บทที่ 567 ทองแท้ย่อมเปล่งประกายเสมอ
เชียนหลิงอวี่รุ่งโรจน์มีหน้ามีตาได้สักพัก ท่าทีที่ปฏิบัติต่อเชียนหลิงอวี่ก็เปลี่ยนไปจากแต่เดิมที่นบน้อบเอาอกเอาใจ กลายเป็นข่มเหงรังแกทุกแห่งหน ทุกครั้งที่เห็นเขาล้วนเยาะเย้ยถากถาง แถมบางครั้งยังหาข้ออ้างมาทุบตีเขาด้วย…
ไปๆ มาๆ เชียนหลิงอวี่เลยกลายเป็นเช่นปัจจุบันนี้
แน่นอนว่าเด็กน้อยที่จองหองอย่างเชียนหลิงอวี่ ยามที่เล่าให้กู้ซีจิ่วฟังก็มิได้กล่าวอย่างชัดแจ้งนัก และไม่ได้เป็นระบบระเบียบถึงเพียงนั้นส่วนใหญ่จะเล่าวกไปวนมา เล่าข้ามไปมากมายหลายสิ่ง เนื้อหาเหล่านี้คือสิ่งที่กู้ซีจิ่วสรุปออกมาตามที่เขาเล่า
อัจฉริยะคนหนึ่งที่เคยถูกจับตามองที่สุดตกต่ำ กลายเป็นสวะไร้ค่า ซ้ำยังถูกอดีตข้ารับใช้ดูแคลน เข้าแทนที่ตน การตกต่ำเช่นนี้มิใช่ทุกคนที่สามารถยอมรับได้ อีกทั้งไม่ได้รับคำปรึกษาด้านจิตวิทยาที่เหมาะสม ดังนั้นก็ไม่แปลกที่ เชียนหลิงอวี่จะกลายเป็นเด็กเหลือขอเช่นนี้
ชั่วขณะที่พูดคุยกัน เจ้าหอยยักษ์ก็กลับมา คราวนี้สัตว์ที่มันล่าได้มีหลากหลายยิ่งนัก มีไก่ป่า กระต่าย แถมยังมีกวางชะมดอีกตัวด้วย
เมื่อกู้ซีจิ่วจัดการสิ่งเหล่านี้เชียนหลิงอวี่ก็ตามมาช่วยเธอด้วย
ส่วนเจ้าหอยยักษ์น้ำลายไหลรออยู่ด้านข้าง
ในระหว่างที่ย่าง กู้ซีจิ่วได้พูดคุยกับเชียนหลิงอวี่อีกหลายประโยค
ถามไถ่สภาพเช่วงก่อนและหลัง ถูกธาตุไฟเข้าแทรกของเขา
เมื่อย่างเนื้อเสร็จ ขณะที่สองคนหนึ่งหอยกำลังจะขยับ เจ้าลู่อู๋ตัวนั้นก็วิ่งเข้ามาปานสายฟ้าแลบ พุ่งเข้าไปในอ้อมแขนกู้ซีจิ่วทันที หางทั้งเก้าส่ายไปมาดั่งจานหมุนขนาดใหญ่ เพรียกวายุก็วิ่งตามหลังมา แถมมันยังคาบกวางตัวหนึ่งมาด้วย…
หนึ่งชั่วยามให้หลัง ลู่อู๋น้อย เจ้าหอยยักษ์ และเพรียกวายุล้วนหมอบอยู่ตรงนั้นอย่างอิ่มเอมใจยิ่งนัก พอใจเป็นพิเศษ
พอเจ้าหอยยักษ์กินของดีๆ เข้าไป ก็รู้สึกว่าบาดแผลบนร่างกายไม่เจ็บปวดมากขนาดนั้นแล้ว อ้าฝาอาบแสงจันทร์อยู่ตรงนั้น
หลังจากผ่านการพูดคุยครั้งนี้ความสัมพันธ์ของกู้ซีจิ่วและเชียนหลิงอวี่ก็ใกล้ชิดกันไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว เชียนหลิงอวี่เด็กน้อยจอม
โอหังที่ไม่ยอมรับนับถือผู้ใดเลย ก็ยอมรับนับถือกู้ซีจิ่ว
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าอายุของกู้ซีจิ่วอยู่ในวัยไล่เลี่ยกับเขา แต่เขากลับรู้สึกนางเป็นเหมือนพี่สาวอยู่เสมอ…
“ใช่แล้ว หลังจากเจ้าถูกธาตุไฟเข้าแทรก เคยเชิญเจ้าสำนักหลงมาดูอาการหรือไม่” กู้ซีจิ่วถามไถ่อีกครั้ง
เชียนหลิงอวี่นิ่งไปครู่หนึ่ง ส่ายหน้าพลางกล่าว “ตอนที่ข้าถูกธาตุไฟเข้าแทรก เจ้าสำนักหลงปิดด่านกักตนพอดี…เพียงแต่เคยเชิญศิษย์ของเขามาตรวจดูแล้ว…ล้วนแต่กล่าวว่าหมดหนทาง…”
“หลังจากเขาออกจากการกักตนก็ไม่ ได้ไป ให้เขาตรวจดูอีกทีหรือ?”
เชียนหลิงอวี่หลุบตาลง “เขาปิดด่านกักตนหนึ่งปี เมื่อเขาออกจากการกักตนข้าก็อยู่ชั้นเรียนเมฆาคล้อยแล้ว…”
จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นยิ้มทันที “ถึงอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์แล้ว จะไปเชื้อเชิญเขามาอีกทำไมเล่า?”
ถึงแม้ขณะที่พูดเขาจะยิ้ม ทว่าดวงตากลับมีแววเปราะบางและจนตรอกพาดผ่านแวบหนึ่ง
ยามที่หลงซือเย่ออกจากการกักตน เขาก็กลายเป็นศิษย์รั้งท้ายไปโดยปริยายแล้ว ทุกคนล้วนไม่คาดหวังในตัวเขาอีกต่อไป แม้แต่ตระกูลของเขาก็ลอยแพเขาแล้ว ย่อมไม่มีผู้ใดออกหน้าไปเชิญหลงซือเย่ให้…
และเขาก็ไม่ต้องการให้หลงซือเย่มาดูตรวจอาการ เขาเกรงว่าตนจะสิ้นหวังยิ่งกว่าเดิม…
กู้ซีจิ่วอดไม่ได้ที่จะมองเขาแวบหนึ่ง เธอเคยศึกษาด้านจิตวิทยา พอจะทราบสภาพจิตใจของเด็กเช่นเชียนหลิงอวี่อยู่บ้าง
เป็นเพราะเขาหยิ่งทะนงเกินไป ดังนั้นพอสูญเสียความสามารถในการฝึกฝน เขาจึงยอมให้ผู้อื่นกล่าวว่าเขาเกกมะเหรกเกเรไม่ยอมร่ำเรียนไม่แสวงหาความก้าวหน้า ไม่อยากให้ผู้อื่นกล่าวว่าไม่ว่าเขาจะเรียนอย่างไรก็เรียนได้ไม่ดี…
อันที่จริงนี่ก็คือสภาวะหลีกหนีความจริงอย่างหนึ่ง
“กู้ซีจิ่ว ตอนนี้เจ้ารู้เรื่องทั้งหมดของข้าแล้ว คงจะดูแคลนข้าเหมือนกันใช่ไหม? คิดว่าข้าเป็นสวะไร้ค่าโง่งม…” เชียนหลิงอวี่
เอียงคอมองเธอ ดูเหมือนไม่แยแสยิ่ง ทว่าก้นบึ้งดวงตากลับฉายแวววิตกกังวล
กู้ซีจิ่วล้างมือ ตอบกลับอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “ข้าไม่เคยคิดว่าเจ้าเป็นสวะไร้ค่าโง่งม ตรงกันข้ามเลย เจ้าฉลาดมาก ไม่ว่าเรื่องใดก็เรียนรู้ได้ว่องไวยิ่ง…”