเกิดใหม่และยังเป็นที่ที่มู่ชิงเกอคนเดิมตาย ครั้งก่อนทหารองครักษ์ 500 นายของนาง ต้องมาตายอย่างอนาถ ส่วนนางก็ต้องกลับแคว้นมา อย่างสะบักสะบอม ครั้งนี้นางจะไปเยือนที่แห่งนั้นอีก ครั้งและจะลบล้างความอับอายเหล่านั้นให้หมดสิ้น!

ยิ่งไปกว่านั้น ศัตรูในครั้งนี้เป็นแคว้นถู ฟ้าช่างเมตตานางเสียจริง

มู่ชิงเกอก้มมองตํ่าลง ท่ามกลางสายตาอันเย็นเยียบมีความเหี้ยมโหดแฝงเข้ามา ดวงตาอันสว่างราวกับมีเมฆหมอกเกิดขึ้น จนทำให้ไม่กล้ามองด้วยตาเปล่า

หลานสาวจะพาทหารออกไปทำสงคราม แน่นอนว่ามู่ซงจะต้องเป็นกังวล แต่ทว่า พอนึกถึงความสามารถของนาง ความกดดันและความกังวลในใจก็ลดน้อยลงบ้าง เขาจึงพยักหน้า

แต่ก็ยังคงกล่าวเตือนว่า “เกอเอ๋อร์ สงครามไม่ใช่การเล่นของเด็กๆ เจ้าจะประมาทไม่ได้และห้ามดูถูกความสามารถของศัตรูเด็ดขาด”

มู่ชิงเกอพยักหน้าตอบรับ

เหตุผลเหล่านี้ นางจะเข้าใจได้อย่างไรเล่า?

สิงโตอย่าประมาทในตัวกระต่าย นี่เป็นกฎการปฏิบัติภารกิจเมื่อชาติที่แล้วของนาง

นางเป็นทหารมาตั้งแต่ไหนแต่ไร สงครามมักจะกระตุ้นนางให้ทำทุกอย่าง อย่างสุดความสามารถ!

กระโดดลงจากหลังม้าหน้าห้องทรงอักษร ทหารฝ่ายในเดินเข้ามาโค้งคำนับและเชิญทั้งสองเข้าไป

เพิ่งจะก้าวเข้าไปภายในห้องทรงอักษร เสียงของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ก็ได้ดังขึ้น

“ท่านปู่มู่ พี่มู่ ในที่สุดพวกท่านก็มาแล้ว หยางเอ๋อร์กังวลใจจะแย่แล้ว!” คำพูดสนิทสนมนี้ลดระยะห่างระหว่างกษัตริย์และขุนนางขึ้นทันที

ในนํ้าเสียงของฮ่องเต้น้อย ฉายแววพึ่งพาและเชื่อใจอย่างเต็มเปี่ยม

ทั้งมู่ชิงเกอและมู่ซงตาเป็นประกายในขณะเดียวกัน สำหรับกิริยาและคำพูดของฉินจิ่นหยาง พวกเขาไม่ได้แสดงความเห็นอันใด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version