บทที่ 275
ได้ยินเรื่องเหล่านี้แล้วเจ้าไม่เจ็บปวดรวดร้าวบ้างหรือ
เมื่อคนมากก็ย่อมโหวกเหวก เดิมทีบทสนทนาของคนที่มากินอาหารที่นี่ล้วนเป็นเรื่องราวต่างๆ ในยุทธภพ ทว่าการสนทนาทั้งหมดในวันนี้มีเพียงเรื่องเดียว…สุดท้ายแล้วกู้ซีจิ่วจะใช้ศิษย์ของสวรรค์เบื้องบนหรือไม่
ถึงแม้ระยะนี้กู้ซีจิ่วสร้างเรื่องมหัศจรรย์ไว้ไม่น้อย แต่ชื่อเสียงเรื่องความอัปลักษณ์เละเป็นสวะไร้ค่าของนางก็เป็นที่เลื่องลือนัก ทุกคนจึงเคลือบแคลงใน ‘พรสวรรค์’ ของนางยิ่ง วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเผ็ดร้อน
“พวกเจ้าว่าแท้จริงแล้ววันนั้นคุณหนูหกหนีไปได้อย่างไร?” บางคนบนโต๊ะติดกันเริ่มเอ่ยด้วยมุมมองที่แตกต่าง
“ได้ยินว่านางมิได้หนีไปด้วยตนเอง เป็นเจ้าสำนักหลงใช้วิชาบางอย่าง…ได้ยินว่าครั้งนี้ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไปเยือนสำนักถามสวรรค์ด้วยตัวเองเพื่อนำนางกลับมา” มีคนที่รู้ข่าวคราวฉับไว
“ประหลาดนัก เจ้าสำนักหลงไม่เคยถามไถ่ความเป็นไปในโลกเลย แล้วเหตุใดครานี้ถึงลักพาตัวแม่นางน้อยผู้หนึ่ง?”
“คงจะเสียดายความสามารถกระมัง?”
“เป็นไปไม่ได้! บนโลกนี้มีอัจฉริยะด้านการแพทย์มากมาย ไม่รู้ว่ามีอัจฉริยะมากเพียงใดที่อยากกราบเป็นศิษย์เจ้าสำนักหลง ทว่าล้วนถูกเขาปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ว่ากันว่าเขาไม่รับศิษย์มานานนมแล้ว สตรีศักดิ์สิทธิ์กู่ซีซีสามารถกราบเป็นศิษย์เขาได้ก็เป็นเรื่องบังเอิญ …บุคคลเช่นนี้จะกระทำเรื่องที่ขัดต่อใต้หล้า ลักพาตัวผู้ที่รอเข้ารับการทดสอบพรสวรรค์เพราะเสียดายความสามารถได้อย่างไร? ไม่ใช่หรอก! กล่าวว่าเสียดายความสามารถน่ะไม่ใช่!” คนท่าทาง คงแก่เรียนผู้หนึ่งส่ายศีรษะ
“อย่าบอกนะว่าเจ้าสำนักหลงชอบพอคุณหนูหก?!” คนผู้หนึ่งโพล่งออกมา
มีคนหัวเราะขบขัน “จะเป็นไปได้อย่างไร? ถึงแม้คุณหนูหกผู้นั้นจะค่อนข้างมีความสามารถ แตกฉานด้านการแพทย์ แต่อย่างไรนางก็อัปลักษณ์ บนใบหน้ามีปานแดงขนาดใหญ่ที่น่าสะพรึง เห็นแล้ว
หมดอารมณ์ แล้วเจ้าสำนักหลงจะชอบนางได้อย่างไร? การคาดเดานี้ไม่เข้าท่ายิ่ง!”
ผู้คนหัวเราะครื้นเครง พากันเห็นด้วย
“เด็กน้อย ได้ยินเรื่องเหล่านี้แล้วเจ้าไม่เจ็บปวดรวดร้าวบ้างหรือ?” หลังฉากกั้นลมบานหนึ่ง กู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีนั่งตรงข้ามกัน
ยามนี้กู้ซีจิ่วสวมชุดชาวบ้านธรรมดา แต่งกายเป็นคุณชายน้อยที่เดินทางแสวงหาความรู้
ตี้ฝูอีสวมเสื้อคลุมสีขาวนวล ดูสง่าเหมือนยอดฝีมือผู้สันโดษ
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายต้องใช้วิชาอะไรสักอย่างอีกแล้วเป็นแน่ เธอกับเขาเข้ามาด้วยรูปโฉมที่แท้จริง ทว่าไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นเลย
กู้ซีจิ่วจิบนํ้าอึกหนึ่ง ใบหน้าน้อยๆ เรียบเฉย “มีอันใดต้องเจ็บปวด?”
แค่ข่าวซุบซิบเท่านั้น เธอไม่ใส่ใจ
ตี้ฝูอีไม่พูดอะไร
ตำแหน่งที่เธอกับเขานั่งอยู่คือชั้นสาม บนชั้นนี้มีคนอยู่ไม่น้อย บางโต๊ะถึงขั้นมีคนแต่งกายคล้ายจอมยุทธ์หญิงที่ท่องยุทธภพอยู่ด้วย
บทสนทนาบนโต๊ะนั้นคึกคักอย่างยิ่งและตรงไปตรงมาที่สุด
“พวกเจ้าว่า มีความเป็นไปได้เท่าไหร่ที่กู้ซีจิ่วจะเป็นศิษย์สวรรค์เบื้องบน?”
“ศูนย์! สวะไร้พลังคนหนึ่งจะเป็นศิษย์ของสวรรค์ได้อย่างไร?” สาวงามนางหนึ่งเหยียดหยาม
“ข้าก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้ ถึงอย่างไรศิษย์ของสวรรค์เบื้องบนอีกห้าคนก็เป็นระดับสุดยอดของทวีปนี้ ทูตสวรรค์ซ้ายขวา เจ้าสำนักสามสำนักหลัก…ทุกท่านล้วนเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ และเป็น ปรมาจารย์แห่งยุค พลังวิญญาณสูงจนน่าทึ่ง สวะไร้พลังเช่นกู้ซีจิ่วจะเทียบชั้นกับพวกเขาได้อย่างไร?ตลกแล้ว!”
“ก็ถูก เด็กสาวผู้โอ้อวดตนหลายครั้งหลายคราช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียบ้าง ซ้ำยังคุยโวโอ้อวดว่าเป็นศิษย์ของสวรรค์เบื้องบนอีก เหอะๆ น่าขันสิ้นดี!”
“อวดอ้างมากเกินไปแล้ว! ดูท่าหนนี้ฟ้าจะลิขิตให้นางออกมาแสดงความน่าอับอาย ปล่อยไก่ครั้งใหญ่”
“เป็นแค่ไก่บ้านตัวหนึ่งเท่านั้น เพียงร่างกายมีขนสีฉูดฉาดเพิ่มขึ้นมาไม่กี่เส้นก็นึกว่าตัวเองเป็นหงส์เพลิงแล้ว น่าขันนัก”
“ใช่แล้ว…”
“พวกเราพี่น้องมีพรสวรรค์ถึงเพียงนี้ยังมิกล้าอ้างตัวว่าเป็นผู้ที่สวรรค์ประทานความสามารถให้เลย แต่นางกลับกล้า พวกเรารอดูนางปล่อยไก่เถิด ต้องน่าสนุกมากเป็นแน่”