บทที่ 472
ตรวจสอบด้วยตนเอง 5
“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ขอรับ หลังจากส่งแม่นางกู้เข้าไปแล้ว ผู้น้อยต้องไปกำชับกู่ฉานโม่เป็นพิเศษหรือไม่ ว่าไม่ให้เขาสร้างความลำบากให้แก่แม่นางกู้” มู่เฟิงอดจะแสดงความคิดเห็นไม่ได้
“ไม่ต้อง” เสียงไพเราะปานสายลมกระจ่างของตี้ฝูอีตอบมาสองคำ “เจ้าเพียงส่งนางเข้าไปตามกฎก็พอแล้ว”
“เช่นนั้นถ้าคนพวกนั้นสร้างความสำบากให้นางจะทำอย่างไรขอรับ? เกรงว่านางคงรับมือไม่ไหว…”
“แล้วอย่างไรเล่า?” เสียงตี้ฝูอีดุจสายนํ้าไหลเอื่อย
มู่เฟิงพลั้งปากออกไป “…ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านมิกลัวว่านางจะถูกรังแกหรือขอรับ?”
ตี้ฝูอีเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามกลับว่า “นางถูกรังแกแล้วเกี่ยวอะไรกับข้า?”
มู่เฟิงพูดไม่ออก
เขาใจเต้นแวบหนึ่ง หรือว่าเทพศักดิ์สิทธิ์คิดจะแสดงอำนาจให้แม่นางน้อยผู้นี้ประจักษ์?!
ยากนักกว่าเทพศักดิ์สิทธิ์จะอยากหมั้นหมายกับใครสักคน ผลคือคนผู้นี้ไม่ยินยอมพร้อมใจทั้งยังบ่ายเบี่ยงหลบเลี่ยงอยู่ตลอด ถอนหมั้นอย่างว่องไวยิ่ง ทำให้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เสียหน้า ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จึงไม่พอใจ แต่ติดขัดที่ฐานะจึงไม่สามารถเอาคืนแม่นางน้อยผู้นี้อย่างเปิดเผยได้ ดังนั้นเลยเอานางไปไว้ที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ให้คนที่นั้นจัดการ…
นี่เรียกว่ายืมดาบสังหารคนสินะ…
เป็นเช่นนี้แน่นอน!
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เจ้าเล่ห์จริงๆ! คิดแผนการสังหารคนโดยไม่ต้องชดใช้
ป้ายหยกกลับมามีสีสันตามปกติ แล้วลอยกลับมาอยู่ในแขนเสื้อมู่เฟิงอีกครั้ง มู่เฟิงส่ายศีรษะ ไว้อาลัยให้กู้ซีจิ่วอยู่ในใจ
………………………
บนแท่นชมดาว
ตี้ฝูอีเก็บกระจกโบราณ เงยหน้ามองดวงดาวบนฟากฟ้าเหล่านั้นอีกครั้ง ตรงกลางมีดาวใหญ่ดวงหนึ่งที่สุกสกาวเป็นพิเศษ ส่องแสงเจิดจรัส กลุ่มดาวล่องลอยหมุนวนโคจรรอบดาวฤกษ์ดวงใหญ่นี้ แต่อีกมุมหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้กลับมีดาวดวงน้อยที่ไม่สะดุดตาดวงหนึ่งลอยอยู่ตรงนั้นอย่างโดดเดี่ยว ดาวน้อยดวงนี้มองครั้งแรกดูธรรมดายิ่งนัก แต่ถ้าสังเกตอย่างละเอียด จะเห็นว่าตัวมันมีแสงสีรุ้งโอบล้อมอยู่จางๆ ค่อนข้างคล้ายคลึงกับดาวดวงใหญ่นั้น ถึงแม้ดาวน้อยจะเล็กจ้อย ทว่ามีวงโคจรของตัวเอง ไม่โคจรรอบดาวดวงไหนเลย และแผ่กลิ่นอายของผู้เป็นราชันออกมาเบาบาง
แน่นอน บนนภามีดวงดาวอยู่มากมายก่ายกอง ดวงดาวที่สว่างไสวกว่าดาวน้อยดวงนี้ก็มีอยู่มาก หากมิใช่ผู้ที่ตั้งใจมอง ย่อมไม่สังเกตเห็นดาวดวงนี้
ดาวราชันดวงใหม่ที่เพิ่งจะผงาดขึ้นมา…
หึ!
มุมปากตี้ฝูอีหยักยิ้มบางเบา ไม่รู้ว่าเป็นการยิ้มเยาะหรือยิ้มหยัน…
บางทีอาจเป็นเพราะเพิ่งใช้พลังวิญญาณต้นกำเนิดไป สีหน้าของเขาจึงค่อนข้างซีดขาว เหงื่อชุ่มอาภรณ์
เขาขมวดคิ้วนิดๆ หมุนกายเดินออกไป
……………………
ที่นี่คือสระนํ้าพุร้อน คันสระก่อด้วยหินหยก กลางสระมีไอหมอกลอยกรุ่น ไอร้อนอบอวล
ที่นี่คือสถานที่หวงห้ามโดยเด็ดขาด หากไม่มีคำสั่งจากตี้ฝูอี จะไม่มีใครกล้าเข้ามาที่นี่โดยพลการ
ตี้ฝูอืยีนอยู่ตรงคันสระพลางมองนํ้าในสระอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนค่อยๆ เปลื้องอาภรณ์แล้วก้าวลงในไปสระ
นํ้าร้อนหอมกรุ่นค่อยๆ กระเพื่อมไหวอยู่รอบกาย ความร้อนนั้นราวกับจะแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายผ่านรูขุมขนทั่วร่าง ขจัดความอ่อนล้าทั้งหมดไปได้เล็กน้อย…
เขาพริ้มตาลงนิดๆ สองมือประสานตรงหน้าอก ร่างกายเบาหวิวดุจเมล็ดหลิวที่ลอยอยู่ในน้ำ เขานั่งขัดสมาธิบนผิวนํ้า คลื่นนํ้าที่กระเพื่อมไหวอยู่ใต้ร่างดั่งแท่นดอกบัว กลีบบุปผาในสระไม่ทราบว่า เป็นชนิดใด บัดนี้กลีบบุปผาเหล่านั้นหลั่งไหลเข้าไปในแท่นดอกบัววารีนั้น เริ่มซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ อยู่ใต้ร่างเขา มือเขาชี้ไปบนแท่นดอกบัว สายน้ำมากมายก่อตัวเป็นรูปทรงกลีบบัว พุ่งขึ้นมาดั่งผืน แพร ปกคลุมร่างเขาไว้อย่างช้าๆ…
ยามที่กลีบบุปผาวารีเหล่านั้นจะโอบล้อมเหนือยอดศีรษะเขา จู่ๆ เขาก็สัมผัสถึงอะไรบางอย่างได้จึงลืมตาขึ้น ร่างกายพลันแข็งค้าง!
‘ซ่า!’ บุปผาสายวารีเหล่านั้นสลายตัวจากรอบกายเขา ร่วงหล่นกลับสู่ผืนน้ำ ก่อให้เกิดระลอกคลื่นนับไม่ถ้วน ย่อมทำให้ร่างกายเขาปรากฎอยู่เหนือผิวน้ำโดยไร้สิ่งปกปิดด้วย
อีกฟากของสระ กู้ซีจิ่วยืนพลิ้วอยู่ตรงนั้นมองเขาอย่างตกตะลึง คนที่สุขุมเยือกเย็นมาตลอดเช่นนาง ยามนี้ริมฝีน้อยๆ อ้าออกจนเป็นวงกลมแล้ว!