บทที่ 269
เขากลัวใครเป็นด้วยหรือ? กำลังหลบใครอยู่?
เมื่อไม่มีทางเข้าออก ในถ้ำย่อมมืดมิดอย่างยิ่ง ยื่นมือออกไปไม่เห็นห้านิ้วโดยแท้
สายตากู้ซีจิ่วยอดเยี่ยมถึงเพียงมี ยังเห็นแค่โครงร่างเลือนรางของตี้ฝูอีแบบตะคุ่มๆ เลย เขายังคงโอบกอดเธออยู่!
“อะไร…” กู้ซีจิ่วเพิ่งเปิดปากเอ่ยออกมาสองคำ ก็ถูกเขาใช้นิ้วหนึ่ง กดริมฝีปากจิ้มลิ้มไว้ ความหมายชัดเจนว่าให้เธอเงียบเสียง
เครื่องหมายคำถามเรียงรายอยู่ในสมองกู้ซีจิ่ว ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้เก่งกล้าไร้เทียมทาน เขากลัวใครเป็นด้วยหรือ? กำลังหลบใครอยู่?
ลมหายใจเขาทั้งแผ่วและเบา แต่เนื่องจากอยู่ใกล้ใบหูยิ่ง กู้ซีจิ่วจึงสัมผัสถึงไออุ่นในลมหายใจอันแผ่วเบาของเขาได้
เพราะถูกเขากอดไว้ตลอด กู้ซีจิ่วจึงค่อนข้างอึดอัด เธอดิ้นรน ความหมายชัดเจนมากว่า…ปล่อยข้าซะ!
“ซีจิ๋ว เจ้าอยากทดแทนบุญคุณข้าเมื่อครู่หรือไม่” ตี้ฝูอีกล่าวคล้ายจะกัดใบหูของเธออยู่ร่อมร่อ
ร่างกายกู้ซีจิ่วแข็งทื่อเล็กน้อย ผงกศีรษะให้
ในโลกที่มืดมิด หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีโอบกอดกันอยู่ นํ้าเสียงเปี่ยมเสน่ห์ดึงดูดของเขาแทบจะเป่าเข้าไปในหูของเธอ ทำให้ใบหูที่อ่อนไหวเห่อร่อนเหมือนถูด้วยนํ้ามันพริกก็มิปาน
ยามนี้เขาต้องการอะไร?
“นับตั้งแต่นี้ไป อารักขาข้าครึ่งชั่วยาม ภายในครึ่งชั่วยามนี้หากผู้ใดบุกรุกที่นี่ เจ้าต้องรับหน้าที่พาข้าซึ่งนั่งสมาธิอยู่เคลื่อนย้ายหลบหนี” ตี้ฝูอีกล่าวอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน
กู้ซีจิ่วถอนหายใจโล่งอกโดยไร้สาเหตุ ผงกศีรษะอีกครั้ง!
ความต้องการนี้เธอย่อมทำได้ง่ายๆ
นิ้วของตี้ฝูอีกดลงบนริมฝีปากเธอเบาๆ “เด็กน้อย รับปากแล้วมิอาจทอดทิ้งข้าได้อีก!”
กู้ซีจิ่วถูกเขาเขย่าขวัญ จึงแหงนหน้ามองอย่างเย็นชา ในดวงตาที่ขาวดำตัดกันชัดเจนสื่อความหมายแจ่มแจ้งว่า ‘เหตุใดท่านยังไม่ปล่อยมือ ต้องรอให้ข้าแทงท่านอีกแผลถึงจะปล่อยใช่หรือไม่’
ตี้ฝูอีหัวเราะเบาๆ ในที่สุดก็ปล่อยเธอ ดึงเบาะกลมสีหยกใบหนึ่งออกมาแล้วนั่งลงไป จากนั้นเริ่มนั่งสมาธิ
เบาะกลมสีหยกใบนั้นเรืองแสงได้เอง ทำให้ร่างของตี้ฝูอีส่องแสงจางๆ
กู้ซีจิ่วคลำหาหินก้อนหนึ่งแล้วนั่งลงไป ขณะมองเขานั่งสมาธิ จู่ๆ หัวใจก็สั่นไหว!
ท่านั่งสมาธิของตี้ฝูอีในยามดูคล้ายกับชายรูปสลักหยกที่เธอพบในถ้ำบนภูเขามาก!
เพียงแต่การทำมือแตกต่างกันเล็กน้อย องศาเข่าสองข้างที่นั่งขัดสมาธิก็ไม่เหมือนกัน
แต่ท่าทางหลุบตานั่งสมาธิของเขา ทำให้เธอแทบนึกว่ารูปสลักหยกนั้นมีชีวิตขึ้นมา…
เส้นประสาทของกู้ซีจิ่วตื่นตัว คอยฟังความเคลื่อนไหวรอบข้างอยู่ตลอด
เคราะห์ดีว่าถึงแม้โพรงถํ้านี้จะมืดมิด ทว่าไม่มีสัตว์ร้ายอะไรโผล่ออกมา และไม่มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้น เธอเลยเบาใจได้มาก
เธอสำรวจร่างกายเล็กน้อย พลังวิญญาณสายหนึ่งไหลเวียนเรื่อยๆ อยู่ในร่าง คอยบำรุงเลือดลมเธอ
‘เสี่ยวชาง ตอนนี้พลังวิญญาณข้าอยู่ระดับใด?’ กู้ซีจิ่วเข้าใจลำดับขั้นพลังวิญญาณของทวีปนี้ไม่ลึกซึ้งนัก อีกทั้งเมื่อก่อนเธอไม่มีพลังวิญญาณ ดังนั้นจึงวัดพลังวิญญาณในร่างไม่ได้
‘ขั้นสอง’ หยกนภาออมวาจาดุจออมทอง ไม่กล่าววาจาไร้สาระเลยสักประโยค
ระดับต่ำนัก เจ้าหรงอี้ท่านโหวเศษสวะที่ถูกเธอแทงตายผู้นั้นยังมีพลังวิญญาณตั้งขั้นสามเลย!
‘ต่ำถึงเพียงนี้เชียว?’ กู้ซีจิ่วหดหู่ เธอยังนึกว่าสูตรโกงของเธอเปิดออกสุดขีดแล้วเชียว
‘ขอเพียงท่านพากเพียรฝึกฝน ระดับก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ…’ หยกนภาปลอบใจเธอ
‘ข้านึกว่าพอร่างสวะนี้ของข้าฝึกฝนพลังวิญญาณได้ ก็จะสามารถพุ่งทะยานดั่งเปิดม่าน’
กู้ซีจิ่วหมุนหยกนภาโดยไม่รู้ตัว
‘เจ้านาย…’ หยกนภาเหมือนจะเอ่ยบางอย่างแต่ก็ชะงักไป
‘จะพูดก็พูด อย่าอ้ำๆ อึ้งๆ!’
‘เจ้านาย ร่างกายของท่านพิเศษมากจริงๆ ค่อนข้างน่าประหลาด…’ ถึงอย่างไรก็วนเวียนอยู่บนร่างเธอตลอด มันย่อมสามารถรับรู้การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในร่างกายเธอได้
‘ประหลาดตรงไหน?’