Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 1132

บทที่ 1132 อาศัยว่าใครโหดเหี้ยมที่สุด

“ข้าจะบอกเจ้าไว้ ร่างกายนี้ถึงแม้จะไม่ใช่ร่างเดิมของเด็กคนนี้ แต่หลงฟั่นวางอุบายไว้บนร่างกายนี้แล้ว ความจริงร่างก็เป็นภาชนะ

เก็บวิญญาณชิ้นหนึ่ง เมื่อนางเข้าร่างได้สำเร็จอยากหลุดพ้นออกไปก็ยากแล้ว หากไม่มีเคล็ดพิเศษ นางก็ไม่มีทางหนีออกจากร่างนี้ไปได้ ดังนั้นเจ้าอย่าได้มีความคิดจะสังหารนางตอนนี้เพื่อเอาดวงวิญญาณนางกลับคืนสังขารเดิมเลย เป็นไปไม่ได้ หากนางตายในตอนนี้ ดวงวิญญาณของนางจะบาดเจ็บสาหัส ไม่เพียงแต่กลับเข้าร่างเดิมไม่ได้ อีกทั้งยังกลายเป็นดวงวิญญาณเร่ร่อนเนื่องจากไม่มีทางสิงสู่เข้าร่างได้ ในที่สุดก็จะกระจัดกระจายไปตามสายลม”

โม่เจ้าแทบจะปิดกั้นเส้นทางหลบหนีทั้งหมดของตี้ฝูอี เว้นเสียแต่ว่าเขาจะไม่สนใจความเป็นความตายของกู้ซีจิ่วจริงๆ…

ทุกคนต่างนิ่งเงียบ มองตี้ฝูอี อยากดูว่าเขาจะเลือกทำอย่างไร

ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายท่านนี้อยู่บนโลกนี้มาหลายปีนัก ตลอดมาสง่างามและทำสิ่งใดตามอำเภอใจ ไม่ไว้หน้าผู้ใด และไม่เคยถูกข่มขู่มาก่อน เคยมีคนจับลูกน้องที่เก่งกาจข้างกายเขาไปคนหนึ่งเพื่อข่มขู่ให้เขาทำบางสิ่ง ผลลัพธ์คือทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายท่านนี้สังหารลูกน้องตัวเองกับมือ จากนั้นจึงทำให้คนที่ข่มขู่ทุกข์ทรมานจนร้องขอความตาย หลังจากที่สังหารฝ่ายตรงข้ามยังนำดวงวิญญาณมาทรมาน ทำให้ดวงวิญญาณนั้นร้องครวญครางอยู่หลายวันติดต่อกัน ก่อนจะถูกเขาจัดการอย่างสิ้นซาก

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็ไม่มีใครหาญกล้าเอาคนของเขามาข่มขู่ให้เขาทำบางสิ่งอีกเลย

ครั้งนี้เล่า?

เขาจะทำอย่างไร?

ชั่วเวลาก่อนจะได้รับชัยชนะมา เขาจะทำอย่างไร จะถูกโม่เจ้าข่มขวัญหรือไม่?

ตี้ฝูอีสวมหน้ากากอยู่บนใบหน้า ไม่มีใครดูออกว่าเขาแสดงสีหน้าอย่างไร เขาหลุบตาลงครู่หนึ่ง ไม่นึกว่าจะหัวเราะ ก่อนพูดอย่างใจเย็น “เอาเถิด โม่เจ้า เจ้าชนะแล้ว ข้าถูกเจ้าข่มขู่แล้วเจ้าจะเอาอย่างไร?”

เสียงของเขาเสนาะหูราวกับลมยามวสันต์ สงบเยือกเย็น แต่กลับทำให้ทุกคนตรงนั้นตะลึงงันกันหมด

ถึงแม้กู่ฉานโม่จะรักใคร่เอ็นดูกู้ซีจิ่ว และไม่อยากให้นางต้องเจ็บปวดทนทุกข์ แต่เมื่อเผชิญกับปัญหาเรื่องความถูกต้องไม่ถูกต้องเช่นนี้ เขาไม่เห็นด้วยกับการกระทำของตี้ฝูอี จึงอดไม่ได้ที่จะส่งกระแสเสียงไปหา ‘ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย หากท่านยอมรับคำข่มขู่นี้ เกรงว่าเขาจะไม่รู้ จักพอ! ไม่เพียงแต่จะช่วยชีวิตกู้ซีจิ่วไว้ไม่ได้ ซ้ำยังเป็นการปล่อยเสือเข้าถํ้า คราวนี้ไม่ง่ายเลยกว่าพวกเราจะต้อนเขาจนมุมได้ขนาดนี้…หากปล่อยไป วันหน้า จะต้องกลับมาเอาคืนเป็นแน่ ไม่รู้ว่าจะฆ่าล้างสังหารอีกกี่ครั้ง คร่าชีวิตคนไปอีกเท่าใด…’

เทียนจี้เยวี่ยก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยอย่างเย็นชา “ตี้ฝูอี เจ้ารับปาก แต่ข้าไม่อาจรับปากได้! สานุศิษย์สวรรค์ผดุงคุณธรรมแทนสวรรค์ ควรเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม!”

ตี้ฝูอีทำเหมือนไม่ได้ยินที่พวกเขาพูด จ้องมองโม่เจ้า “เจ้ามีเงื่อนไขอะไรถึงจะยอมปล่อยนาง?”

โม่เจ้าก็ตกตะลึง จากนั้นยิ้มราวกับยกภูเขาลูกใหญ่ออกจากอก “ตี้ฝูอี ที่แท้เจ้าก็ใส่ใจนางมากถึงเพียงนี้!”

“พูดจาไร้สาระให้มันน้อยหน่อย ต้องการอะไรก็ว่ามาตามตรง!” ตี้ฝูอีตัดบทเขา

โม่เจ้าสูดลมหายใจเข้าหนึ่งที เริ่มสาธยายความต้องการของตน “ข้าต้องการให้พวกเจ้าปล่อยคนของข้า อีกทั้งต้องการให้พวกเจ้าทั้งหมดมาเป็นเชลยของข้า!”

“เหลวไหล! ฝันไปเถอะ!” กู่ฉานโม่ดูถูกเหยียดหยาม

เทียนจี้เยวี่ยกล่าวด้วยนํ้าเสียงเฉยชา “เจ้าฝันเฟื่องไม่ยอมตื่นหรืออย่างไร?”

ตี้ฝูอีหัวเราะเบาๆ “โม่เจ้า เป็นคนไม่ควรละโมบมากเกินไป ต่อให้ข้ายอมรับปาก พวกเขาก็ไม่มีทางรับปาก คนอวบอ้วนที่ปรารถนาจะกินทุกสิ่งในคำเดียวอย่างเจ้า ระวังจะสำลักตายเอาได้!”

นํ้าเสียงของเขาค่อยๆ เย็นเยือกลง “เจ้าน่าจะรู้หากเจ้ากล้าทำร้ายนางแม้เพียงปลายเล็บ ข้าจะทำให้เจ้าต้องชดใช้อย่างสาสม ข้าจะลงโทษเจ้ามากกว่าที่เจ้าลงโทษนางร้อยเท่า ถึงตอนนั้นการที่วิญญาณแตกซ่านจะเป็นจุดจบที่เจ้าคาดหวังมากที่สุด เจ้าจะรํ่าไห้ตะโกนร้องขอความตาย!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version