บทที่ 1303 พาข้าไปหานาง 2
ฝูงชนเบิกตาค้างอ้าปากหวอ ไม่เคยนึกเลยว่าจะใช้งานเช่นนี้ได้ด้วย เพียงแต่การทำเช่นนี้สิ้นเปลืองพลังยิ่งนัก บนหน้าผากของคนผู้นั้้นปกคลุมด้วยหยาดเหงื่อ สีหน้าก็ซีดเซียวลงอีกระดับหนึ่ง
“ท่านผู้สูงศักดิ์…วิชาแพทย์ลํ้าเลิศนัก เจ้าเป็นคนของสำนักเขาถามสวรรค์หรือ?” หลัวจั่นอวี่สอบถาม ถึงอย่างไรเขาก็ถูกขังไว้ที่นี่ตั้งแต่อายุสิบเอ็ดปี เพียงได้ยินมาว่าศิษย์ของสำนักเขาถามสวรรค์ที่โลกภายนอกวิชาแพทย์ร้ายกาจเป็นที่สุด ลํ้าเลิศที่สุด บุรุษชุดขาวที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้พลังวิญญาณไม่สูง ทว่าวิชาแพทย์กลับสูงส่งปานนี้ ดังนั้นหลัวจั่นอวี่จึงคาดเดาเช่นนี้
คนผู้นั้นเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ไม่ได้ตอบคำถามของเขา ย้อนถามประโยคหนึ่ง “ที่นี่…มีแม่นางแซ่กู้คนหนึ่งมาที่นี่หรือไม่?”
นํ้าเสียงของเขาค่อนข้างแหบพร่า แต่ไม่อาจปิดบังเนื้อเสียงเดิมที่กระจ่างชัดได้ ยังคงไพเราะยิ่งนัก
หลัวจั่นอวี่ตะลึงไปครู่หนึ่ง มองพินิจคนผู้นั้นตั้งแต่หัวจรดเท้าแวบหนึ่ง “เจ้าเป็นใครกันแน่?”
คนผู้นั้นสูดหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง “ตอบข้ามาก่อน!”
เห็นกันอยู่ชัด ๆ ว่าพลังวิญญาณไม่สูง แต่ความทรงอำนาจกลับมากล้น บนร่างถึงขั้นมีแรงกดดันไร้รูปลักษณ์อย่างหนึ่งแผ่ออกมารางๆ ด้วย ทำให้คนอยากศิโรราบอย่างน่าประหลาด ไม่กล้าล่วงเกิน
หลัวจั่นอวี่ขมวดคิ้ว เขารู้สึกอยู่ตลอดว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา แตกต่างจากคนที่เข้ามาเหล่านั้น ราวกับผู้ที่เข้ามาไม่ใช่เด็กหนุ่มอาการร่อแร่ปางตายคนหนึ่ง แต่เป็นราชันองค์หนึ่ง เป็นเทพสังหารองคหนึ่ง…
เมื่อนึกถึงว่าคนผู้นี้พลังวิญญาณต่ำต้อยทว่าสามารถสร้างวีรกรรมต่อสู้กับสัตว์ร้ายขั้นเจ็ดสี่ตัวได้ หลัวจั่นอวี่จึงไม่กล้าประมาท คนผู้
นี้ที่มาไม่ชัดเจน หากว่าประสงค์ร้ายต่อซีจิ่วล่ะ?
อย่างไรเสียหลัวจั่นอวี่ก็เป็นผู้มีพลังวิญญาณขั้นเก้า แรงกดดันบนร่างจึงไม่น้อยเช่นกัน ยามนี้ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเคร่งขรึม “ถ้าท่านผู้สูงศักดิ์ไม่แจ้งฐานะมาก่อน ก็ขออภัยด้วยที่ข้าไม่อาจตอบคำถามใดๆ ของเจ้าได้!”
คนผู้นั้นหลับตาลงเล็กน้อย คล้ายจะทราบเช่นกันว่าตนใจร้อนไปหน่อย เขากวาดตามองรอบข้างแวบหนึ่ง มีคนอยู่รอบๆ ไม่น้อย
สตรีก็มีอยู่แปดคน ทว่าไม่มีเงาร่างของคนที่เขาตามหา ถึงอย่างไรเขาก็บาดเจ็บสาหัส ถึงแม้จะกินยาไปแล้ว และเชื่อมกระดูกซี่โครงตรงทรวงอกที่หักไปแล้ว แต่เมื่อขยับเบาๆ ก็ยังคงมีหยาดเหงื่อเย็นเฉียบผุดพรายออกมาอยู่ดี ไม่อาจฟื้นฟูกำลังวังชาได้ภายในสามวัน ห้าวัน
คนที่รายล้อมอยู่ไม่น้อยเลย พลังวิญญาณก็ตํ่าต้อยเช่นกัน ดูเหมือนอยู่ที่นี่พวกเขาจะฝึกฝนได้ไม่เลวเลย บรรลุขั้นสูงที่ผู้บำเพ็ญข้างนอกไม่อาจบรรลุถึงได้ เมื่อออกไปจะต้องกลายเป็นกำลังรบหน้าใหม่ที่แข็งแกร่งยิ่งนักเป็นแน่ เพียงแต่คนเหล่านี้น่าจะเห็นเขาเป็นศัตรูคู่แค้นกันทั้งสิ้น…
ขณะที่เขากำลังจะเปิดปากเอ่ย จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งแว่วมาแต่ไกล “มีคนมาใหม่อีกแล้วหรือ ? หวา เช่นนั้นให้ผู้เฒ่าดูหน่อยสิ!”
พายุฝุ่นหมุนตลบ เงาร่างสีเขียวจางๆ สายหนึ่งกระพือฝาสร้างลมโหมกรรโชก มาถึงด้านนอกกลุ่มคนในทันใด “หลบไปให้หมด! ให้ข้าดูบ้าง!”
ฝูงชนแหวกทาง หอยยักษ์ตัวหนึ่งกลิ้งขลุกๆ เข้ามา อ้าฝาหอยออก หนูน้อยคนหนึ่งโผล่ออกมาจากด้านใน ทันทีที่ได้เห็นผู้บาดเจ็บที่เพิ่งลุกขึ้นนั่ง ดวงตาก็เบิกกว้างทันที “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย!”
เสียงของมันไม่เบาเลยจริงๆ หกคำนี้เสมือนระเบิดลูกหนึ่ง ระเบิดใส่ฝูงชนรอบข้างโดยตรง!
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย?!
ตี้ฝูอี?!
เป็นไปไม่ได้กระมัง?!
ฝูงชนเงียบกริบก่อน จากนั้นก็เกิดเสียงจอแจขึ้น มาเสมือนหม้อนํ้าเดือด!
ผู้คนพากันถอยหลังไปหลายก้าวประหนึ่งถูกพายุกวาดพัด แต่ต่อมาก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วก้าวเข้ามาหลายก้าวอีกครั้ง!
เสียงชักอาวุธดังขึ้นไม่ขาดหู ประกายแสงเยียบเย็นนับไม่ถ้วนจ่อใส่ผู้มาใหม่ที่อยู่ภายในวงล้อม
หลัวจั่นอวี่ก็ตกตะลึงเช่นกัน ถึงแม้เขาจะไม่มีความแค้นกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย แต่ว่า…สิ่งที่เขาได้เห็นและได้ยินกรอกหูอยู่ทุกวัน คือความเคียดแค้นชิงชังที่เกี่ยวข้องกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายทั้งสิ้น ดังนั้นในจิตใต้สำนึกจึงหวาดหวั่น ประกอบกับรังเกียจต่อทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเช่นกัน…
เขาก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่งเหมือนกัน ชูฝ่ามือทั้งสองขึ้นเล็กน้อย หันไปถามเจ้าหอยยักษ์ “เขาคือทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายหรือ? เจ้าไม่ได้จำผิดใช่ไหม?”