บทที่ 370
ข้าเป็นคู่หมั้นของเจ้า
เขากำหนังสือรับรองฉบับนั้นไว้แน่นด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ปีนั้นเหมือนหลัวซิงตัดสินใจจะจากไป ก่อนไปนางเผาข้าวของทุกอย่างทิ้งจนหมดสิ้น ไม่เหลือสิ่งใดให้เขาเลย นึกไม่ถึงว่าผ่านไปสิบปีกว่าจะได้เห็นลายมือนางอีกครั้ง…
จู่ๆ ในมือก็ว่างเปล่า หนังสือรับรองฉบับนั้นลอยกลับไปอยู่ในมือตี้ฝูอี เขาสะบัดหนังสือรับรองประหนึ่งว่าสลัดสิ่งสกปรกบนนั้นทิ้ง แล้วมองจักรพรรดิซวนแวบหนึ่ง “ฝ่าบาท ยามนี้คงเชื่อแล้วกระมัง?”
จักรพรรดิซวนส่ายคีรษะอย่างจนปัญญา ฝืนยิ้มแล้วกล่าวว่า “เราไม่เคยสงสัยทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเลย”
ยามนี้ย่อมไม่มีใครสงสัยแล้ว
ตี้ฝูอีเก็บหนังสือรับรองฉบับนั้นไป ในที่สุดก็วกสายตากลับมามองใบหน้ากู้ซีจิ่ว “เจ้าล่ะ?”
กู้ซีจิ่วค่อนข้างใจลอย จึงตอบรับไปโดยไม่ทันคิด “หือ?”
“ตอนนี้เจ้าเชื่อหรือยังว่าข้าเป็นคู่หมั้นของเจ้า?”
กู้ซีจิ่วเอ่ยแก้ให้เขา “ตามที่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกล่าวมา สัญญาหมั้นหมายนี้สมควรรอข้าออกจากป่าทมิฬให้ได้ก่อนอายุ 15 ปีถึงจะมีผล ตอนนี้…ยังไม่นับว่าใช่”
นัยน์ตาตี้ฝูอีวาววับ เขาแย้มยิ้ม เพียงแต่รอยยิ้มนี้ดูอันตรายยิ่งนัก “ไม่ว่าตอนนี้จะนับหรือไม่ ขอเพียงเจ้ารอดชีวิตออกมาจากป่าทมิฬได้ ก็มีแต่ต้องออกเรือนกับข้า ไม่สามารถคะนึงหาผู้อื่นได้อีก!”
กู้ซีจิ่วไม่พูดอะไร
แต่ในใจมีคำถามข้อหนึ่งที่ยังไม่เลือนหายไป
หรืองานหมั้นที่ตี้ฝูอีจัดเตรียมไว้ในอีกเก้าวันให้หลังจะเตรียมไว้ให้ตัวเธอกู้ซีจิ่ว? มิใช่อวิ๋นซิงหลัว?
เขามั่นใจได้อย่างไรว่าเธอจะออกจากป่าทมิฬได้ภายในเก้าวัน? หากเขาเตรียมการไว้ให้เธอจริงๆ เช่นนั้นอย่างไรก็ควรแจ้งข่าวให้เธอล่วงหน้าสักนิดมิใช่หรือ? ควรมีสัญญาณเตือนสักนิดไม่ใช่หรือ ไง?
หรือที่กล่าวกันว่าวังคํ้านภากำลังเตรียมงานหมั้นอาจจะเป็นข่าวโคมลอย ไม่ใช่ความจริง?
ตั้งแต่จากกันที่แท่นเบิกสวรรค์ เขาก็ราวกับหายสาญสูญไป ไม่เคยมาปรากฎตัวต่อหน้าเธอเลย ทำให้เธอนึกว่าสัญญาหมั้นหมายนั้นเป็นของปลอม เธอกับเขาไม่เกี่ยวข้องกันอีกต่อไป แต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะเผยสิ่งนี้ออกมาในเวลานี้…
เธอหันเหสายตาไป กวาดตาผ่านร่างอวิ๋นซิงหลัวแวบหนึ่ง หัวใจพลันสั่นไหว เช่นนั้นระหว่างเขากับอวิ๋นซิงหลัวมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่? เป็นเพียงความสัมพันธ์ของผู้ทดสอบกับผู้รับการทดสอบ จริงๆ หรือ?
‘เจ้านาย เจ้านาย…’ หยกนภาส่งเสียงเรียกในสมองเธอ
‘ว่าไง?’ ในที่สุดสติกู้ซีจิ่วก็หลุดจากภวังค์ความคิด
‘พอท่านได้ยินว่าสัญญาหมั้นหมายนั้นเป็นเรื่องจริงก็ดีใจจนโง่งมไปเลยสินะ?’
‘เจ้าสิโง่งม’ กู้ซีจิ่วยกมือนวดคลึงหว่างคิ้วอย่างเหลืออด
‘ข้านึกว่าท่านดีใจจนสติหลุดไปแล้ว เมื่อกี้ท่านจ้องอวิ๋นซิงหลัวผู้นั้นอยู่ตลอด’ หยกนภาเอ่ยเจื้อยแจ้ว
อะไรนะ?
เวรแล้ว นิสัยเสียที่ใจลอยแล้วชอบจ้องชาวบ้านของเธอนี่แก้ไม่ได้จริงๆ
อวิ๋นซิงหลัวผู้นั้นคงไม่คิดว่าเธอข่มนางกระมัง?
เธอเหลือบมองอวิ๋นซิงหลัวอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ อวิ๋นซิงหลัวนั่งหลุบตาอยู่ตรงนั้น บนหน้ามีหน้ากากอยู่จึงมองไม่เห็นสีหน้าท่าที เห็นเพียงร่างกายที่เหยึยดตรงยิ่งนักของนาง ดูสงบนั่งไม่วอกแวก เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ปลายนิ้วของนางเหมือนจะสั่นเทาอยู่ มองออกจากแขนเสื้อนางที่สั่นไหวเบาๆ เห็นได้ชัดเจนว่าได้รับความกระทบกระเทือนไม่น้อย
อวิ๋นซิงหลัวสนใจตี้ฝูอี เรื่องนี้ชัดเจนยิ่งนัก
ความจริงแล้วตี้ฝูอีเปี่ยมด้วยเสน่ห์ ชั่วระยะเวลาสั้นๆ ที่อวิ๋นซิงหลัวอยู่กับเขาจะหลงเสน่ห์เขาก็ไม่แปลกสักนิด
หากตนไม่เคยพบโศกนาฏกรรมความรัก จนไร้ความรู้สึกต่อบุรุษ บางทีระหว่างที่พัวพันกับเขาหลายต่อหลายครั้งเมื่อครึ่งปีก่อน อาจจะติดหล่มจนถอนตัวไม่ขึ้นไปนานแล้วกระมัง?
‘เจ้านาย กลายเป็นคู่หมั้นของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายแล้ว ท่านดีใจหรือไม่?’ ดูเหมือนหยกนภาค่อนข้างกระตือรือร้น ‘ข้าว่าแล้ว เขาจะไปสนใจอวิ๋นซิงหลัวได้อย่างไร? เขายังหลงเสน่ห์ท่านอยู่ ต่อให้ท่านไม่ใช่ศิษย์ของสวรรค์เบื้องบน เขาก็ยังชอบเพียงท่าน ท่านสิถึงจะเป็นคู่แท้ของเขา พวกท่านสิถึงจะสมกัน คนอื่นสมควรหลีกทางไปซะ!’
…………………………
[1] สามหนังสือหกพิธีการ เป็นขั้นตอนการสมรสในสมัยโบราณ ประกอบด้วยหนังสือรับรอง 3 ฉบับและพิธีกรรม 6 ขั้นตอน