บทที่ 13
เรื่องนี้ให้ยุติลงเพียงเท่านี้แล้วกัน
พวกมู่เฟิงทั้งสี่ที่ได้รับภารกิจเกี่ยวกับเด็กคนนั้นต่างพากันประหลาดใจมากขึ้นกว่าเดิม
แววตาของนายท่านวูบไหวเล็กน้อย “พวกเจ้าทั้งสี่คนไปสืบหามาว่าสตรีที่ปรนนิบัติเล่อฮวาโหวในคืนนี้มีผู้ใดบ้าง”
เมื่อวิเคราะห์จากเบาะแสที่มีอยู่แล้ว เด็กที่ขโมยเสื้อผ้าของเขาคนนั้นน่าจะเป็นตัวการที่สังหารหรงอี้ เป็นไปได้ว่าจะเป็นสตรีที่ปรนนิบัติหรงอี้ในคืนนี้…
มู่เฟิงจึงกล่าวต่อ “นายท่าน ข้าน้อยเพิ่งจะตรวจสอบมาอย่างละเอียด เล่อฮวาโหวหรงอี้ผู้นี้ฝึกวิชาแขนงหนึ่งอยู่ เป็นวิชาสูบหยินเสริมหยาง ทุกคืนจะเสพสมกับสตรีสามนาง เพื่อดูดซับเอาพลังหยินจากเด็กสาวเยาว์วัยโดยเฉพาะ หลังจากผ่านการเสพสมแล้วเด็กสาวก็จะเสียชีวิตลง ข้ารับใช้ของเขาจะลอบฉุดคร่าเด็กสาวชาวบ้าน แล้วนำมาให้เขา คืนนี้มีเด็กสาวสองนางโดนเขาข่มเหง ล้วนสิ้นใจตายทั้งคู่ ข้าน้อยหาศพพวกนางพบแล้ว…”
มู่เหลยเข้าใจเรื่องราวได้ทันที “ไอ้คนผู้นั้นคิดจะเด็ดบุปผาแต่กลับเจอบุปผาพิษเข้าให้ เห็นทีว่าเด็กสาวรายที่สามน่าจะเป็นคนที่พวกเรากำลังตามหา! มู่เฟิง เจ้าสืบหาภูมิหลังของสตรีรายที่สามได้หรือไม่?”
มู่เฟิงส่ายศีรษะ “สืบแล้ว แต่สืบไม่พบ ในคฤหาสน์หลังนั้นเดิมทีก็มีคนอยู่ไม่มาก คนอื่นล้วนไม่เคยเห็นเด็กสาวรายที่สามเลย…”
ดังนั้นเบาะแสจึงชะงักลงตรงนี้อย่างสิ้นเชิง พวกมู่เฟิงทั้งสี่คนได้แต่มองหน้ากันอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป สุดท้ายทุกสายตาก็จับจ้องไปยังนายท่านผู้เป็นเจ้านายของพวกเขา
น่าสนใจนัก! เด็กสาวอายุสิบสองสิบสามคนหนึ่งกลับน่าสนใจถึงเพียงนี้! ช่างทำให้ผู้คนต้องมองด้วยความทึ่งจริงๆ!
ในดวงตาสีดำสนิทของนายท่านฉายแววนึกสนุกออกมาแวบหนึ่ง เขาสะบัดมือเล็กน้อยอย่างสง่างาม
“เรื่องนี้ให้ยุติลงเพียงเท่านี้แล้วกัน พวกเจ้าไม่ต้องสืบต่อแล้ว”
คนที่น่าสนใจเช่นนี้พบเจอได้น้อยยิ่งนัก กระตุ้นให้เขารู้สึกอยากจะเล่นด้วยสักหน่อย…
สวนเล็กๆ ปูด้วยอิฐเขียว เรือนโบราณหลังเล็กๆ ที่มีเพียงสามห้อง
ในสวนถูกเก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน ไม่มีวัชพืชขึ้นปกคลุมเลย มีเพียงดอกไม้ป่าไม่กี่ต้นที่สั่นไหวอยู่ตรงมุมกำแพง
ภายในห้องนอนตกแต่งไว้อย่างเรียบง่าย มีเตียงหนึ่งหลัง โต๊ะหนึ่งตัว เก้าอี้หนึ่งตัว บนโต๊ะมีแจกันดอกไม้รูปทรงธรรมดาอยู่ใบหนึ่ง ในแจกันปักดอกไม้สีเหลืองซึ่งเป็นชนิดเดียวกับดอกไม้ป่าที่ขึ้นอยู่ตรงกำแพงเอาไว้เพิ่มความสดใสมีชีวิตชีวาให้ห้องเล็กๆ ที่มืดมนนี้ได้หลายส่วน
ที่นี่ย่อมเป็นสถานที่ที่กู้ซีจิ่วอาศัยอยู่ สถานที่นี้ตั้งอยู่ในซอกหนึ่งของจวนแม่ทัพ ดูไม่สะดุดตาเท่าไหร่ เหมือนเป็นแค่เรือนพักของข้ารับใช้บางทีเรือนพักของช้ารับใช้อาจจะงดงามกว่าที่นี่เสียด้วยซํ้า
เธอไม่มีแม้กระทั่งข้ารับใช้ เธอต้องจัดการทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวเอง ทั้งซักผ้าถูบ้าน เก็บกวาดสวน…ใช้ชีวิตราวกับเป็นซินเดอเรลล่าฉบับยุคโบราณ พระอาทิตย์ขึ้นมาแล้ว แสงอาทิตย์หลายเส้นลอดผ่านช่องหน้าต่างส่องเข้าไปในห้องที่มืดสลัว กู้ซีจิ่วนั่งอยู่หน้ากระจกเงาบานหนึ่ง ในที่สุดเธอก็จะได้เห็นรูปร่างหน้าตาของร่างนี้อย่างชัดเจนแล้ว ถึงแม้ว่าจะเตรียมใจมาแล้ว แต่ในชั่วพริบตาที่เธอได้มองอย่างชัดเจน ก็ถึงกับต้องสูดปาก กระจกเงาบานนี้เป็นเครื่องเรือนชิ้นเดียวในห้องนี้ที่มีฝุ่นจับหนา แสดงให้เห็นว่าเจ้าของร่างเดิมก็ไม่คิดจะ
ส่องกระจก
กู้ซีจิ่วต้องใช้ผ้าเช็ดมันอยู่หลายครั้ง ถึงจะทำให้มันสะท้อนเงาออกมาได้
ยุคนี้ไม่น่าจะใช่ยุคโบราณจริงๆ เพราะกระจกเงาที่ใช้ไม่ใช่กระจกที่ทำจากทองเหลือง แต่เป็นกระจกเงาที่ทำจากแก้วชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่ต่างอะไรกับกระจกเงาในยุคปัจจุบันเลย ดังนั้นกระจกเงานี้จึงสมจริงยิ่ง
ในกระจกสะท้อนให้เห็นใบหน้าเล็กๆ ที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ พวงแก้มไม่มีเนี้อส่วนเกิน ปลายคางก็เรียวได้รูปยิ่ง หากพิจารณาจากองคาพยพทั้งห้าบนใบหน้านี้แล้ว นี่ก็คือสาวงามตัวน้อย
จมูกโด่งเป็นสันริมฝีปากงดงามโค้งได้รูป ดวงตากลมโต แต่มีปานแดงขนาดใหญ่ซึ่งครอบครองพื้นที่ครึ่งหนึ่งของหน้าผากไว้ ทำให้ความงามทั้งปวงถูกทำลายจนหมดสิ้น เมื่อมองดูมือเล็กๆ ก็เห็นว่าทั้งขาวซีดและบอบบาง กระดูกเปราะบางราวกับจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ ฝ่ามือหยาบกร้านเต็มไปด้วยตุ่มไตแข็งๆ น้อยใหญ่