บทที่ 432
สงสัย 3
“ดี! เช่นนั้นก็เรียกว่าตื่นจากห้วงฝัน” ซือเฉินยิ้ม มองกู้ซีจิ่วด้วยสายตาเปล่งประกาย “อาเซิง แล้วแต่เจ้าเลย”
ประโยคหลังเขากล่าวอย่างอ่อนโยนดุจสายน้ำ แฝงด้วยความโปรดปรานเอ็นดู
กู้ซีจิ่วใจเต้นนิดๆ หลบสายตาไป แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเสียดื้อๆ “เขตแดนแห่งนี้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ติดตั้งไว้กระมัง? ตั้งแต่ยอดเขาที่หกขึ้นไปไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าไปใช่หรือไม่?”
“เจ้าฉลาดมาก” ซือเฉินยิ้มนิดๆ หรี่ตามองเขตแดนนั้น “เพียงแต่มิใช่ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าไป ผู้ที่ฝึกฝนพลังวิญญาณจนบรรลุขั้นเก้าสามารถมาผจญภัยที่นี่ได้”
หัวใจกู้ซีจิ่วสั่นไหว “เช่นนั้นฮวาอู๋เหยียน เชียนเยวี่ยหร่าน กับทูตสวรรค์ฝ่ายขวาล้วนเคยมาที่นี่แล้ว?”
ซือเฉินยิ้ม “น่าจะใช่กระมัง สานุศิษย์ของสวรรค์เบื้องบนมีคุณสมบัติพอจะเขาสู่ยอดเขาที่หกที่เจ็ดอย่างแท้จริง”
“ท่านรู้มากจริงๆ!” กู้ซีจิ่วมองเขาแวบหนึ่ง
ซือเฉินโอบเอวเธอด้วยมือข้างหนึ่ง “เช่นนั้นเจ้าหวั่นไหวกับข้าบ้างรึไม่?”
จู่ๆ ปลายดาบส่องประกายเย็นเยียบก็โผล่ขึ้นมาที่ช่วงเอวกู้ซีจิ่ว ซือเฉินเกือบถูกตัดมือแล้ว กู้ซีจิ่วมองเขาด้วยท่าทียิ้มมิเชิงยิ้ม “พูดก็ส่วนพูด ถ้ามือไม้วุ่นวายอีก ถึงข้ารู้จักท่าน แต่ดาบลํ้าค่าของข้าไม่รู้จักท่านนะ”
ซือเฉินชักมือกลับทันที มือข้างหนึ่งยันเข่าไว้ “อาเซิง เจ้าใจดำจริงๆ ข้าบอกแล้วว่าข้ารับผิดชอบเจ้าได้”
“ไม่จำเป็น!” กู้ซีจิ่วลุกขึ้นยืน
“เจ้ามีคนในใจแล้วหรือ? หลงซือเย่? ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย?” ซือเฉินกล่าววาจาน่าตะลึงออกมาไม่หยุด
กู้ซีจิ่วหันกลับไปมองเขาทันที “ท่านพูดเหลวไหลอะไร?”
ซือเฉินยิ้มอย่างไม่ทุกข์ร้อน “สานุศิษย์สวรรค์มีทั้งหมด 5 ท่าน ทูตสวรรค์ซ้ายขวา ฮวาอู๋เหยียน เชียนเยวี่ยหร่าน แต่เมื่อครู่เจ้าเอ่ยถามแค่สามคนนั้น ไม่ได้ถามถึงทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกับหลงซือเย่ ทั้งสองท่านนี้มีชื่อเสียงถึงเพียงนั้น เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะหลงลืมพวกเขา เหตุผลที่เจ้าไม่เอ่ยถึงคือในใจของเจ้ามีความรู้สึกพิเศษต่อพวกเขา จึงมองข้ามไปตามสัญชาตญาณ ข้าพูดถูกใช่ไหม?”
กู้ซีจิ่วตะลึงงัน
เป็นเช่นนี้หรือ?
การที่เธอมีปมในใจต่อหลงซือเย่ เรื่องนี้ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมาย ถึงอย่างไรความรู้สึกในตอนนั้นก็สลักลึกอยู่ในใจเกินไป มิใช่เอยากจะลืมก็สามารถลืมเลือนได้ทันที
แต่เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะมีปมในใจต่อทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอี มิใช่ว่าเธอแค่ระแวงเขาหรอกหรือ?
ภาพตี้ฝูอีตอนยิ้มมิเชิงยิ้มผุดขึ้นมาในหัวเธอ หัวใจพลันเต้นระรัว ว้าวุ่นขึ้นมาบ้างทันใด
เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะเกิดความรู้สึกเช่นนั้นต่อตี้ฝูอี บางทีอาจจะเป็นเพราะถูกคนผู้นั้นก่อกวนมานานจนเกิดเงามืดพัวพันขึ้นมา ต้องเป็นเช่นนี้แน่นอน!
“ในใจของเจ้ายามนี้ พวกเขาทั้งสองคนใครสำคัญกว่ากัน?” ซือเฉินกุมมือของหนึ่งของเธอไว้ ค่อยๆ โน้มน้าว น้ำเสียงอ่อนโยนดุจสายลม
กู้ซีจิ่วราวกับถูกสะกดจิต เงาร่างของหลงซือเย่และตี้ฝูอีสลับกันปรากฎขึ้นมาในหัวเธอ…
ทุกครั้งยามที่นึกถึงหลงซือเย่ ในใจเธอบรรยายไม่ได้ว่ารู้สึกเช่นไร คล้ายมีกองเพลิงลุกโหมอยู่ แต่อีกใจหนึ่งก็หนาวเหน็บเย็นชา
แต่พอนึกถึงตี้ฝูอีในใจกลับอบอุ่นอย่างน่าประหลาด…
“เด็กดี บอกข้าหน่อย พวกเขาทั้งสองสำหรับเจ้าแล้ว ใครทำให้เจ้าประทับใจลึกลํ้าที่สุด?” น้ำเสียงซือเฉินอ่อนโยนกว่าเดิม
ประทับใจลึกลํ้า?
ในสมองกู้ซีจิ่วมีเงาร่างของหลงซือเย่ปรากฎขึ้นมาก่อน คนที่เคยทำร้ายตนย่อมประทับในใจลํ้าลึกที่สุด ยิ่งทำร้ายกันหนักหนาเท่าไหร่ความประทับใจก็ยิ่งลํ้าลึกเท่านั้น…
“หลงซือเย่…” กู้ซีจิ่วตอบออกมาสามคำ ซือเฉินที่แต่เดิมกุมมือเธออยู่ บัดนี้ฝ่ามือพลันกำแน่น แววตาดำดิ่ง
กู้ซีจิ่วถูกเขาบีบจนเจ็บ จึงได้สติในที่สุด คิดจะชักมือตนกลับตามสัญชาตญาณ “เจ็บนะ ปล่อยข้า!”
เมื่อซือเฉินปล่อยเธอ กู้ซีจิ่วมองดูข้อมือตน พบว่าถูกเขาบีบจนเป็นรอยห้านิ้วไปแล้ว