บทที่ 602 มองเขา ‘เล่นละคร’ 1
“เจ้าถูกปรักปรำหรือ? เช่นนั้นหินวิญญาณมากมายขนาดนี้เจ้าได้มาจากไหน?”
ในถุงวิญญาณของเขาไม่เพียงแต่มีหินวิญญาณมากมายเท่านั้น ยังมีขวดยาอีกหลายขวดด้วย มียาล้ำค่าหลายชนิดอยู่ในขวด ในนั้นมียาหลายอย่างที่ซื้อมาจากกู้ซีจิ่วรวมอยู่ด้วย
น้ำเสียงของผู้อาวุโสหน่วยลงทัณฑ์ เย็นชายิ่งกว่าเดิม “หินวิญญาณที่ใช้ซื้อยาพวกนี้ เจ้าเอามาจากไหน?”
เชียนหลิงเทียนอ้าปากค้าง สีหน้าเหมือนคนตาย…
….
ฟ้ายังไม่สว่าง ทว่าภายในศาลาล่องวาโยกลับมีแสงไฟส่องสว่าง
บัดนี้ศาลาล่องวาโยมีคนอยู่ไม่น้อย ล้วนเป็นบุคลากรชั้นยอดของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์
อาจารย์ประจำชั้นเรียนต่างๆ ผู้อาวุโสของหน่วยต่างๆ เยี่ยนเฉิน อวิ๋นชิงหลัว และศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาม่วงก็ได้รับอนุญาตให้รับฟังอยู่ด้านข้างด้วย
คนส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ยามที่ถูกเรียกตัวมายังคงมีสีหน้าเหลอหลาอยู่
ต่อมาผู้อาวุโสทั้งสี่ของหน่วยลงทัณฑ์ก็คุมตัวเชียนหลิงเทียนเดินเข้ามา ฝูงชนต่างมองหน้ากัน ยังคงงุนงงอยู่
ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็มีอีกหลายคนถูกศิษย์ของหน่วยลงทัณฑ์นำตัวเข้ามา หลายคนนี้ล้วนเป็นศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาม่วง และเป็น
เพื่อนสนิทของเชียนหลิงเทียน มักจะเล่นกับเชียนหลิงเทียนเป็นประจำ
จวบจนกู่ฉานโม่ปรากฏตัวขึ้น การไต่สวนจึงเริ่มขึ้น ระหว่างการสอบสวนฝูงชนถึงค่อยๆ เข้าใจว่าสรุปแล้วเกิดอะไรขึ้น
อันที่จริงระหว่างทางเชียนหลิงเทียนมีโอกาสพลีชีพลากคนอื่นให้ตายตกไปตามกันได้ แต่ถ้ายังไม่จนตรอกสุดขีดใครจะคิดไปถึงขั้นนั้นกันเล่า?
ระหว่างทางเขาเริ่มเสกสรรปั้นแต่งถ้อยคำบอกกล่าวที่มาของหินวิญญาณนี้เมื่อถูกพาตัวมาที่ศาลาล่องวาโย เขาก็ปั้นเรื่องได้ไม่
น้อยแล้ว
ยามนี้พอได้ยินคำถามของกู่ฉานโม่ เขาก็เริ่มกล่าวข้ออ้างพวกนั้นออกมาทันที
เขาบอกว่าหินวิญญาณเหล่านี้เขาได้มาตอนออกไปทำภารกิจ บังเอิญพบกองหินวิญญาณในถ้ำบนภูเขาแห่งหนึ่ง เกิดจิตคิด
ละโมบขึ้นมา จึงยึดหินวิญญาณทั้งหมดเป็นของตน ไม่ได้รายงานต่อเบื้องบน จากนั้นเขาก็ร้องไห้คร่ำครวญ บอกว่าเขาไม่เกี่ยวข้องกับหินวิญญาณของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ที่ถูกขโมยไปจริงๆ หากอาจารย์ใหญ่ไม่เชื่อ สามารถตรวจสอบหินวิญญาณได้ หินวิญญาณบนร่างเขามีลักษณะแตกต่างจากหินวิญญาณของสำนักศึกษาเล็กน้อย…
ยกตัวอย่างเช่นหินวิญญาณของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ล้วนมีตราประทับรูปเกล็ดหิมะที่เป็นเอกลักษณ์อยู่ แต่ตราประทับบนหินวิญญาณของเขาล้วนเป็นรูปดอกเหมยทั้งสิ้น
แน่นอน เนื่องจากตราประทับนั้นมีขนาดเล็กเกินไป แถมรูปแบบทั้งสองยังคล้ายคลึงกันมาก ดังนั้นตราประทับเหล่านั้นถ้าเจ้า ไม่เอาแว่นขยายมาส่องดูก็มองความแตกต่างไม่ออก
เมื่อก่อนเชียนหลิงเทียนเกรงว่าผู้อื่นจะมองความแตกต่างนี้ออก แต่บัดนี้กลับกล่าวความแตกต่างเหล่านี้ออกมาจนหมดเปลือก
เนื่องจากการที่เขาแอบนำหินวิญญาณเหล่านี้กลับมาจากภายนอกโดยไม่รายงานเบื้องบน มากสุดก็ถูกลงโทษฐานรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่มีโทษถึงตาย ไม่ถึงขั้นถูกขับออกจากสำนักศึกษา ไม่แน่เขาอาจถูกกักบริเวณแค่ไม่กี่วัน ถูกลงโทษให้กลับไปอยู่ในชั้นเรียนเมฆาคล้อยก็เท่านั้น…
แต่โทษฐานอื่นๆ อาจจะเอาชีวิตของเขาทันที!
อันไหนหนัก อันไหนเบา เขาย่อมแยกแยะได้ชัดเจน ดังนั้นถึงตายก็ไม่ปริปากเรื่องนี้ออกมา
เขาถึงขั้นเรียกพยานบุคคลออกมายืนยันได้ อย่างเช่นเพื่อนร่วมชั้นเรียนเมฆาม่วงสองคนที่ออกไปทำภารกิจด้วยกันกับเขา
ข้ออ้างเหล่านี้ของเขาฟังขึ้นจริงๆ หากมิใช่ว่าพวกกู่ฉานโม่ทราบเรื่องส่วนใหญ่อยู่ก่อนแล้ว ไม่แน่อาจเชื่อถือวาจาปลิ้นปล้อนของเขาก็เป็นได้
สหายร่วมกลุ่มสองคนนั้นก็อยู่ในที่เกิดเหตุเช่นกัน พวกเขาออกมาเป็นพยานด้วย เพียงแต่เป็นพยานได้แค่ว่าพวกเขาสามคนเคยไปทำภารกิจในเขาลูกนั้นด้วยกันจริงๆ ส่วนเรื่องกองหินวิญญาณในถ้ำอะไรนั่น พวกเขาก็ไม่ทราบเช่นกัน…
เชียนหลิงเทียนมีพรสวรรค์ด้านการแสดงมาก หลังจากสหายร่วมกลุ่มสองคนนั้นเป็นพยานให้เขาแล้ว เขายังกล่าวด้วยสีหน้าละอายใจที่ไม่ได้แบ่งปันกองหินวิญญาณให้พวกเขา กล่าวปฏิญาณว่าตนหลงผิดไปชั่วขณะ…
ใบหน้าที่ปกคลุมด้วยหนวดเคราของกู่ฉานโม่เรียบเฉยอยู่ตลอด นั่งมองเขา ‘เล่นละคร’ อยู่ตรงนั้น
ผู้อาวุโสทั้งสี่ของหน่วยลงทัณฑ์ก็ล้วนนิ่งเฉย ไม่รู้ว่าเชื่อข้ออ้างของเขาหรือไม่