บทที่ 374
ออกหน้าให้เธอ 1
อวิ๋นซิงหลัวเป็นแบบอย่างของฝูงชนมาตั้งแต่เล็กจนโต นิสัยดูเหมือนอ่อนโยน แต่ความจริงเย่อหยิ่งเป็นที่สุด ที่อาณาจักรเฮ่าเยวี่ยไม่มีสักคนที่กล้าเพิกเฉยต่อนาง จะไปที่ใดล้วนมีผู้คนห้อมล้อมประหนึ่งดาวล้อมเดือน
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางได้สัมผัสประสบการณ์เช่นวันนี้ ในใจย่อมปั่นป่วนยิ่งนัก
เพียงแต่นางได้รับการอบรมสั่งสอนมาเป็นอย่างดี ถึงในใจจะไม่พอใจอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่แสดงอาการออกมา
ความจริงแล้วนางอยากจากไปยิ่งนัก แต่ก็ตัดใจไม่ลง…
อันที่จริงนางเข้าใจกู้ซีจิ่วผิดไปแล้วจริงๆ เมื่อกี้กู้ซีจิ่วแค่ได้ยินเสียงจึงกวาดตามองเท่านั้น ไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลย นับประสาอะไรกับการอวดข่ม?
ยามนั้นเธอกำลังใช้วาจาต่อสู้กับตี้ฝูอี ไม่ได้สนใจผู้อื่นเลย เธอพยายามใจเย็นแล้วเจรจาเงื่อนไขกับตี้ฝูอี “ท่านจะใช้ข้าเป็นเกราะกำบังนานแค่ไหน?”
ในเมื่อเป็นธุรกิจ ย่อมต้องเจรจาราคาให้ชัดเจน
เธอรู้สึกว่าคำถามของเธอธรรมดายิ่งนัก นัยน์ตาตี้ฝูอีกลับฉายแววลํ้าลึกอย่างที่คาดไม่ถึง มองเธอด้วยท่าทียิ้มคล้ายมิยิ้ม “ร้อนใจอยากสลัดข้าทิ้งถึงเพียงนี้เชียว?”
กู้ซีจิ่วสูดลมหายใจเช้าลึกๆ แล้วกล่าวว่า “ท่านจะใช้ข้าเป็นเกราะกำบังก็ต้องมีกำหนดเวลากระมัง? ท่านลองพูดระยะเวลาที่กำหนดไว้มาก่อน”
ด้วยเหตุนี้ตี้ฝูอีจึงเอ่ยระยะเวลาออกมา “100 ปี”
ฮะ?!
กู้ซีจิ่วจ้องเขา ล้อกันเล่นรึไง?!
100 ปี ทำไมเขาไม่พูดว่า 1 พันปีไปเลยล่ะ?!
เธอจะมีชีวิตอยู่ได้สักเท่าไหร่กันเชียว?
อันที่จริงอายุขัยของคนส่วนใหญ่ในโลกใบนี้ไม่ยืนยาวนัก อายุร้อยปีก็นับว่าอายุยืนมากแล้ว
ผู้ที่มีชีวิตยืนยาวแถมยังไม่เฒ่าชราแบบพวกตี้ฝูอีนั้นเป็นบุคคลพิเศษที่มีอยู่เพียงไม่กี่คน
ทุกคนเป็นผู้ที่ฝึกฝนพลังวิญญาณจนถึงขั้นเก้า
ในทวีปนี้มีผู้คนมากมาย ทว่าคนที่สามารถฝึกฝนจนถึงระดับพวกเขาได้มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ทุกผู้ล้วนเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ เป็นบุคคลพิเศษในหมู่บุคคลพิเศษอีกที
การฝึกฝนพลังวิญญาณก็เหมือนการเล่นเกมเก็บเลเวล ในช่วงแรกจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ช่วงหลังต้องใช้เวลานานมากกว่าจะบรรลุสักขั้น และการทุ่มเทฝึกฝนก็ใช่ว่าจะพัฒนาการฝึกฝนได้ ยกตัวอย่างเช่นการบรรลุพลังวิญญาณจากขั้นหกไปสู่ขั้นเจ็ด ต้องนำระยะเวลาการบรรลุขั้นทั้งหมดก่อนหน้านี้มาคูณด้วยสอง!
การบรรลุจากขั้นเจ็ดไปสู่ขั้นแปด ต้องการประสบการณ์ที่บรรลุขั้นเจ็ดคูณกันห้าครั้ง
ส่วนการบรรลุขั้นแปดไปสู่ขั้นเก้า ระยะเวลาที่ต้องใช้ฝึกฝนมากจนคำนวณไม่ได้แล้ว
ทั่วทั้งทวีปนี้ มีเพียงเจ้าสำนักทั้งสามและทูตสวรรค์ทั้งสองที่บรรลุพลังวิญญาณขั้นเก้าแล้ว คนที่เหลือล้วนยังกระเสือกกระสนอยู่ด้านล่าง กระเสือกกระสนกันจนช่วงสิ้นอายุขัยมาถึง…
กู้ซีจิ่วคิดว่าตนคงไม่สามารถฝึกฝนพลังวิญญาณจนถึงขั้นเก้าได้ภายในเวลาไม่กี่สิบปี ดังนั้นอายุขัยของเธอน่าจะอยู่ได้ประมาณร้อยกว่าปี
ยามนี้เมื่อเขากล่าวมาเช่นนี้ เป็นอันชัดเจนว่าต้องการให้เธอเป็นเกราะกำบังไปชั่วชีวิต!
ในเมื่อเขากล่าวชัดเจนแล้ว กู้ซีจิ่วจึงตัดสินใจว่าจะไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป “อันที่จริงข้ารู้สึกว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายดูมิคล้ายผู้ที่จะคิดเล็กคิดน้อยกับข่าวนินทากาเลในโลกปุถุชนเลย แถมฐานะของท่านก็สูงส่งถึงเพียงี้ ดังนั้นต่อให้ทุกคนทราบว่าท่านชมชอบบุรุษ ก็ไม่มีผู้ใดกล้าพูดจาเป็นอื่นต่อหน้าท่านหรอก ลูกผู้ชายกระทำการใดล้วนกล้าทำกล้ารับ เหตุใดท่านต้องเก็บงำอำพรางด้วยเล่า?”
ชมชอบบุรุษ…
เขาไปทำให้นางเข้าใจผิดเช่นนี้ได้อย่างไร?!
ตี้ฝูอีลอบกัดฟันกรอดๆ แต่กลับหัวเราะเสียงแผ่ว “เจ้าก็รู้ว่าข้ากระทำการใดต้องสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ไม่อนุญาตให้มีจุดด่างพร้อยแม้เพียงเศษเสี้ยว อีกอย่างหลงซือเย่ก็ค่อนข้างรักศักดิ์ศรี เขาไม่ยินยอมให้ชื่อเสียงเช่นนี้แพร่ออกไปอย่างเด็ดขาด ดังนั้นเด็กน้อยเอ๋ย พวกเราคงทำได้เพียงมอบความอยุติธรรมให้แก่เจ้า! ส่วนจักรพรรดิซวนก็หมายมั่นปั้นมืออยากได้เจ้าไปเป็นศรีภรรยาของบุตรชายเขา เจ้าไม่ใช่ศิษย์สวรรค์เบื้องบนไม่สามารถฝ่าฝืนบัญชาจักรพรรดิได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ามาแต่งกับข้าไม่ดีกว่าหรือ? จักรพรรดิซวนจะใจกล้าเพียงใดก็คงไม่กล้าแย่งสะใภ้ข้าหรอกใช่หรือไม่? เจ้าแต่งให้ข้าเรื่องวุ่นวายจะลดลงไปมาก เมื่อข้าแต่งเจ้าก็สามารถ..ไปมาหาสู่กับหลงซือเย่ได้อย่างเปิดเผย มิใช่ว่าเป็นการดีต่อทั้งสองฝ่ายหรอกหรือ?”