ตอนที่ 97-2
บดขยี้แคว้นถูแล้ว คุณชายท่านเท่มาก
“ขอพระราชทานอภัยที่กระหม่อมมาช้า” มู่ซงยังคงตอบไปตามมารยาท แต่ทว่า มู่ชิงเกอกลับไม่พูดอะไรเลย
“ไม่ช้าๆ! ดึกขนาดนี้แล้วยังตามท่านปู่มู่และท่านพี่มู่มาเข้าพบ เป็นความผิดของหยางเอ๋อร์เอง” ฉินจิ่นหยางรีบกุมมือมู่ซงเอาไว้ กิริยาอันนอบน้อมประหนึ่งเป็นหลานแท้ๆ
มู่ชิงเกอมองอย่างเย็นชา ทำให้ไม่อาจประเมินความรู้สึกตอนนี้ของนางได้
ฉินจิ่นเฉินที่อยู่ในห้องหนังสือส่วนพระองค์ตั้งแต่แรกเดิน เข้ามาพร้อมกับกล่าวว่า “รัชทายาทเฮ่อเหลียนจ้าน ส่งทหารออกมาโจมตีแคว้นฉิน สำหรับเรื่องนี้ ข้าคิดว่าทั้งท่านผู้เฒ่าและคุณชายคงทราบเรื่องแล้ว”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องสำคัญ ฉินจิ่นหยางก็ก้มหน้าลงราวกับจะร้องไห้ในทันที พลันกัดริมฝีปากและพูดว่า “หยางเอ๋อร์เพิ่งจะขึ้นครองราชย์ก็เจอกับเรื่องเช่นนี้แล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าควรจัดการอย่างไร ท่านปู่มู่จะชี้นำข้าได้หรือไม่ ว่าศึกครานี้ควรรับมืออย่างไรจึงจะทำให้ส่งผล กระทบต่อประชาราษฎร์แคว้นฉินน้อยที่สุด”
“ฮ่องเต้อย่าได้ทรงกังวลพระทัยไป ตราบใดที่ยังมีกระหม่อมอยู่ กระหม่อมจะไม่มีวันยอมให้แคว้นถู เหยียบเข้ามาภายในแคว้นฉินได้แม้แต่ก้าวเดียว” มู่ซงพูดปลอบ
“ได้ยินเช่นนี้ หยางเอ๋อร์ก็วางใจ” ฉินจิ่นหยางผุดรอยยิ้มอันไร้เดียงสาจนไม่อาจเห็นความเสแสร้งได้เลยแม้แต่น้อย
หลังจากที่ทั้งสี่ได้ปรึกษาหารือเรื่องนี้มาเป็นเวลานาน ท้องฟ้าก็ค่อยๆ สว่างขึ้น มู่ซงและมู่ชิงเกอจึงออกจากวังหลวงแคว้นฉินและกลับจวนตระกูลมู่พร้อมกัน
ระหว่างทาง มู่ซงยังคงขมวดคิ้วเป็นปมอยู่เล็กน้อย ราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
สีหน้าของมู่ชิงเกอกลับยังปกติ มิได้ดูแย่มากนัก
จนกระทั่งวินาทีที่ก้าวเข้าสู่จวนตระกูลมู่ มู่ซงจึงมองมู่ชิงเกอและถามว่า “เกอเอ๋อร์ เจ้ามิความเห็นอย่างไร เกี่ยวกับฮ่องเต้องค์ใหม่”
ฉินจิ่นหยาง
เป็นครั้งแรกที่มู่ซงถามคำถามเกี่ยวกับเขา ในสายตาของมู่ชิงเกอแฝงความสงสัย กระตุกยิ้มจางๆ พลันพูดว่า “เขาฉลาดมาก”
ใช่ ! ฉลาดมาก อีกทั้งยังเก็บช่อนความรู้สึกได้ดี
มู่ซง หรี่ตาและพูดในใจ เขามองหลานสาวของตนเองอย่างเป็นกังวล ไม่หวังให้
นางต้องหนีเสือปะจระเข้
ความกังวลของมู่ซงที่แสดงออกมาทางใบหน้า ทำใหมู่ชิงเกอยิ้มอย่างขี้เล่นและเดินเข้ามาอยู่ข้างๆ เขา พลันพูดด้วยนํ้าเสียงตํ่าว่า “ข้ารู้ว่าท่านปู่เป็นกังวล เรื่องอันใด แต่ทว่าสำหรับความกังวลนี้ ไม่ว่าใครจะขึ้นครองปัญหานี้ก็ต้องเกิด นอกเสียจากตระกูลมู่ของเราจะขึ้นเป็นฮ่องเต้เสียเอง แต่ก็น่าเสียดายที่ท่านปู่ไม่ได้มี ความคิดนี้ ข้าเองไม่อยากจะวุ่นวาย เพราะฉะนั้น ทางเดียวก็คือ ทำให้เขาไม่กล้าที่จะมีความคิดเช่นนั้น”
มู่ซงรู้สึกฉงนใจ พลันถามด้วยน้ำเสียงอันเคร่งขรึมว่า “เจ้าคิดจะทำการใด”
“ไม่ทำอะไร” มู่ชิงเกอยิ้มอย่างขบขัน “ตระกูลมู่จะคอยคุ้มครองแคว้นฉิน จะไม่มีวันกลายเป็นเครื่องมือของใคร ข้าจะทำให้ทุกคนรู้ว่าตระกูลมู่อยู่ในฐานะอันใด ถึงตอนนั้น ข้าจะคอยดูว่าใครยังกล้าคิดร้ายกับตระกูลมู่อีก”
ต้องเก่งกาจมากขึ้นและเก่งกาจมากเหนือทุกคน จึงจะสามารถหยุดแผนการอันชั่วร้ายในใจของพวกทะเยอทะยานได้
ในสายตาอันแวววับของมู่ชิงเกอมีความเยือกเย็นปรากฏอยู่
ฉินจิ่นหยางมีจุดประสงค์อันใดนั้น นางไม่สนใจ เพราะว่าเขาจะไม่มีวันได้แตะต้องตระกูลมู่เป็นแน่
หลังจากที่กลับมายังจวนตระกูลมู่ มู่ชิงเกอก็ไม่รีรอ รีบมุ่งไปค่ายทหารชายแดนพร้อมกับมู่ซงในทันที
นางจะรวบรวมกำลังทหารและเตรียมพร้อมจะออกเดินทางไปเผชิญหน้ากับแคว้นถู ณ ที่ราบลั่วรื่อ
ก่อนที่จะออกเดินทาง ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ออกมาส่ง เขาเดินนำมู่ชิงเกอไปในมุมที่เงียบสงบมุมหนึ่งและพูดกับนางว่า “ส่วนฮ่องเต้นั้น ข้าจะคอย ดูแลเอง”
มู่ชิงเกอพูดอย่างเย้ยหยัน “กระหม่อมเคยบอกแล้วว่า ภายในวังหลวงแคว้นฉิน คนที่กระหม่อมไว้ใจมีเพียงท่านผู้เดียว เป็นถึงฮ่องเต้ มีบ้านมีเมืองเป็นของตนเอง แน่นอนว่าต้องมีความโลภ กระหม่อมอนุญาตให้เขาคิดเช่นนี้ แต่ทว่า ต้องไม่ทำให้กระหม่อมต้องเดือดร้อน ไม่เช่นนั้น ท่านคงรู้ว่าผลเสียจะเป็นอย่างไร” พูดจบ นางพลันหยุดคิดครู่หนึ่งและจึงพูดเสริมต่ออีกว่า “ท่านเป็นคนผลักดันให้เขาขึ้นครองราชย์ หากเขากล้าคิดร้ายกับตระกูลมู่ แม้กระทั่งท่านกระหม่อมก็จะไม่เว้น”
ไม่รู้ว่าจะเป็นการเตือนหรือเป็นการข่มขู่ แต่ทว่า หลังจากที่พูดจบ มู่ชิงเกอก็หันหลังและเดินจากไป
ฉินจิ่นเฉินมองนางที่อยู่ในเสื้อเกราะดั่งเปลวเพลิงและขึ้นหลังอาชาเพลิงอย่างสง่างาม เคลื่อนตัวไปหยุดตรงหน้ากองทัพ ยกมือขึ้นออกคำสั่ง พลันออกจากค่าย ทหารและมุ่งไปยังที่ราบลั่วรื่อโดยไม่เหลียวหลัง
แคว้นถู หวังถิง
ลมเย็นที่พัดผ่านนำพาความเยือกเย็นให้เข้ามาเยือน ที่นี่ ไม่ได้เต็มไปด้วยสีเขียวขจีดงเช่นลั่วตู ภูเขาและหุบเขาของที่นี่ต่างก็กลายเป็นพื้นที่รกร้าง
มีเพียงเมืองหลวงแคว้นถูที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขามากมาย ที่ในตอนนี้ทุกบ้านต่างจุดไฟสว่างเจิดจ้า ราวกับดาวบนท้องฟ้า
บนถนนเล็กใหญ่ภายในเมืองหลวง โรงเตี้ยมมากมาย ต่างจุดคบเพลิงและโคมไฟจนสว่างจ้า บรรยากาศคึกคักเต็มไปด้วยผู้คน ทำให้หวังถิงกลายเป็นเมืองที่ไม่มีวันหลับใหล ชายหญิงที่ไม่ได้รับการสั่งสอนมารยาท ามากนัก ต่างก็ร้องเล่นเต้นไปตามใจอยาก
กิจกรรมยามคํ่าคืนที่หลากหลายเช่นนี้ มู่ชิงเกอเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ราวกับนางได้กลับไปเมื่อชาติที่แล้ว ในโลกที่แยกกลางคืนและกลางวันไม่ออกเช่นเดียวกันนี้
เงาสีดำสายหนึ่ง หลบหลีกจากท่ามกลางคนเมาพวกนั้น และย่างเข้าสู่ประตูที่ปิดแน่นของเรือนหลังหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ภายในเรือน องครักษ์ทั้งห้าร้อยคนยืนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ทุกคนต่างมีผ้าสีดำคลุมกาย ปิดบังรูปร่าง รวมทั้งกลิ่นอายของตนเองเอาไว้ สิ่งที่อยู่ตรงหน้าพวก เขาคือห้องที่มีแสงเทียนจางๆ ส่องสว่างอยู่ บนหน้าต่างฉลุลายสะท้อนเงาร่างอันงดงามที่ราวกับกำลังดื่มและชมพระจันทร์อย่างโดดเดี่ยว
ผู้มาเยือน โดดข้ามกำแพงมาหยุดอยู่หน้าห้องอย่างง่ายดาย พลันคลุกเข่าลงแล้วกำหมัดแนบกับพื้น พร้อมพูดด้วยนํ้าเสียงอันเคร่งขรึมว่า “คุณชาย ข้าน้อยกลับมา แล้ว”
“เข้ามา” เลียงอันแนบนิ่งที่ฉายแววความเย็นเยียบและในขณะเดียวกันก็แฝงความผ่อนคลายดังขึ้น
ประตูห้องถูกเปิดออก องครักษ์เขี้ยวมังกรที่คุกเข่าอยู่เงยหน้าขึ้นมอง พลันลุกขึ้นยืนและเดินเข้าเรือนไปพร้อมกับประตูที่ถูกปิดลง โดยที่องครักษ์เขี้ยวมังกรที่เหลืออยู่นอกประตูต่างสงบและนิ่งดั่งรูปปั้นไม่ได้รับผลกระทบอันใดเลยแม้แต่น้อย
ภายใน มีการตกแต่งอย่างเรียบง่าย ไม่ได้ต่างไปจากบ้านเรือนของประชาชนทั่วไป
ภายในห้องมีคนอยู่สองคน สวมชุดสีแดงหนึ่งคน สวมผ้าคลุมสีดำอีกหนึ่งคน คนหนึ่งนั่ง ส่วนอีกคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ แสงเทียนส่องสว่างลงบนใบหน้าของมู่ชิงเกอ ทำให้เกิดเป็นแสงสีส้มแดง ทำให้ดูคลุมเครือ ราวกับภาพในจินตนาการ
ความลงตัวและงดงามบนใบหน้า เกินกว่าที่จะสามารถบรรยายออกมาได้ด้วยตัวอักษร
แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่พบกัน แต่ทว่าองครักษ์เขี้ยวมังกรที่เข้ามาต่างก็ตกตะลึงเพราะใบหน้าอันน่าเย้ายวนชวนหลงใหลที่อยู่ตรงหน้า
โชคดีที่ เพียงเสี้ยววินาที พวกเขาก็เก็บอาการและรักษาความนิ่งสงบ นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้ามู่ชิงเกอที่กำลังหมุนแก้วสุราในมือ
“คุณชาย”
“อืม” มู่ชิงเกอส่งเสียง ดื่มสุราสีแดงก่ำที่กำลังเดือดอยู่ในแก้วจนหมดในคราเดียว ความรู้สึกอันเผ็ดร้อนนั่น แผดเผาลำคอของนางในทันที ใบหน้าอันขาวเปล่ง ประกายของนางพลันปรากฏสีแดงชมพูระเรื่อ ทำให้ท่ามกลางความสุขุมกลับมีความน่าดึงดูดเพิ่มขึ้นมา
‘เวร! สุราแคว้นถูรสชาติห่วยมาก!’
มู่ชิงเกอแอบกัดฟันและอยากจะคายออก คิดผิดที่ดื่มสุราในแก้วนั้นลงไป
นางกำลังให้ความสนใจกับแก้วสุราอันว่างเปล่าในมือ จนไม่ทันได้สังเกตว่า มั่วหยางที่ถือขวดสุราและยืนอยู่ข้างหลังกำลังหยุดสายตาบนใบหน้าสีแดงชมพูของนางด้วยสายตาที่ฉายแววคลุมเครือ
ทิ้งแก้วสุราลงบนโต๊ะอย่างรังเกียจ เสียงแก้วที่ตกกระทบบนโต๊ะทำให้มั่วหยางที่อยู่ข้างหลังได้สติ เขารีบเก็บอาการที่ได้แสดงออกมาทางสายตา เม้มปากและวางขวดสุราลง พลันยื่นนํ้าชาเพื่อให้มู่ชิงเกอล้างปาก
มู่ชิงเกอยื่นมือออกไปรับ หลังจากดื่มคำหนึ่งแล้ว จึงพูดกับองครักษ์เขี้ยวมังกรว่า “ลุกขึ้นเถอะ เจ้าได้ข่าวว่า อย่างไรบ้าง”
“รับทราบ” องครักษ์เขี้ยวมังกรลุกขึ้นยืน บอกความเคลื่อนไหวทั้งหมดที่แกะรอยมาได้