Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 12

บทที่ 12

เป็นเพียงเด็กคนหนึ่งจริงๆ หรือ?

หลังจากที่ฝนห่าใหญ่ตกลงมา ร่องรอยทั้งหมดบนพื้นดินล้วนถูกสายฝนทำให้ยุ่งเหยิงเละเทะ เดิมทีแล้วมู่เฟิงและพรรคพวกมีความสามารถในการแกะรอยได้เยี่ยมยอด แต่ขณะนี้จนปัญญาอย่างยิ่ง

พวกเขาขยายขอบเขตการค้นหาให้กว้างขึ้นในที่สุดด้วยความช่วยเหลือจากนกแร้งสวินเฟิงที่ได้กลิ่นเสื้อผ้าของนายท่านจากในคูเมือง ภายหลังจึงนำเสื้อคลุมที่ถูกพันไว้กับหินก้อนใหญ่ขึ้นมาได้…

พวกมู่เหลยทั้งสามคนมองไปยังเสื้อคลุมของนายท่านที่เปียกโชกและยับยู่ยี่ก็รู้สึกหนาวสะท้านจนตัวสั่นเทา!

นายท่านของพวกเขามีนิสัยที่แปลกประหลาดมากอยู่อย่างหนึ่ง ตามปกติแล้วข้าวของที่เป็นของเขาต้องสะอาดหมดจดและเป็นระเบียบ ต่อให้เป็นของที่ไม่ต้องการใช้แล้วก็ต้องนำไปทำลายทิ้งทันที ไม่ยินยอมให้คนอื่นได้สัมผัสโดยเด็ดขาด วันนี้ไม่คิดเลยว่าเสื้อคลุมที่นายท่านมักจะสวมใส่เป็นประจำจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้…

นี่เป็นฝีมือของเด็กโชคร้ายบ้านใดกันนะ? โง่เขลายิ่งนัก! ใจกล้ายิ่งนัก!

ขณะที่ทั้งสามคนกำลังใจลอยอยู่นั้น ด้านหลังพลันมีสายลมเอื่อยๆ พัดผ่าน พร้อมกันนั้นก็มีเสียงกระจ่างใสดุจสายลมในฤดูใบไม้ผลิดังขึ้นมา

“หาตัวเจอแล้วหรือ?”

ทั้งสามคนหันกลับไปทำความเคารพ สีหน้าของมู่เหลยเต็มไปด้วยความละอายใจ “นายท่าน ข้าน้อยไร้ความสามารถ ตามหามาได้เพียงเสื้อคลุมของนายท่าน…”

ผู้ที่ปรากฏกายอย่างไร้สุ้มเสียงอยู่ด้านหลังย่อมเป็นนายท่านของพวกเขา ไม่รอให้มู่เหลยกล่าวจนจบ เขาก็มองเห็นเสื้อคลุมที่เปียกโชกจนเสียรูปทรงของตนแล้ว…

ใบหน้าของเขาสวมหน้ากากปีศาจเอาไว้ทั้งสามคนจึงมองไม่เห็นว่าเขารู้สึกอย่างไร เพียงแต่สัมผัสถึงกลิ่นอายคุกรุ่นรอบกายของเขาได้…

นายท่านไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแค่ยกมือขึ้น เสื้อคลุมชุดนั้นที่พันไว้กับหินก้อนใหญ่ก็ลอยขึ้นมา เขาแบมืออีกครั้ง เสื้อคลุมก็กางออกมาสะอาดหมดจดเรียบลื่นดุจแพรต่วน รอยยับสักรอยก็ไม่มี แต่มีสิ่งที่น่าเสียดายอยู่อย่างหนึ่งคือบริเวณชายเสื้อคลุมมีรอยขาดขนาดใหญ่อยู่…

แร้งสวินเฟิงที่เกาะอยู่บนไหล่ของมู่เหลยโผบินออกมา บินวนรอบเสื้อคลุมนั้นหนึ่งรอบ

มู่เหลยจึงสอบถาม “ได้กลิ่นของคนผู้นั้นรึไม่?”

สวินเฟิง เป็นแร้งสายพันธุ์พิเศษ มันแตกต่างกับแร้งตัวอื่นๆ เพราะมันได้รับการฝึกฝนมา มันสามารถดมกลิ่นได้มากกว่าสุนัขล่าสัตว์ทั่วไปถึงสิบเท่า มันถูกใช้เพื่อตามหาสิ่งของและตามหาผู้คนโดยเฉพาะ

หัวกลมๆ ของแร้งสวินเฟิงส่ายไปมา เสื้อคลุมตัวนี้แช่อยู่ในนํ้าเป็นเวลานาน กลิ่นอายใดๆ ย่อมไม่หลงเหลืออยู่แล้ว

แสงในดวงตานายท่านเลือนหายไป ปลายนิ้วบีบขยี้ผ่านไปในความว่างเปล่า เสื้อคลุมลํ้าค่ายากจะหาสิ่งใดมาเทียบได้ก็พลันสลายกลายเป็นผุยผง สายลมพัดมาคราหนึ่งก็กระจัดกระจายหายไปอย่างไร้ร่องรอย

แววตาของเขาวูบไหวเล็กน้อย นี่ถือเป็นเด็กเช่นใดกันแน่นะ? ด้วยสภาพไม่มีพลังวิญญาณเลยแม้แต่น้อย คาดไม่ถึงว่าจะวิ่งไปตามถนนในภูเขาได้ไกลถึง 30 ลี้ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม!

กระทำการได้รอบคอบถึงเพียงนี้ กระทั่งร่องรอยสักนิดก็ไม่หลงเหลือไว้ นักฆ่าที่มีฝีมือที่สุดของเขาเกรงว่าจะด้อยกว่าอีกฝ่ายเสียด้วยซ้ำ…

‘เป็นเพียงเด็กคนหนึ่งจริงๆ หรือ?’

‘หรืออาจจะเป็นคนแคระ?’

ขณะที่เขากำลังจมอยู่ในภวังค์ความคิด ก็มีเสียงลมดังขึ้น มู่เฟิงที่ไปสืบหาต้นตอของเศษผ้าชิ้นนั้นปรากฏตัวขึ้นแล้วคุกเข่าอยู่เบื้องหน้านายท่าน

“เรียนนายท่าน ข้าน้อยได้สำรวจทั่วภูเขาหนิงอู่แล้ว ในบริเวณนี้ห่างออกไปไม่กี่ 10 ลี้มีคฤหาสน์ลับอยู่หลังหนึ่ง เป็นคฤหาสน์ลับของเล่อฮวาโหวหรงอี้ กลางดึกคืนนี้ เล่อหวาโหวหรงอี้ถูกสังหาร นักรบพลังวิญญาณขั้นสามสองนายและข้ารับใช้อีกสองคนก็ถูกสังหารด้วยเช่นกัน เศษผ้าที่นายท่านมอบให้ข้าน้อยนั้นเป็นชิ้นส่วนจากม่านเตียงของหรงอี้ข้าน้อยตรวจสอบบาดแผลของพวกหรงอี้ดูแล้ว เป็นการสังหารโดยใช้ปิ่นหยกแทงเข้าจุดสำคัญ ฝีมือแม่นยำอย่างยิ่ง พวกหรงอี้ไม่มีโอกาสได้ตอบโต้กลับเลยแม้แต่น้อย…”

“เล่อฮวาโหวหรงอี้? ได้ยินว่าเขามีรากฐานวิญญาณระดับกลาง พลังวิญญาณขั้นสี่ เขาจะถูกเด็กคนหนึ่งสังหารโดยไร้สุ้มเสียงได้อย่างไร?” ดวงตาของมู่เหลยเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ

ฝึกฝนพลังวิญญาณถึงขั้นที่สี่ได้ ก็นับว่าเป็นยอดฝีมือในแผ่นดินนี้โดยปกติแล้วคนหลายสิบคนก็ไม่สามารถเข้าใกล้เขาได้ใครจะไปคิดว่าจะถูกเด็กที่ไร้พลังวิญญาณคนหนึ่งสังหารเอาได้เล่า?

……………………………..

[1] เทพไม่รู้ผีไม่เห็น หมายถึง ปกปิดได้มิดชิดจนไม่มีใครรู้เห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version