ตอนที่ 176
สงครามภายใต้แผนการชั่วร้าย
ลู่เจี้ยจากไปในยามที่ฟ้ายังมืดอยู่ นอกจากลู่ซิ่งเฉาแล้วก็ไม่มีใครรับรู้ถึงการมาของเขา แม้กระทั่งลู่ซิ่งเฉายังไม่รู้ว่าบุตรชายคนโตที่เขาภาคภูมิใจนี้ระหว่างที่เดินจากไปแอบย่อง เข้าค่ายที่พักของกลุ่มเทียนเจียวสังเกตการณ์ หยุดอยู่ตรงค่ายหลังหนึ่ง
ความมืดซ่อนเงาร่างเขาไว้อย่างดีจนคนที่นั่งสมาธิฝึกฝนอยู่ก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามา
“เด็กโง่ ไม่ให้เจ้ามา เจ้ายังดื้อด้านที่จะมา ครั้งนี้คงจะเหนื่อยเพราะเสี่ยวเสวียนล่ะสิ” ใน เงามืดมีเสียงพึมพำเบาๆ
เขาจ้องมองเงาร่างที่อยู่ในห้องความรู้สึกที่ไร้หนทางไม่เคยปรากฏกับตัวเขามาก่อน เปิดเผยออกมาในที่ที่ไม่มีใครพบเห็น “หลีเอ๋อร์ครั้งนี้ข้าสามารถปกป้องทุกคนที่ข้า ห่วงใย แต่ท่านพ่อตัดสินใจเสียสละชีวิต ข้าควรทำอย่างไรดี ข้ารู้สิ่งที่ท่านพูดนั้นเป็น เรื่องจริง ชีวิตของเขาสามารถช่วยให้ตระกูลลู่สยบความวุ่นวายในแฝนดินได้ แต่ข้าจะ แข็งใจได้อย่างไรกันและยังมีท่านแม่อีก..? หากท่านพ่อเสียไป ท่านแม่จะมีชีวิตอยู่ต่อ ไม่ได้แน่ ท่านพ่อรู้ ข้าก็รู้ หรือเพื่อแผ่นดินของตระกูลลู่ ข้าต้องสูญเสียพ่อแม่อย่างงั้น หรือ เจ้าเคยพูดว่าเจ้าเคยเป็นจักรพรรดินีมาก่อน หากเจ้าเผชิญหน้ากับเรื่องเหล่านี้ เจ้าจะทำอย่างไร”
คำพูดนี้แน่นอนว่าไม่มีใครตอบ
ในที่สุดลู่เจี้ยก็จากไปอย่างเงียบๆ อันที่จริง หลังจากลู่ซิ่งเฉาตัดใจแน่วแน่ ในใจเขาก็มี คำตอบแล้ว
ลู่เจี้ย คนไร้หัวจิตหัวใจ แต่ภายใต้ความเย็นชานี้กลับซ่อนความอ่อนโยนไว้ มีเพียงคนที่ สนิทใกล้ชิดเท่านั่นถึงจะเห็น บนโลกนี้ไม่มีผู้ใดไร้จิตใจ เพื่อตระกูลลู่ข้าต้องเสียสละอายุขัย เพื่อตระกลลู่ท่านพ่อเสียสละชีวิต แค่เป็นเส้นทางแตกต่างกันแต่มีเป้าหมายอันเดียวกัน ลู่เจี้ยที้เดินออกมาจากค่ายทหาร…
หากตัดความตายออกไปในโลกนี้ยังมีอะไรน่ากลัวอีกหรือ …
สงครามภายใต้แผนการชั่วร้ายยังคงดำเนินต่อ
เหล่าเทียนเจียวทั้งหลายยังคงไปเฝ้าสังเกตที่สนามรบทุกวัน คงคิดไม่ถึงว่าตนเป็นเพียง หมากเล็กๆ ที่ราชวงศ์ไว้สู้กับตระกูลลู่
หลายวันมานี้ลู่ซิ่งเฉายินยอมให้เหล่าเทียนเจียวชมการต่อสู้ได้ แต่ยังไม่อนุญาตให้ใคร ลงสนาม สถานการณ์แบบนี้ทำให้ผู้นำนั้นร้อนใจ
ขณะเดียวกันกองทัพขนาดเล็กได้เดินทางมาถึงเป่ยฝาง
“เร็วสิ! เร็วอีก!” หน้าต่างบนรถม้าถูกเปิดออก ใบหน้างดงามมีเสน่ห์ของโจวยวนโผล่ ออกมา
นางเร่งกองทัพให้เดินเร็วขึ้นอีก แววตามีความเร่งรีบ
ทันใดนั้นได้มีมือยื่นออกมาจากหน้าต่างดึงหัวนางเข้ามา “ยวนเอ๋อร์ พวกเขาเดินทาง ติดต่อมาหลายวันแล้ว”
โจวยวนหันสายตามองนาง “พี่ชิงเหยียน ข้ารีบร้อนน่ะสิ! อาเสวียนก็มาเป็นเวลาสิบกว่า วันแล้ว ดาบสนามรบหามีตาไม่ เขายิ่งบ้าบิ่นอยู่ ข้ากลัวเขาจะได้รับบาดเจ็บ”
“มีท่านลู่อ๋องคอยดูแลอยู่ ลู่เสวียนไม่เกิดเรื่องหรอก” มู่ชิงเหยียนที่ใส่เสื้อสีเรียบพูด ปลอบ
โจวยวนพยายามระงับความกังวลในแววตาพลันพยักหน้า “ครั้งนี้ขอบคุณเจ้ามากที่ยอม แอบมากับข้า”
“ไม่ต้องเกรงใจข้าหรอก” มู่ชิงเหยียนตอบด้วยความรู้สึกผิด อันที่จริงแล้วที่นางตกลง ‘พฤติกรรมเอาแต่ใ’, ของโจวยวนก็มีเรื่องส่วนตัวด้วย เพราะนางก็เป็นห่วงจิ่งเยี่ยที่อยู่ใน กลุ่มสังเกตการณ์เหมือนกัน
เป้าหมายของกลุ่มเทียนเจียวสังเกตการณ์ครั้งนี้ ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก นางรู้สึกไม่ไว้ใจเลยอดตามมาไม่ได้ พอดีกับที่โจวยวนก็จะมาด้วย
เพียงแต่ว่าบางเรื่องนางไม่สะดวกพูดให้โจวยวนฟัง ไม่ใช่ว่าไม่ไว้วางใจแต่เป็นเพราะนิสัยของโจวยวน
“พี่ชิงเหยียนเมื่อเราถึงเป่ยฝางควรทำอย่างไรดี พวกเราเข้าค่ายทหารพลการโดยไม่มี สาส์น ต้องโดนไล่ออกมาแน่เลยเจ้าค่ะ” โจวยวนกล่าวอย่างกังวลใจ
แม้นางจะเป็นคนที่เอาแต่ใจแต่ก็รู้กฎของค่ายทหารดี
มู่ชิงเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อยครุ่นคิดอยู่ครู่เดียวกล่าวว่า “เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้วเราไม่มี ทางเลือกที่ดีกว่านี้นี่”
ถึงเป่ยฝางพวกนางคงต้องซ่อนตัวอยู่เบื้องหลัง ให้คนคอยเฝ้าสังเกตการณ์ต่อสู้แล้วมารายงาน
ถ้าสถานการณ์อันตรายผ่านไปได้นั้นยิ่งดี แต่หากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นก็หวังว่าพวกนางจะ สามารถช่วยอะไรได้บ้าง
“ได้ ข้าเชื่อฟังเจ้า” โจวยวนพยักหน้า
…………………………….
ไฟสงครามของเป่ยฝางได้แพร่ไปถึงทั่วทั้งเขตชายแดนทางตอนเหนือ
สงครามที่เกิดจากแผนชั่วร้ายประหนึ่งสู้รบกันอย่างจริงจัง
ตลอดสามวันที่ผ่านมาทหารม้าต้าฉินพยายามยั่วยุโฮ่วจิ้นเพื่อให้พวกเขาออกทัพ
แต่ลู่ซิ่งเฉากลับผิดจากปกติ ปิดประตูไม่ออกไปไหน ไม่ได้รับผลกระทบจากคำยั่วยุ
วันนี้ผู้นำของกลุ่มสังเกตการณ์เทียนเจียวรีบร้อนจนอดใจรอไม่ไหวเข้าไปพบลู่ซิ่งเฉา “หลายวันมานี้ ต้าฉินตะโกนนอกเมืองมาทั้งวันทั้งคืน คำสกปรกนั่นไม่น่าเข้าหูเลย ท่าน แม่ทัพจะทนเช่นนี้ต่อไปอย่างนั้นหรือ”
ลู่ซิ่งเฉาที่นั่งบนเก้าอี้ตำแหน่งแม่ทัพ ไม่เงยหน้ามองเลยแม้แต่น้อย “การเดินทัพต่อสู้ ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรมากังวลใจ เจ้าดูแลกลุ่มเทียนเจียวให้ดีก็พอ”
“…” ผู้นำกลุ่มสะอึกกับคำพูดนี้ อยากจะพูดต่อแต่ดูท่าทางลู่ซิ่งเฉาไม่อยากจะพูดถึงเรื่อง นี้สักเท่าไหร่ เขาทำอะไรไม่ได้จึงสะบัดแขนเสื้อ เดินจากไปอย่างโมโห ระหว่างหันหลังจากไป ในใจยังไม่ลืมเยาะเย้ยท่าทางหยิ่งผยองของลู่ซิ่งเฉา หึ ก็แค่คนใกล้ตายคนนึงเท่านั้น!
หลังเขาเดินจากไป ลู่ซิ่งเฉาเงยหน้า แววตาที่ยากจะอธิบายกวาดมองแผ่นหลังเขาแล้ว ก้มหน้าไม่พูดอะไร
ผู้นำกลุ่มที่เดินออกจากค่ายแม่ทัพยังไม่ตัดใจ จึงแอบนัดพบกับพรรคพวก
“เป็นอย่างไรบ้าง”
หนึ่งในนั้นถามขึ้นมา
ผู้นำกลุ่มส่ายหัว “ลู่ซิ่งเฉายากจะรับมือนัก”
“แล้วพวกเราจะทำอย่างไรต่อดี จะเสียเวลาอยู่อย่างนี้หรือ นายท่านส่งจดหมายลับมา หลายรอบแล้ว เร่งถามแต่เรื่องดำเนินไปถึงไหนแล้ว”
ผู้นำกลุ่มขมวดคิ้วเงียบไปสักพัก กัดฟันพูดต่อว่า “ส่งข่าวให้ต้าฉินเลย ให้พวกเขา เตรียมพร้อมไว้ หลังจากนี้สามวัน พวกข้าจะยั่วยุให้เทียนเจียวออกรบ ช่วงนี้พวกเจ้าก็ คอยยุยงพวกเขาอย่างลับๆ ให้พวกเขาทำตามแผนการของพวกเรา”
พูดเสร็จเขากำหมัดแน่น
จากนั้น เขาหยิบผ้าไหมออกมาผืนหนึ่ง คลี่ออกมาบนนั้นมีชื่อที่เขียนด้วยสีชาด “จำไว้ คนพวกนี้คือคนที่นายท่านชี้สั่งไว้เป็นพยาน บาดเจ็บได้แต่ห้ามตาย”
พวกเขามองหน้ากันพยักหน้าอย่างเงียบๆ
………………………………
สามวันที่ผ่านมาในกลุ่มผู้สังเกตการณ์เทียนเจียวที่ไม่มีอะไรทำเริ่มแสดงความคิดเห็น คำพูดเหล่านั้นลอยเข้าหูเจียงหลีและลู่เสวียน
“มันมากเกินไปแล้ว ท่านพ่อข้าไม่ใช่คนขี้ขลาดกลัวตายเลียหน่อย” ลู่เสวียนกำหมัดทุบ ใส่โต๊ะในห้องเจียงหลี สะเทือนจนแก้วชายังสั่นมีน้ำกระเซ็นออกมาหลายหยด
เจียงหลีกรอกตาไปมาพูดเสียงเบาว่า “ข้าว่าต้องมีคนอยู่เบื้องหลังแน่”
“ดูก็รู้ว่ามีคนจงใจสร้างเรื่องเพื่อทำให้พ่อข้าเลื่อมเสียชื่อเสียงชัดๆ!” ลู่เสวียนกล่าวอย่าง โมโห
เจียงหลียักคิ้ว “แค่พูดใส่ร้ายมันง่ายขนาดนี้เชียวหรือ”
ลู่เสวียนฟังออกว่าคำพูดนี้ยังมีดวามหมายอื่นแฝงอยู่จึงรีบขยับเข้ามาถาม “ยังมีเรื่องซับซ้อนอยู่อีกหรือ”
เจียงหลีมองเด็กหนุ่มอย่างเอือมระอา แม้แต่นางเองยังได้กลิ่นตุๆ จากสงครามครั้งนี้ ทำไมเขาถึงรู้สึกตัวช้าขนาดนี้