บทที่ 1152 ในที่สุดเจ้าก็รู้สึกได้เอง?
ทว่าเธอไม่คิดเสียยังดีกว่า เมื่อใดที่คิด อาการปวดหัวที่คุ้นเคยจะกำเริบขึ้นมาอีก กะโหลกศีรษะราวถูกสว่านเจาะทำลาย เธอเอามือกุมหัวย่อตัวลง ทนไม่ไหวร้องไห้ออกมา “ข้าไม่อยากคิด ปวดหัวยิ่งนัก…”
เธอนั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้นสักครู่หนึ่ง ไม่มีผู้ใดไยดีเธอ แม้เธอจะสิ้นหวัง ก็ต้องยืดหยัดลุกขึ้นเดินหน้าต่อไป
คนหลอกลวง!
คนขี้งก!
แค่ไม่ให้เขากินปลาก็ทอดทิ้งเธอไปแล้ว!
……
น่าแปลก ทำไมพอข้าคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาถึงได้ปวดหัว?
ร่างโคลนนิ่งมีอาการแบบนี้ด้วยหรือ?
ข้าสูญเสียความทรงจำอย่างที่ตี้ฝูอีพูดจริงหรือไม่?
พี่โม่หลอกข้าเข้าแล้ว…
คำถามมากมายผุดขึ้นในใจเธอ เธอเหม่อมองหมอกหนาที่กระจายเต็มฟ้า ความจริงหมอกหนารอบด้านเบาบางลงกว่าตอนแรกบ้างแล้ว มองเห็นสิ่งของในจุดที่ไกลสุดลูกหูลูกตาได้เลือนๆ ถึงแม้ของเหล่านั้นเลือนรางยิ่งนัก ทว่าก็เป็นความหวังเล็กๆ ของเธอ
สิ่งเหล่านั้นจะใช่ความทรงจำของเธอหรือไม่?
“ข้าจะต้องฟื้นคืนความทรงจำให้ได้”
เธอตั้งมั่นกับตัวเอง!
เป็นครั้งแรกที่เธอเร่งร้อนเรื่องความทรงจำขนาดนี้…
เธอมุ่งหน้าไปทิศทางนั้นอย่างรวดเร็ว
ระหว่างทาง เธอยังพบเจออุปสรรคต่างๆ มากมาย เช่นปีศาจร้ายที่จู่ๆ ก็กระโจนเข้ามา ทะเลเพลิงที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้น ภูเขาสูงชันที่มีดาบปักอยู่ทั่วทุกหนแห่ง…
เคราะห์ดีที่หลายวันนี้ตี้ฝูอีในฝันสอนวิธีการรับมือกับสิ่งเหล่านี้ให้ เธอจึงนำมาใช้ทันที จึงนับว่าเป็นเหตุการณ์ที่ร้ายแรงแต่ไม่อันตราย
ในขณะที่กำลังมุ่งหน้าไป คนผู้หนึ่งพลันปรากฏกายขึ้นต่อหน้า เธอชะงักฝีเท้า คนผู้นั้นคือหลงฟั่น เขาโผเข้ามาประชิดข้างกายเธอ กระซิบเรียกว่า “ซีจิ่ว…”
กลิ่นศพเหม็นเน่าลอยมาแตะจมูก ตลบคลุ้งจนเธอเกือบจะเป็นลมล้มพับ!
กู้ซีจิ่วทนไม่ไหว ตวัดฝ่ามือออกไป “เหม็นจะตายแล้ว ออกไป!”
เสียง ‘เพียะ’ ดังขึ้น เธอรู้สึกว่าตบเข้าไปเต็มใบหน้าของฝ่ายตรงข้าม ในที่สุดหลงฟั่นก็หายตัวไป
กู้ซีจิ่วตกตะลึง ทว่าโล่งใจ และไม่ได้หยุดยั้งฝีเท้าที่กำลังมุ่งไปด้านหน้า เธอเกือบเห็นภาพเลือนรางของทัศนียภาพตรงหน้าได้ชัดเจนแล้ว เธอไม่อยากให้ผู้ใดเข้ามาขัดขวางฝีเท้าที่มุ่งค้นหาความจริง …
เธอปวดหัวมากขึ้นเรื่อยๆ อดทนขบกัดริมฝีปากไว้แน่น วันนี้เธอจะต้องสืบสาวราวเรื่องให้จงได้!
ให้คนผู้นั้นรู้ว่าต่อให้เขาไม่เล่าเรื่องราวความจริงให้เธอฟัง เธอก็สามารถค้นหาได้ด้วยตัวเอง เฮอะ!
…
ภายในห้องคุมขัง
ตี้ฝูอีถูกโม่เจ้าปลุกให้ตื่น วิธีการที่โม่เจ้าปลุกเขานั้นช่างง่ายดาย ทว่าโหดร้าย เพียงแค่เขย่าตรวนสลายวิญญาณนั่น ต่อให้เป็นคนที่ใกล้ตายก็กลับ มามีชีวิตได้เพราะความเจ็บปวด
ดังนั้นตี้ฝูอีเหงื่อโซมทั่วทั้ง ใบหน้าลืมตาเหลือบมองโม่เจ้าด้วยใบหน้าประหนึ่งพายุจะมาเยือน “เจ้ายังมีเรื่องอันใดอีก?”
เจ้าชั่วนี่เหตุใดจึงกลับมาเร็วเช่นนี้?!
ทำให้เขาต้องทิ้งเด็กคนนั้นไว้ในห้วงแห่งความฝันเพียงลำพัง ดีที่ยังพอมีเวลาเหลือคำพูดทิ้งท้ายไว้ให้นาง…
โม่เจ้าพูดตรงไปตรงมา “เจ้าดูโรคแอบแฝงของข้าออกอย่างนั้นรึ?”
ดวงตาของตี้ฝูอีวาบไหวเล็กน้อย หัวเราะเบาๆ “ในที่สุดเจ้าก็รู้แล้วหรือ?”
โม่เจ้าแอบกัดฟัน “โรคแอบแฝงของข้าคืออะไร? หากเจ้าพูดได้ถูกต้อง ข้าจะปลดตรวนเหล่านี้ให้เจ้าครึ่งหนึ่ง”
ตี้ฝูอีหลุบตาลง ตอกกลับเขาไปสามคำ “ไม่สัตย์จริง!”
โม่เจ้าแทบอยากคว้าตรวนสลายวิญญาณขึ้นมาเขย่าอีกครา พูดอย่างเย็นชาว่า “หากเจ้ามีวิธีรักษา ข้าจะเอาตรวนสลายวิญญาณ
ออกให้เหลือเพียงเส้นเดียว เส้นที่เหลือข้าจะปลดออกให้ทั้งหมด! เจ้าลองพูดมาก่อนว่าข้าเป็นโรคแอบแฝงอะไร?”
ตี้ฝูอีพิจารณาเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า เอ่ยอย่างราบเรียบ “เพื่อแสดงความจริงใจ เจ้าปลดตรวนให้ข้าเส้นหนึ่งก่อนแล้วกัน”
โม่เจ้าชะงักไปสามอึดใจ และตอบรับด้วยความเต็มใจ จากนั้นควานหากุญแจดอกหนึ่งออกมา ปลดตรวนเส้นที่อยู่ระหว่างแขนกับข้อศอกก่อน ทำให้ตี้ฝูอีสามารถยืดแขนข้างนั้นได้เล็กน้อย