บทที่ 1292 แต่กลับโดนเธอเท…
ยามที่หลงซือเย่จะจากไป ตี้ฝูอีได้เอ่ยกำชับเขาสองสามประโยค
ข้อหนึ่งคือห้ามเผยแพร่ข่าวที่กู้ซีจิ่วหายตัวไป กันไม่ให้คนมีจิตคิดไม่ซื่อได้ยินแล้วไปลอบปองร้ายนาง แม้แต่กู้เซี่ยเทียนก็ห้ามบอก
หลงซือเย่ปวดหัวยิ่งนัก “กู้เซี่ยเทียนยังคงรออยู่ข้างนอก เจ้าควรให้คำอธิบายสักอย่างแก่เขานะ”
ตี้ฝูอีกล่าวเรียบๆ ว่า “บอกไปว่าข้าอับอายที่ถูกถอนหมั้นจนโมโหส่งนางไปฝึกฝน ณ สถานที่แห่งหนึ่ง วันหน้าพวกเขาสองพ่อลูกยังมีโอกาสได้พบกันอยู่ ให้เขาใช้ชีวิตดีๆ”
หลงซือเย่ตะลึง เขารู้สึกได้ว่าในประโยคนี้ของตี้ฝูอีคล้ายจะแฝงความลับสวรรค์ไว้ ทว่านึกไม่ออกชั่วขณะว่าเป็นความลับอะไร นิ่งไปครู่หนึ่ง จู่ๆเอ่ย
ขึ้นมา “ซีจิ่วเป็นดวงวิญญาณจากยุคปัจจุบัน ร่างกายในยามนี้เป็นร่างโคลนนิ่ง ว่ากันตามเหตุผลแล้วไม่เกี่ยวข้องกับกู้เซี่ยเทียนสักนิดเลยมิใช่หรือ? เขาไม่สมควรได้เป็นบิดาของนาง…”
ตี้ฝูอีกล่าวตอบ “นางเป็นบุตรสาวของเขา ข้อนี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้”
หลงซือเย่ใจเต้นแวบหนึ่ง “ความหมายของเจ้าคือเดิมทีซีจิ่วก็เป็นบุตรสาวแม่ทัพที่ไร้ค่าคนนั้นอยู่แล้วงั้นหรือ? มิได้ง่ายดายเพียงยืมร่างคืนวิญญาณใช่หรือไม่? ไม่ถูกสิ นางเป็นคนยุคปัจจุบัน นางทะลุมิติมาเหมือนข้าชัดๆ…”
ตี้ฝูอีกลับไม่คิดจะพูดต่อแล้ว เอ่ยถามเพียงประโยคเดียว “เจ้ายังไม่ไสหัวไปอีกหรือ?”
….
ถึงแม้ว่าคืนนี้กู้ซีจิ่วจะดื่มจนเมามาย แต่เธอก็ไม่ได้เมาแล้วอาละวาด หลังจากกลับถึงเรือนตน ล้มตัวลงบนเตียงก็ผล็อยหลับไป ตอนที่หลับไปนี้ก็ไม่ทราบว่าเป็นยามอะไรแล้ว บางทีอาจเป็นเพราะคืนนี้สมควรเป็นคืนเข้าหอของตน ดังนั้นกลางวันคิดคำนึง กลางคืนจึงใฝ่ฝันหา เธอฝันว่าได้กลับไปที่วังคํ้านภาอีกครั้ง เธอมองเห็นบ่าวไพร่เช่นที่ผ่านมา มอเห็นตำหนักที่ค่อนข้างเปลี่ยวร้างอยู่บ้าง
ตอนเธอจากไป ตำหนักพวกนี้เริ่มปรับปรุงตกแต่งแล้ว ประดับประดาผ้าไหมแดง มองปราดเดียวว่าจะจัดงานมงคลอย่างยิ่งใหญ่ แต่เมื่อเธอกลับมาหนนี้พบว่าข้าวของที่แสดงถึงความเป็นมงคลพวกนั้นหายไปแล้ว อาคารกลับสู่สภาพเดิมอย่างที่เคยเป็น บ่าวไพร่ก็เดินเหินกันเบายิ่งนัก ราวกับเกรงว่าจะทำให้ผู้ใดตกใจหรือว่าไปยั่วยุผู้ใดเข้า พูดคุยกันก็กระซิบกระซาบเอาเช่นกัน
เนื่องจากคนเหล่านี้มองไม่เห็นเธอ ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงติดตามพวกเขาไปสักครู่หนึ่ง ได้ยินว่าพิธีวิวาห์ถูกยกเลิกอย่างที่คาดไว้จริงๆ…
คนเหล่านี้ย่อมรู้สึกไม่ยุติธรรมแทนเจ้านายของบ้านตน ถ้อยคำยามที่กล่าวถึงกู้ซีจิ่วจึง แฝงความคับข้องใจเอาไว้บางส่วน บอกว่าเป็นเพราะเธอจงใจหนีงานแต่ง ทำให้ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายต้องขายหน้า ส่วนท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็ยังคงปรารถนาดีต่อนาง ไม่ได้พูดเรื่องที่เธอหนีงานแต่งไป…
เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้ได้ยินถ้อยคำที่มู่เฟิงแถลงบนแท่นเบิกสวรรค์ และทราบความจริงบางส่วนมากกว่าคนนอก ในวาจาจึงแฝงความเป็นธรรมไว้ยิ่งนัก จากนั้นก็กล่าวว่าหลายวันมานี้เพื่อตามหาเธอแล้ว ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอดหลับอดนอนมาหลายคืนแล้ว ค้นหาจนแทบพลิกฟ้าพลิกดิน ผลคือ ยังคงคว้านํ้าเหลวเช่นเดิม ความกระทบกระเทือนเช่นนี้เห็นชัดว่าส่งผลต่อท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายยิ่งนัก ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่สง่างามอิสระเสรีเสมอมาซูบผอมลงไม่น้อยเลย…
คนเหล่านี้คุยกันอยู่ตรงนี้ ส่วนกู้ซีจิ่วก็ฟังอยู่ด้านข้าง ในที่สุดก็ทราบว่าตี้ฝูอีประกาศยกเลิกงานแต่งในวันวิวาห์…
ดูเหมือนเขาจะอับจนหนทางแล้วจริงๆ ถึงได้ประกาศเรื่องนี้
กู้ซีจิ่วขบเม้มริมฝีปากบางเบาๆ เธอรู้ว่าเขาจะตามหาเธอ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะหาจนถึงวันสุดท้ายถึงค่อยประกาศเรื่องนี้ ยิ่งคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะตามหาอย่างบ้าคลั่งถึงเพียงนี้ เธอรู้ว่าเขารักเธอ เพียงความรักนี้เสมือนการชดเชย ทำให้เธอทุกข์ใจเหมือนมีหนามยอกหลังอยู่ เขาจะเป็นทุกข์มากไหมนะ?
ถึงอย่างไรเขาก็จัดเตรียมงานวิวาห์อย่างยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ แต่กลับโดนเธอเท…
เธอหลับตาลงเล็กน้อย สะกดกลั้นอารมณ์ที่สับสนวุ่นวาย ได้ยินเสียงฝีเท้าแว่วขึ้นเบาๆ ที่ด้านหน้า เธอจึงเงยหน้าขึ้น ได้เห็นมู่เฟิงกับหลงซือเย่เดิน ออกมาจากโถงใหญ่