บทที่ 369
ท่านกลายเป็นคู่หมั้นของเขาจริงๆ แล้ว
“ใช่! เป็นของจริง…ที่แท้นางเคยทำสัญญาหมั้นหมายกับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายให้บุตรสาว นาง…” บัดนี้กำไลยังอยู่ แต่คนจากไปแล้ว ดวงตาของกู้เชี่ยเทียนพลันแสบร้อนขึ้นมา
จักรพรรดิซวนรีบมองเขา กู้เชี่ยเทียนตั้งสติแล้วอธิบายให้ฟัง
“กำไลหทัยกาฬวงนี้เป็นสินเดิมของภรรยากระหม่อม และเป็นสิ่งที่มารดานางมอบให้นาง…กำไลวงนี้สร้างจากหยกธุมเกตุ เคยมีเป็นคู่ ภรรยากระหม่อมเก็บรักษาไว้อย่างดีมาตลอด…ภายหลัง…ภายหลัง หายไปหนึ่งวง ด้วยเหตุนี้กระหม่อมจึงเข้าใจนางผิด…นึกไม่ถึงว่านางจะมอบมันแก่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันการหมั้นหมายของบุตรสาว…”
กล่าวอีกอย่างคือ ทุกสิ่งที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายพูดคือความจริง!
ยามนี้นับว่ากู้ซีจิ่วมีสัญญาหมั้นหมายกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจริงๆ ถึงแม้สัญญาหมั้นหมายนี้จะยังไม่มีผล แต่ขอเพียงกู้ซีจิ่วออกมาจากป่าทมิฬได้ สัญญาหมั้นหมายนี้จะมีผลทันที!
ดังนั้นกล่าวได้ว่า ไม่ว่ากู้ซีจิ่วจะออกมาได้หรือไม่ ก็ยุ่งเกี่ยวกับคนอื่นไม่ได้แล้ว!
ทุกคนล้วนเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า ที่แท้นางก็มีเจ้าของมาแล้วตั้งนาน!
เช่นนั้นพวกเขาถกเกียงกันจนหน้าแดงหน้าดำก่อนหน้านี้เพื่ออะไรกัน?
‘เสี่ยวชาง มิใช่เจ้ากล่าวว่ากำไลวงนั้นของเขาคือกำไลคู่เกศาดำหรอกหรือ? ทำไมถึงกลายเป็นกำไลหทัยกาฬไปได้? ไหนเจ้าบอกว่าที่มันดูเหมือนหยกเพราะเขาใช้วิชาพรางตาไง? ตอนนี้ยังใช่วิชา พรางตาอยู่ไหม?’ กู้ซีจิ่วกัดฟันถามหยกนภา
หยกนภาก็แคลงใจเช่นกัน ‘ตอนที่ข้าเห็นคราวก่อนมันเป็นกำไลกู่เกศาดำจริงๆ นะ หรือตอนนั้นข้าจะมองผิดไป? เจ้านาย เห็นทีสัญญาหมั้นหมายนี่จะเป็นเรื่องจริง ท่านกลายเป็นคู่หมั้นของเขาจริงๆ แล้ว’
กู้ซีจิ่วนิ่งงัน
ทำไมเธอรู้สึกว่าคำพูดจาค่อนข้างเพ้อฝันและไม่ค่อยเป็นความจริงกัน?
จักรพรรดิซวนเป็นจักรพรรดิมาได้เนิ่นนานถึงเพียงนี้ จึงไม่หลงกลง่ายดายปานนั้น ถึงตี้ฝูอีจะนำกำไลหทัยกาฬออกมา แต่มีของหมั้นเพียงชิ้นเดียวเช่นนี้จะให้คนเชื่อถือได้อย่างไร?
ไม่แน่กำไลวงนี้…ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอาจจะเก็บได้?
ถึงอย่างไรหลัวซิงหลานก็กระโดดหน้าผาไปแล้ว จนยามนี้ถึงอยู่ก็ไม่พบคน ตายก็ไม่พบศพ บางทีกำไลวงนี้อาจเป็นวงที่หลัวซิงหลานเก็บรักษาไว้…
เขามีคำถามนี้อยู่ในใจ แต่ไม่สะดวกจะถามด้วยตัวเอง จึงส่งสายตาให้ขุนนางใหญ่ข้างกาย
ขุนนางผู้นี้ฝักฝ่ายหลงเจียหลัว เขาย่อมต้องการให้กู้ซีจิ่วครองคู่กับองค์รัชทายาท เมื่อเห็นว่าการสมรสขององค์รัชทายาทจวนจะสำเร็จแล้ว แต่กลับถูกทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายยื่นไม้คานเข้ามาสอด
เช่นนี้ เดิมทีในใจของเขาก็ค่อนข้างไม่พอใจ เพียงแค่ไม่กล้าแสดงออกมาเท่านั้น
บัดนี้พอได้รับสัญญาณจากจักรพรรดิซวน เขาจึงตัดสินใจได้ทันที ทำใจกล้าถามออกไป “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย โดยทั่วไปแล้วการหมั้นหมายต้องมีสามหนังสือหกพิธีการ[1]…”
เมื่อเห็นว่าสายตาที่มองมาของตี้ฝูอีเหมือนจะแฝงแววยิ้มหัวไว้ หัวใจเขาก็เต้นโครมคราม ความมั่นใจหดหายไม่น้อย “แน่นอน เนื่องจากสัญญาหมั้นหมายที่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกล่าวมามีความพิเศษ มีเงื่อนไขเฉพาะมากมาย ดังนั้นไม่มีสามหนังสือหกพิธีการก็ไม่แปลก แต่ข้าขุนนางเฒ่าผู้นี้รู้สึกว่าของหมั้นเพียงชิ้นเดียวไม่เพียงพอให้คนเชื่อถือ เรื่องราวพัวพันใหญ่โต ไม่ทราบว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายยังมีหลักฐานอื่นมายืนยันอีกหรือไม่?”
ตี้ฝูอีมองเขา “มีแค่ของหมั้นไม่นับหรือ?”
“ตามกฎหมายของอาณาจักรเฟยแล้วไม่นับ…”
“เช่นนั้นหนังสือรับรองนับหรือไม่?” ตี้ฝูอีคลำในแขนเสื้อ แล้วหยิบหนังสอรับรองที่เป็นกระดาษเหลืองแล้วแผ่นหนึ่งออกมา กล่าวอย่างเฉยชาว่า “หนังสือรับรองที่หลัวซิงหลานเซียนเมื่อตอนนั้นอยู่ นี่แล้ว ฝ่าบาทสามารถตรวจดูได้”
ครั้นดีดนิ้วแวบหนึ่ง หนังสือรับรองฉบับนั้นก็ลอยไปอยู่ในมือจักรพรรดิซวน
จักรพรรดิซวนเปิดอ่านครู่หนึ่ง หน้าซีดเล็กน้อย เขาจำลายมือหลัวซิงหลานได้ บนกระดาษคือลายมือของหลัวซิงหลาน เนื้อหาทั้งหมดไม่ผิดเพี้ยนไปจากสิ่งที่ตี้ฝูอีกล่าว!
เขาส่งต่อให้กู้เซี่ยเทียน กู้เซี่ยเทียนอ่านจดหมายฉบับนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ก่อนคุกเข่าลง “ฝ่าบาท นี่เป็นหนังสือรับรองที่ภรรยากระหม่อมเขียนจริงๆ พะย่ะค่ะ”