บทที่ 729 เธอแค่อยากสะสางปัญหาอย่างฉับไว
วันนี้ตอนที่เธอเดินเล่นอยู่ด้านนอกก็ได้ยินข่าวซุบซิบมาบ้าง กล่าวว่าเมื่อวานหลังจากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายรักษาเรียบร้อยแล้ว ก็ตรงไปหาอวิ๋นชิงหลัวที่นั่น ลงโทษนางอย่างหนัก แทงทะลุอกนางหนึ่งแผล ทำให้อวิ๋นชิงหลัวที่บาดเจ็บอยู่แล้วบาดเจ็บเพิ่มอีก ซํ้ายังกล่าวว่าที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมารับตัวนางไปหนึ่งเดือน มิใช่ให้นางไปปรนนิบัติรับใช้ แต่เป็นการนำตัวนางไปรับโทษในแดนทุรคาตามบัญชาของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์…
ข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่วสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ในที่สุดความจริงก็ถูกเปิดเผยแล้ว
เวลาผ่านไปเพียงวันเดียว กู้ซีจิ่วก็รู้สึกว่าสายตาที่ฝูงชนมองตนแตกต่างออกไปมาก มองเธอเสมือนมองคู่หมั้นของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย
ยามที่เธอกับหลงซือเย่เดินเคียงข้างกัน สายตาของฝูงชนก็มีค่อนข้างเลศนัย…
ตอนที่กู้ซีจิ่วได้ยินข่าวลือพวกนี้ ปฏิกิริยาแรกมิใช่เรื่องชู้สาวของตี้ฝูอีกับตน แต่เป็นเขาจะมาไม้ไหนอีก?
จากนั้นสภาพจิตใจก็ค่อนข้างซับซ้อนอยู่บ้าง เนื่องจากเธอเดาไม่ออกจริงๆ ว่าสรุปแล้วตี้ฝูอีต้องการอะไรกันแน่ เพราะตัดสินใจจะรับรักหลงซือเย่แล้ว ดังนั้นวันนี้กู้ซีจิ่วจึงปฏิเสธที่จะคิดเรื่องราวที่ยุ่งเหยิงไม่กระจ่างเหล่านั้น เธอแค่อยากสะสางปัญหาอย่างฉับไว ไม่ให้ผู้อื่นต้องเสียใจ และไม่ให้ตนต้องเสียใจภายหลัง
บางทีอาจเป็นเพราะคืนนี้เงียบสงบเกินไป เลยทำให้คนคิดมากไปหน่อย
ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ ว่าที่สนามกีฬาตี้ฝูอียืนกรานให้เธอกับอวิ๋นชิงหลัวประลองรอบที่สาม หรือเพราะเขามีสายกว้างไกล?
ทราบว่าต่อให้รอบที่สองเธอชนะไม่ได้แต่รอบที่สามจะชนะแน่นอน ความสามารถของเขาเพียงพอจะมองจุดนี้ออก แต่ว่าต่อให้พอเข้าใจเหตุผลข้อนี้ได้ ทว่ายามอยู่บนเวทีประลองเขาก็ทราบอยู่ชัดเจนว่าวรยุทธ์ของอวิ๋นชิงหลัวเหนือกว่าเธอมาก ก็ยังยืนกรานให้เดิมพันด้วยชีวิตอยู่มิใช่หรือ?
หรือก็เป็นเพราะหวังดีต่อตัวเธอด้วยเหมือนกัน ?
ยังมีอีก คืนเทศกาลความรัก เขาอี๋อ๋ออยู่กับอวิ๋นชิงหลัวชัดๆ มองเธอเหมือนคนแปลกหน้า สักประโยคก็คร้านจะเอ่ย…
คำพูดทำนองว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายปักใจรักเธออย่างลํ้าลึกอะไรนั้นล้วนเป็นคำโป้ปด!
เธอไม่เชื่อหรอก!
เธอเดินไปตามทาง เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ อดไม่ได้ที่จะหยักยิ้มมุมปาก
โง่งมนัก ข่าวลือพวกนั้นเดิมทีก็ไม่มีความน่าเชื่อถือสักเท่าไหร่อยู่แล้ว ตนยังจะขบคิดอยู่ตั้งนานสองนานอีก
จู่ๆ ก็มีเสียงนํ้าแว่วมาจากด้านหน้า เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นฝีเท้าก็ชะงักไป เท้าเธอเดินสะเปะสะปะไปเรื่อย เดินมาจนถึงสระเก้ามังกรล่องธาราแห่งนั้นแล้ว
ก่อนหน้านี้เธอเคยเดินมาถึงที่นี่พร้อมกับหลงซือเย่ ได้พบตี้ฝูอีแช่นํ้าอยู่ที่นี่…
ที่นี่อยู่ไกลจากที่พักของเธอ พอเธอใจลอยก็ชอบเดินสะเปะสะปะไปเรื่อย เป็นข้อเสียที่ใช้ไม่ได้โดยแท้
ตอนที่เธอมากับหลงซือเย่เขายังอยู่ที่นี่ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะยังอยู่หรือไม่?
เธอรู้สึกอดไม่ได้อยากไปดูที่ริมสระสักหน่อย แต่พอย่างเท้าได้สองก้าวก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้ เธอไปจากสระนี้ใกล้จะครบสามชั่วโมง ตี้ฝูอีจะแช่นํ้าอยู่ที่นี่ตลอดได้อย่างไรกัน?
เขาไม่กลัวว่าตัวจะเปื่อยบ้างหรือ?
ถึงแม้จะคิดเช่นนี้ แต่สุดท้ายก็มาถึงที่นี่จนได้ ดูเหมือนถ้าไม่ก้าวเข้าไปดูสักหน่อยก็จะค้างคาใจ ด้วยเหตุนี้ เธอจึงเดินเข้าไปดู ภายใต้แสงจันทร์สลัว นํ้าในสระไม่นับว่าเรียบนิ่งนัก เนื่องจากมีนํ้าตกไหลลงมาบ้างเป็นครั้งคราว ดังนั้นในสระจึงมีระลอกคลื่นเล็กๆ น้อยๆ อยู่บ้าง ในระลอกคลื่นระยิบระยับไม่มีผู้ใดอยู่ในนั้น
ในใจเธอลอบขบขันที่ตนสงสัยมากไป พลางหันหลังคิดจะจากไปทันที แต่ในวินาทีที่กำลังหันหลัง ตรงหางตาคล้ายมองเห็นสีแดงสายหนึ่งอยู่ด้านล่างม่านนํ้าตกเก้าสาย ใจเธอเต้นแรงแวบหนึ่ง นึกขึ้นได้ว่าตอนที่แช่นํ้าตี้ฝูอีสวมชุดแดง…จึงรีบหันกลับไปมองอีกครั้ง
แสงจันทร์ส่องสลัว และจุดนั้นค่อนข้างไกลจากริมฝั่งด้านนี้ ละอองนํ้าแตกซ่านเซ็น เธอมองไม่ออกจริงๆ ว่าตรงนั้นมีคนหรือไม่ เพียงแต่สัมผัสได้รางๆ ว่าที่นั้นคล้ายจะมีแพรแดงชิ้นหนึ่งผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ตรงนั้น