Skip to content

ราชินีพลิกสวรรค์ 314

ตอนที่ 314 ทิ้งไว้เพียงภาพๆ หนึ่ง

ผู้ชนะคือกษัตริย์ ผู้แพ้คือกบฏ

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับจุดจบเช่นนี้ คนตระกูลหรงย่อมไม่พอใจแต่ก็มิอาจอะไรได้ ตอนนี้พวกเขาต้อง รอคำตัดสินขั้นสุดท้าย แม้ในใจของพวกเขาจะมีความคาดหวังเล็กๆ หวังว่าจักรพรรดินีวัยเยาว์ผู้นี้จะมี พระมหากรุณาธิคุณปล่อยหญิงชราและเด็กไร้ทางสู้อย่างพวกเขา

อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่รู้เลยว่า ผู้ที่กุมชะตาชีวิตของพวกเขาอย่างแท้จริงนั้นคือคุณชายจิ่งที่พวกเขา เคารพรักต่างหาก!

จดหมายตอบกลับของหรงจิ่งได้ส่งกลับไปยังวังหลวงและมอบให้กับเจียงหลีแล้ว

เจียงหลีเปิดจดหมายที่เปื้อนเลือดนั้นที่ทิ่มแทงดวงตานางอย่างรุนแรง หรงจิ่งตอบตามตรงในจดหมาย ของนาง เขาวงคำว่า ‘ฆ่า’ และเขียนไว้ด้านข้างว่า ‘ถอนรากถอนโคน’

“…” เจียงหลีค่อยๆ ขยำจดหมายในมือและบีบมันให้แน่น นางให้หรงจิ่งเลือก แต่ความจริงแล้วนาง อยากจะให้โอกาสเขา

นางอยากที่จะอนุญาตให้เขาพาคนที่รักแล้วหายจากอาณาจักรจยาเซียนไปตลอดกาล แต่ชายที่สงบนิ่งผู้นี้กลับเลือกอีกเส้นทางหนึ่งที่ไม่มีวันหวนกลับ

ทำไมเจียงหลีจะไม่รู้ว่าตระกูลหรงนี้จะต้องสังหารและต้องถอนรากถอนโคน เพื่อเป็นการเตือนให้ใต้ หล้าได้รู้ ทำให้สะเทือนถึงภูติผี หากว่านางมีจิตใจอ่อนโยนในตอนนี้ บางทีในอนาคตอาจจะมีเรื่อง คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นอีกมากกว่านี้ก็เป็นได้

ภายใต้ราชบัลลังก์มีแต่ซากกระดูก

จักรพรรดิ ไม่ได้เป็นกันได้ง่ายๆ!

เห็นได้ชัดว่าหรงจิ่งก็เข้าใจถึงจุดนี้แล้ว ดังนั้นจึงตัดสินใจช่วยนางให้ลงมือฆ่าในครั้งนี้

“หรงจิ่งนะหรงจิ่ง ข้าจะพูดอย่างไรกับเจ้าดี” เจียงหลีพึมพำด้วยสีหน้าซ้บซ้อน นางนึกไม่ออกด้วยซ้ำ ว่าเขาจะตัดสินใจครั้งใหญ่อย่างไร ถึงได้แขวนดาบสังหารไว้บนศีรษะของคนในตระกูลตนเองได้

“บางที…คนในตระกูลเช่นนี้ทำให้คุณชายจิ่งผิดหวังกระมัง” อวี้ซูที่ยืนอยู่ข้างๆ เจียงหลีมาตลอด นาง จึงเห็นเนื้อหาในจดหมายด้วย

คนฉลาดเฉลียวอย่างนาง เมื่อเห็นสีหน้าซับซ้อนของเจียงหลี นางจึงกล่าวประโยคนี้ออกมาในทันที

แววตาของเจียงหลีแข็งทื่อ อารมณ์ซับซ้อนสลายหายไป กลับคืนสู่ความชัดเจน นางเริ่มดูคดีและออก คำสั่ง “ถ่ายทอดราชโองการ ตระกูลหรงได้คิดการก่อกบฏ ตัดสินประหารชีวิตทั้งตระกูลและยึด ทรัพย์สินทั้งหมด”

ตัดสินประหารชีวิตทั้งตระกูลและยึดทรัพย์สินทั้งหมด!

เมื่อเจียงหลีมีราชโองการออกไป ทหารที่ล้อมจวนตระกูลหรงไว้แล้วจึงเริ่มขั้นตอนในการเข้ายึดกุม ผู้คน ที่ติดอยู่ในจวนตระกูลหรง พวกเขาต่างถูกพาตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหาร เพื่อนำตัวประหาร พร้อมกับหรงเทียนเผิงและพวกพ้อง

แต่ทว่า เมื่อคนที่ทำการยึดบุกเข้าไปในเรือนที่หรงจิ่งพำนักอยู่ กลับพบว่าเจ้านายและบ่าวรับใช้ที่ควร อยู่ในเรือนได้หายไปแล้ว

หลังจากตรวจสอบรอบหนึ่ง ก็ไม่พบร่องรอยของหรงจิ่งและอาเฉวียน

ภายใต้การล้อมจวนเอาไว้กลับมีคนหาย! ความผิดพลาดเช่นนี้ ทำให้สันหลังของแม่ทัพที่ ตรวจสอบมีเหงื่อเย็นๆ ไหลออกมา และรีบตามเซียวเซียวมา

“ใต้เท้า พวกเราเฝ้าอย่างเข้มงวด แต่ข้าไม่รู้ว่าคุณชายจิ่งหนีไปได้อย่างไรขอรับ”

หลังติดตามเซียวเซียวเข้าไปในเรือนของหรงจิ่ง แม่ทัพผู้นั้นก็พยายามอธิบายอย่างสุดชีวิต

เซียวเซียวยกมือขึ้นหยุดเสียงพึมพำของเขา สายตากวาดมองไปรอบๆ เรือน ในที่สุดก็หยุดลงที่โต๊ะ ด้านบนมีภาพวาดวางไว้อยู่หนึ่งรูป

เขาเดินเข้าไปและเห็นคนที่อยู่ในภาพวาด ม่านตาของเขาหดลงเล็กน้อยและม้วนเก็บภาพอย่างเงียบๆ แล้วถือไว้ในมือของเขา

“เจ้าไปธุระของเจ้าต่อเถอะ” เซียวเซียวหันหลังและกำชับแม่ทัพแล้วนำภาพวาดออกไป

เมื่อเขาจากไป แม่ทัพสังเกตเห็นม้วนภาพในมือของเขาและเกิดความสงสัย รอจนกระทั่งเซียวเซียวจาก ไป เขาถึงได้ถามผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ข้างกาย “บนภาพวาดนั้นคือรูปอะไรหรือ”

น่าเสียดายที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขากลับส่ายหน้า “ข้าน้อยไม่ได้สังเกตเห็นขอรับ”

ณ เมืองหลวงซั่งตู ได้เกิดวิกฤตการณ์ขึ้นอีกครั้ง

รถม้าที่ไม่ค่อยเป็นจุดสนใจจนไม่มีใครสังเกตเห็นกลับห้อตะบึงออกจากประตูเมืองอย่างเงียบเชียบ และ มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ

อาเฉวียนที่กำลังบังคับรถม้า ได้เอ่ยถามคนในรถ “คุณชาย เราจะไปไหนกันรึขอรับ”

“เป่ยโหรว” ภายในรถม้ามีเสียงหรงจิ่งดังขึ้นมา

“ไปเป่ยโหรวหรือขอรับ” อาเฉวียนประหลาดใจเล็กน้อย ตอนที่พวกเขาจากไป ภายในเมืองก็เกิด ความตื่นตระหนก ทุกคนในตระกูลหรงล้วนถูกพาตัวไปที่ลานประหาร

ตอนแรกเขาคิดว่าคุณชายจะพาเขาไปช่วยคนแต่คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะออกจากเมืองและกำลังจะไป เป่ยโหรว

“คุณชาย พวกเราไปที่เป่ยโหรวแล้วจะแก้แค้นได้อย่างไรขอรับ” อาเฉวียนอดถามไม่ได้

“แก้แค้นหรือ” หรงจิ่งกลับหัวเราะออกมาอย่างขบขัน “อาเฉวียน หากตระกูลหรงต้องการจะล้มบัลลังก์ ก็ต้องมีความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความล้มเหลว แพ้ก็คือแพ้ ต้องชดใช้ชีวิตด้วยชีวิตคนในตระกูลก็ นับว่าเป็นผลของการกระทำแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นคุณชาย…เราจะไปทำอะไรที่เป่ยโหรวขอรับ” อาเฉวียนมีสีหนำ^นงง

แต่หรงจิ่งกลับให้คำตอบที่เหมือนใช่แต่ทว่าไม่ใช่ “ทำในสิ่งที่ข้าควรทำ ในเมื่อแพ้ให้กับลู่เจี้ย ข้าย่อม ต้องรักษาสัญญาอย่างแน่นอน”

คุณชายแพ้นายน้อยลู่แล้วอย่างนั้นหรือ

สัญญาหรือ

อาเฉวียนได้ฟังแล้วก็ไม่ใคร่เข้าใจนักจึงได้แต่กุมบังเหียนไปเงียบๆ พาคุณชายของตัวเองไปเป่ยโหรว ภายในวังหลวง เซียวเซียวยืนสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้าเจียงหลี

ในมือของเจียงหลีเป็นภาพที่นำออกมาจากห้องของหรงจิ่ง หญิงสาวที่อยู่ในภาพวาดนั้นก็คือนาง

เจียงหลีค่อยๆ ม้วนภาพวางลงบนโต๊ะ แล้วพูดกับเซียวเซียวว่า “เจ้าออกไปเถอะ ไม่จำเป็นต้องส่งคน ไปตามหรงจิ่งหรอก”

“พะย่ะค่ะ” เซียวเซียวตอบรับ แล้วถอยออกไปด้านนอก

ในตำหนักจักรพรรดิเหลือเพียงเจียงหลีผู้เดียว ในตำหนักอันกว้างใหญ่แห่งนี้งดงาม แต่ทว่ากลับดูว่าง เปล่าไปทุกแห่ง

ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน เป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์นั้นร้อนแรงที่สุด

คนของตระกูลหรงรวมทั้งหรงเทียนเผิงถูกพาตัวไปที่ลานประหารชีวิต ที่แห่งนั้นเป็นสถานที่นองเลือด อันแสนน่ากลัวพิลึก

อาจมีบางคนจะเกลียดนาง อาจมีบางคนจะกลัวนาง อาจมีบางคนที่เคารพบูชานาง และบางคนก็ อาจจะไว้วางใจนาง

เจียงหลีพรูลมหายใจออกมาเล็กน้อยและพ่นความหดหู่ออกมา หากไม่มีหรงจิ่งผู้นี้ นางคงจะจัดการกับตระกูลหรงได้โดยปราศจากความกังวลใดๆ

แต่ผู้ชายเช่นนี้ กลับทำให้คนต้องชื่นชมและต้องถอนหายใจ

“ช่างน่าเสียดาย” นางพึมพำ

เสียดายอะไร ไม่มีใครรู้

“เจ้ากำลังคิดถึงหรงจิ่ง” ทันใดนั้นเสียงเอ่ยถามก็ดังมาจากด้านหลังของนาง

เจียงหลีหันกลับไปมองร่างสูงใหญ่ที่จู่ๆ ก็ปรากฏออกมา แต่กลับไม่มีความสนใจที่จะหยอกล้อเหมือน ก่อนหน้านี้อีกต่อไป นางเดินผ่านเขาโดยไม่พูด

ความผิดปกติของนาง ทำให้จักรพรรดิขมวดคิ้วอย่างไม่ชิน บรรยากาศเหมือนถูกเมินเฉยและถูก ทอดทิ้งเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ ทำให้เขาหงุดหงิดเล็กน้อย

จักรพรรดิหันกลับตัว แล้วมองไปที่เจียงหลี

ทว่านางกลับไม่แลตามองเขาแม้แต่นิดเดียวเพียงแค่เดินไปยังตำหนักด้านใน

เขาไม่เข้าใจ ตระกูลหรงถูกจัดการแล้วมิใช่หรือ นางควรจะยินดีที่แก้ปัญหาได้อย่างราบรื่น แต่ทำไม ถึงดูเศร้าสร้อยเช่นนี้ล่ะ

เป็นเพราะหรงจิ่งผู้นั้นหรือ

ในหัวของจักรพรรดิปรากฏท่าทางของคุณชายผู้ดีที่ดูสงบนิ่ง คิ้วของเขาขมวดแน่นขึ้น

“ลู่เจี้ย”

ทันใดนั้นเสียงของเจียงหลีก็ดังออกมาจากตำหนักด้านใน

……….

จักรพรรดิเงยหน้าขึ้นและเดินไปยังตำหนักด้านในโดยไม่คิดชีวิต

เมื่อเข้าไปในตำหนักด้านใน เงาดำก็พุ่งตรงมาที่เขา เขายกมือขึ้นรับ สิ่งนั้นเป็นไหสุรานั่นเอง

“ดื่มเป็นเพื่อนข้าที” เจียงหลีที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก ยกจอกสุราในมือใส่ให้แก่เขา

จักรพรรดิลู่เจี้ยเลิกคิ้ว ไม่มีใครเคยให้เขาดื่มนํ้าเมาเป็นเพื่อนตามอำเภอใจเช่นนี้มาก่อน หญิงสาวคนนี้ ช่างกล้าหาญและอวดดีจริงๆ

“เฮ้ออ! ถ้าไม่อยากอยู่ที่นี่ เราเปลี่ยนที่กันเถอะ” เจียงหลีขมวดคิ้วและพูดอย่างหงุดหงิด

เห็นนางเป็นเช่นนี้ ชายหนุ่มจึงถามเสียงต่ำว่า “เจ้าต้องการจะไปที่ไหน”

เจียงหลีขยับเข้ามาใกล้เขา แล้วถามอย่างหยั่งเชิง “ยังจำภูเขาฝูถูได้หรือไม่”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version